672 | สุดขอบตะวันตก

วันนี้แม้จะนอนโรงแรมแพงๆ เตียงนุ่มๆ แต่ก็นอนไม่ค่อยหลับ… เพราะว่าคุณ E กรนเสียงดังมาก ตกใจสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืนนึกว่าโรงสี… แต่ไอ้ครั้นจะบ่นมากก็ไม่กล้าเพราะว่าไม่รู้ว่าตัวเองก็นอนกรนดังเหมือนกันหรือเปล่า จริงๆ วันก่อนๆ ก็ได้ยินเสียงมาบ้าง แต่ว่านอนคนละเต๊นท์ เลยได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ วันนี้อยู่ห้องเดียวกันก็โอเค เต็มๆ…

หลับๆ ตื่นๆ จนตีสี่ก็ลุกมาแปรงฟันเก็บของ เสื้อผ้าที่ซักแห้งเก็บใส่กระเป๋าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ออกจากโรงแรมกันตอนตี 5 เช็คเอาท์ไปเลย ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว วันนี้ไม่มีฝนแต่ว่าอากาศหนาวและลมแรงเหมือนเคย วัคคาไนนี่ลมแรงจริงๆ เมืองวัคคาไนเป็นเมืองเลียบถนนเส้นเดียว ตรงไปได้เรื่อยๆ ไม่มีหลง ปั่นตามทางไปเรื่อยๆก็เจอสถานีรถไฟวัคคาไน จุดศูนย์กลางและแหล่งบันเทิงแทบจะแห่งเดียวของเมืองนี้

สถานีรถไฟ(ที่มีโรงหนังด้วย) ท่าเรือเฟอรี่ ท่ารถบัส ทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ กันหมด แต่สำหรับวัคคาไนนี้จะมาสำรวจอีกทีในวันที่จะนั่งรถไฟไปซัปโปโร วันนี้จึงละไว้ก่อน ตกลงกับคุณ E ว่าจะแยกกันตรงนี้ ผมจะไปท่าเรือเฟอรี่ ขึ้นเรือรอบ 6.10 ส่วนคุณ E จะหาวิธีเดินทางไปซัปโปโรโดยดูว่าจะนั่งรถไฟหรือนั่งรถบัสดี ร่ำลากันเล็กน้อยก็แยกทางกันไป เจอกันอีกทีอีก 2 วันที่ซัปโปโร ขอให้เดินทางปลอดภัย

เลี้ยวไปตามทางไม่ไกลนักก็ถึงท่าเรือเฟอรี่ เรือที่จะขึ้นเป็นของบริษัทฮาร์ทแลนด์เฟอรี่ เข้าไปในอาคารมีคนนั่งรออยูเล็กน้อย ไปต่อแถวรอซื้อตั๋วไปเกาะเรบุน คนไม่เยอะขนาดที่ต้องรีบมาต่อคิว แค่มาตรงเวลาก็ไม่มีปัญหาอะไร ตั๋วไปเรบุน 2,400 เยน มีค่าขนจักรยานอีก 1,200 เยน รวมกันประมาณ 3,600 เยน พอจ่ายเงินเสร็จก็เอาจักรยานไปจอดต่อคิวขึ้นเรือ รอบๆ ข้างเป็นรถยนต์ รถบรรทุก มีจักรยานอยู่คันเดียวโด่เด่

จอดเสร็จยืนหนาวอยู่สักพักก็สำนึกได้ว่าจะมายืนรับลมหนาวอยู่ทำไมวะ เลยเดินกลับเข้าอาคารไปหาอะไรกินรองท้องเสียก่อน ก็ได้เบอเกอร์ ข้าวปั้น แซนด์วิช มากินๆ รองท้อง พอเรือมาจอดก็ไปยืนรอเข็นจักรยานขึ้นเรือ ขึ้นเรือไปจะมีพนักงานมามัดจักรยานเราติดกับราวเหล็กให้ เวลาเรือโคลงจะได้ไม่ล้ม จากนั้นก็เดินขึ้นห้องโดยสารไป ผู้โดยสารที่มาพร้อมยานหนะจะได้ขึ้นเรือก่อนผู้โดยสารปกติ ก็เลยทำให้ได้เลือกที่นั่งก่อนคนอื่น

ในห้องโดยสารจะมีลักษณะเป็นคอกๆ ไม่มีเก้าอี้ นั่งๆ นอนๆ กับพื้นไปเลย สาเหตุที่นั่งพื้นนอกจากประหยัดที่แล้วก็ยังเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย เพราะเรือโคลงมาก นั่งเก้าอี้หลับนี่มีหล่นหัวทิ่มแน่นอน นั่งอยู่สักพักผู้โดยสารคนอื่นก็เริ่มเข้ามา ที่ก็เกือบเต็มเหมือนกันแฮะ พอเรือออกก็โคลงเคลงโชว์เลย ไปยืนถ่ายรูปนิดเดียวก็เวียนหัวคลื่นไส้ จะอ้วก… กว่าจะถึงเกาะเรบุนก็เกือบ 2 ชั่วโมง ไม่รู้จะทำอะไรก็นอนไป…

พอใกล้จะถึงเกาะเรือก็จะเปิดเพลง เป็นเพลงลูกทุ่งเนื้อหาน่าจะเกี่ยวกับเกาะเรบุนนี่แหละ (ฟังออกแต่ชื่อเกาะ) แล้วก็มีประกาศว่าคนขับรถให้ไปเตรียมพร้อมที่รถ คนถีบจักรยานก็ต้องไปเตรียมพร้อมด้วย ลงไปที่ใต้ท้องเรือพบว่ามีคนเอาจักรยานข้ามไปเกาะด้วยอีกคน 1 คน เป็นป้าๆ หน่อย แต่ท่าทางเอาเรื่องไม่เบา เสื้อกันหนาวอย่างหนา จักรยานกระเป๋าเพียบไม่รู้ขนอะไรไปมั่ง พอเรือจอดท้องเรือก็เปิด รอให้รถใหญ่ออกไปก่อนแป๊บนึงก็เข็นจักรยานขึ้นฝั่งเกาะเรบุน

ถึงแล้ว! เกาะเรบุน! ถึงโดยสวัสดิภาพในเวลา 8.15 นาฬิกา อุณหภูมิประมาณ 16 องศาเซลเชียส เริ่มการโซโล่เกาะเรบุน ลุยเดี่ยวไม่มีเนวิเกเตอร์ เนื่องจากกดดันเรื่องระยะทางมาหลายวัน วันนี้เลยอยากชิลให้เต็มที่ ก็ปั่นละเลียดวนไปริมทะเล มองไปเจอภูเขาไฟริชิริบนเกาะริชิริที่อยู่ติดกันที่จะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ แต่เมฆยังเยอะไม่เผยให้เห็นยอดเขาออกมาชัดๆ

ปั่นชิลๆ ช้าๆ ไปสักพักก็เจอหมวกแก๊ปใบนึงตกอยู่กลางถนน ด้วยนิสัยชอบเก็บของตกมาดู ก็จึงไม่พลาดที่จะหยิบขึ้นมา หมวกสีน้ำเงินเข้ม ก็มีสภาพไม่ใหม่ไม่เก่า ปั่นที่เกาะเรบุนนี้ไม่ได้หยิบหมวกกันน๊อคออกมาใส่ และวันนี้ก็เริ่มมีแดดออกบ้าง ก็เลยตัดสินใจเก็บหมวกมาใช้งานเองทันที สวมหัวแล้วก็เล็กไปนิดนึงแต่พอใช้งานได้ ขอบคุณครับ… เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปหมวกเอาไว้

เลียบทะเลไปนิดเดียวก็เจอกับเซโก้มาร์ทอีกแล้ว เพื่อนแท้ยามยากแห่งฮอกไกโดยังคงตามเรามาอำนวยความสะดวกถึงเกาะเรบุน และที่สำคัญคือเซโก้มาร์ทสาขานี้เป็นร้านคอนวิเนียนแห่งเดียวในเกาะ ตอนนั้นเรายังไม่เห็นว่าจุดนี้มันมีความสำคัญขนาดไหน…. ก็จอดจักรยานข้างๆ แล้วแวะหามื้อเช้ากินให้อิ่มก่อนออกเดินทางสักหน่อย นอกจากข้าวหน้าหมูหยิบมามั่วๆ แล้วก็ซื้อขนมติดไม้ติดมือเป็นเสบียงเล็กน้อย เจอแคลอรี่เมทขายเยอะแยะเลย เพราะเกาะนี้นักท่องเที่ยวชอบมาเดินป่า(เขา)กัน ก็เลยมีอาหารประเภทเสบียงให้พลังงานเตรียมไว้ด้วย เห็นกล่องสวยก็เลยติดไม้ติดมึอมากล่องนึงเช่นกัน

ไปตามถนนไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เจอแคมป์แรก ต้องเลี้ยวเข้านิดนึง แต่มันก็ใกล้มาก ใกล้เกินไปมั้ย! ยังไม่ทันสำรวจเกาะเลยก็เจอแคมป์แล้ว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เข้าไปดูก่อนแล้วกัน แคมป์เป็นสนามหญ้าขนาดพอๆ กับสนามฟุตบอล มีสนามเด็กเล่นใกล้ๆ ไม่มีเต็นท์ตั้งอยู่เลยสักเต็นท์เดียว ที่อาคารรับรองก็ไม่เจอใคร (อาจจะเพราะยังเช้าอยู่) แน่นอนว่าไม่กางเต็นท์ที่นี่หรอก สะดวกเกินไป หยิ่ง!

ไปตามถนนต่อสักพัก เห้ยลมต้านหน่อยๆ ว่ะ… แดดก็ร้อน เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย เจอจุดชมพระอาทิตย์ตกก็แวะถ่ายรูปนิดนึง ถนนบนเกาะข้างทางก็มีบ้านคนเล็กน้อย ด้านขวามีทะเลและมีภูเขาไฟริชิริที่เห็นได้ตลอดทาง มีรถเมล์วิ่งจากหัวเกาะไปท้ายเกาะคอยรับนักท่องเที่ยว ปั่นไปสักพักเริ่มรู้สึกว่า…ไกลกว่าที่คิดแฮะ จะมามัวชิลๆ งี้คงจะไม่ได้ เลยเร่งฝีเท้าหน่อย ที่ท้ายเกาะมีภูเขาลูกใหญ่ขวางทางลูกนึง สูงเอาเรื่องจนต้องลงเข็นเหมือนกัน มีรถตู้วิ่งผ่านมาแล้วจอดแวะถามว่าจะไปไหน ไปสุโคตงหรือเปล่า เราก็ไม่รู้ว่าสุโคตงมั้ยแต่ก็สุโคตงมั้ง…เออออห่อหมกไปให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงแทน

เต็นท์ชื้นๆ จากที่ลุยฝนเมื่อวาน แต่พอเจอแดดแป๊บเดียวก็แห้ง เอาของยัดๆ เก็บเตรียมตัวออกไปแรดลุยเกาะ ตอนไปเอาจักรยานที่ลานจอดรถเจอเจ๊ผู้หญิงคนนึงเข้ามาทักทาย ตอนแรกทักเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษเพราะเห็นว่าเราฟังไม่ค่อยออก เขาบอกวันก่อนอยู่ที่คุจจาโระใช่มั้ย เขาจำได้ อยู่กับเพื่อนหลายๆ คน ตกใจทีเดียวไม่นึกว่าชาวต่างชาติจะจำได้ (หรือว่าที่คุจจาโระแก๊งค์สี่สหายจะเด่นมาก!? คิดว่าไม่นะ…มั้ง) เขาก็ถามว่าเพื่อนไปไหนแล้ว ก็อธิบายไปว่าสองคนไปชิเรโตโกะ อีกคนไปซัปโปโร คุยกันสักพักเขาก็บอกว่ามีปัญหาอะไรเรียกเขาได้เลยนะ แล้วก็ร่ำลากันไป เจ๊ก็ขับรถออกไปไหนไม่รู้แล้วก็ไม่เห็นเจ๊อีกเลย…

ออกมาดูลู่ทางรอบๆ แคมป์สักหน่อย แถวนี้ไม่มีร้านค้าใดๆ ทั้งสิ้น บรรณาการอย่างเดียวที่มีคือตู้โค้ก 1 ตู้ เซโก้มาร์ท ร้านอาหาร ร้านราเมง ไม่มีเลย ที่หัวมุมถนนมีทางเดินขึ้นเนิน ป้ายเขียนไว้ว่าถ้าเกิดสึนามิให้ขึ้นไปหลบที่นี่ ขึ้นไปดูวิวก็สวยดีนะ สูงนิดนึงส์ จากนั้นก็ปั่นจักรยานไปท้ายเกาะ หรือก็คือแหลมสุโคตง ถ้าแหลมวัคคาไนคือเหนือสุดของญี่ปุ่น แหลมสุโคตงก็คือตะวันตกที่สุดของญี่ปุ่นนั่นเอง

จากแคมป์ไปสุโคตงนั้นไม่ไกลนัก ประมาณ 6-7 กิโลเท่านั้น เลียบทะเลไปเรื่อยๆ บ้านคนน้อยลง วิวสวยขึ้นเรื่อยๆ อย่างกับภาพวาดหรือวอลเปเปอร์เลย ขึ้นเนินไปนิดนึงก็ถึงจุดที่เรียกว่า แหลมสุโคตง มีร้านขายของฝากเล็กๆ ตั้งอยู่ มีจักรยานแม่บ้านจอดอยู่ก่อน 1 คัน เชอะ! มีมอเตอร์ไซค์กับรถจอดอยู่บ้าง มีนักท่องเที่ยวเดินไปมาอยู่สี่ห้าคน

พอได้จังหวะว่างกับบรรยากาศที่ไม่รีบร้อนวุ่นวายทำให้เริ่มรู้สึกผ่อนคลายลง ค่อยๆ ซึมซับบรรยากาศช้าๆ ไม่เร่งรีบ นั่งดูนกนางนวลถลาลมเป็นหนังชินไค ต้นหญ้าลู่พลิ้วไหวไปตามลมพร้อมกับสะท้อนแสงแดดวิบวับ ลมเย็นๆ จากทะเลพัดใส่ กับโขดหินรูปคางคกตะปุ่มตะป่ำ มาถึงฮอกไกโดในที่สุดก็ได้นั่งชิลทำบรรยากาศหว่องๆ เสียที

ไปที่จุดชมวิวเจอพี่อ้วนคนนึงขอให้ช่วยถ่ายรูปเท่ๆ ให้หน่อย พี่เขาจะทำท่ายืนพิงเสาหลัก ก็เลยช่วยถ่ายให้เขา มีนักปั่นจักรยานแบบจริงจังปั่นหมอบมาอีกคน มาถึงก็ถ่ายรูปๆ แล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็ว สงสัยจะทำระยะ แวะที่ร้านของฝาก กินซอฟท์ครีม 1 โคนพอหายอยากแล้วเดินวนๆ ได้ช๊อคโกแลตขาว กับ (อะไรวะ ถั่วกวนใสๆ) มา 1 อัน ระหว่างที่กำลังคิดจะไปถ่ายรูปวิวถนนตอนขึ้นมาเพิ่มอีกสักหน่อยก่อนจะกลับ ก็ได้พบกับเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว และสะพรึงที่สุดตั้งแต่มาถึงฮอกไกโดนี่เลยทีเดียว นั่นก็คือ…

สัด ยางรั่ว!!

ไม่หว่องไม่เหวิ่งไม่ชินไคมันแล้ว รูปก็ไม่ถ่ายละ ยางรั่วจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น และอุปกรณ์จักรยานทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าที่อยู่ในเต็นท์ ไม่มีทางเลือกอื่นใดทั้งสิ้น ต้องกลับไปที่เต็นท์อย่างเดียว เนื่องจากเพิ่งรั่วสดๆ ใหม่ๆ และรูคงไม่ใหญ่ ลมเลยยังพอมีอยู่บ้าง ก็รีบปั่นไป ปั่นไปได้นิดเดียวลมก็หมดจ้า… โครงล้อบดกับถนนกุกกักๆ เอาไงดีวะ จะเข็นหรือบดไปเรื่อยๆ งี้ดีเนี่ย บดไปล้อจะพังมั้ย… สุดท้ายก็ตัดสินใจ หน้าด้านบดไปเรื่อยๆ ทั้งที่ยางในไม่มีลมแล้ว กุกกักๆ ลากบดไป 6 กิโล ตอนเห็นตู้น้ำหยอดเหรียญหน้าทางเข้านี่ดีใจมาก!

ถึงแคมป์ก็เข็นจักรยานไปที่เต็นท์แล้วนั่งรื้อล้อเปลี่ยนยางใน คิดว่ารอดแล้วแต่กลายเป็นยังมีเรื่องให้ลุ้นอยู่ดี พอหยิบยางในสำรองแล้วเห็นว่าทำไมมันเล็กๆ ปรากฏว่าผิดขนาด…เล็กกว่ายางนอกที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ตอนสั่งไม่ทันเช็คให้ดี แต่ดูทรงแล้ว มันก็พอจะใช้ๆ แทนได้อยู่มั้ง เลยจัดแจงเอายางในผิดขนาดใส่เข้าไป ก็ใส่ได้อยู่ ไว้มีปัญหาค่อยคิดอีกทีละกัน แล้วก็ไม่ลืมที่จะปะยางในเส้นเก่าเผื่อไว้ด้วย ตอนจะหาว่ารั่วตรงไหนก็ใช้วิธีสูบลมแล้วไปแช่ทะเลสาบ… หาฟองอากาศที่รั่วออก ปะเสร็จก็ไปสำรวจยางนอกดู พบว่าไปเหยียบลวดขดเล็กๆ นิดเดียว คล้ายๆ แม็กเย็บกระดาษยาวประมาณ 1 เซ็นติเมตร เสียบทะลุร่องพอดิบพอดีจริงๆ

ระหว่างที่นั่งปะอยู่ก็มีฝรั่งมาพักเพิ่มอีก 2 กลุ่ม 2 เต็นท์ และฝรั่งทักกุว่า…คอนนิจิวะ โอเคร้… ไฮ่ คอนนิจิวะ โยโรชิคึโอเนไงชิมาส…. สาด ฝรั่งในญี่ปุ่นนี่แม่งแมนออฟคัลเจอร์จริงๆ หลังจากปะยางเปลี่ยนล้อ เช็คแล้วว่าจักรยานขี่ได้ตามปกติก็ค่อยโล่งอก นั่งชิลๆ อยู่พักนึงเห็นด้านหลังแคมป์มีทางเดินเข้าไป เห็นคนเดินออกมาสองสามคน เลยคิดว่าจะไปถ่ายรูปเล่นสักหน่อย

เดินเข้าไปทางใต้ร่มไม้ เลยไปนิดจะมีทางเดินขึ้นเขา มีไม้ทำเป็นขั้นบันไดและราวจับช่วยเดิน ดูน่าสนใจดีก็เลยเดินขึ้นไป ค่อยๆ ไปโผล่บนเนินและสูงขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินค่อนข้างเดินง่าย แม้จะมีส่วนที่ชันบ้าง มีแมลงนิดหน่อย วิวข้างบนสวยมาก ยิ่งขึ้นไปสูงวิวจะยิ่งอลังการ เกาะเรบุนนี้เขาชอบโปรโมทว่าเป็นเกาะดอกไม้ สองข้างทางก็มีดอกไม้หลายชนิด แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย ไม่ได้ต่างจากพื้นที่อื่นๆ มากนัก

แถวนี้เป็นทางเดินบนเขาที่เอาไว้ให้นักเดินเขาเดิน ทางจะเชื่อมตลอดทั้งเกาะหากัน เป็นทางที่รถเข้ามาไม่ได้ จักรยานก็ด้วย มีที่ให้นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะๆ แต่จริงๆ แล้วเดินไม่เหนื่อยเท่าไหร่เพราะทางเดินง่าย พอขึ้นไปสูงๆ มองลงมาเห็นแคมป์กับเต็นท์ของตัวเองเล็กนิดเดียว อีกด้านก็เห็นเกาะริชิริด้วย บางช่วงจะมีลานไม้เล็กๆ ขนาดพอดีกับเต็นท์ เอาเต็นท์มากางนอนตรงนี้คงยอดเยี่ยมมาก (แต่คิดว่าเขาคงไม่ให้หรอก) ทิวทัศน์เป็นธรรมชาติแบบที่ไม่คิดว่าคนอย่างกูจะมาเที่ยวอะไรแบบนี้กับเขาเป็นด้วย

ตลอดเวลาที่เดินแถวนี้ก็ไม่เจอนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย รู้สึกเป็นโลกส่วนตัวมาก ถ่ายรูปวิวกับดอกไม้ไปเรื่อยๆ ใจจริงอยากจะดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ แต่เพิ่งจะสี่โมงกว่าเอง และถ้าลงไปแล้วคงขี้เกียจเดินกลับมาอีกรอบแล้ว และพระอาทิตย์ตกแล้วก็คงจะมืดมากเช่นกัน เลยตัดใจกลับลงไปที่แคมป์แทน นั่งจดบันทึกไปเรื่อยๆ ตกเย็นฟ้าเริ่มมืด มีคนมาปิ้งบาร์บีคิวกินใกล้ๆ ทำร้ายจิตใจอีกแล้ว

ลืมบอกไปว่าวันนี้เนี่ย นอกจากมื้อเช้าที่เซย์โก้มาร์ทแล้วไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย ช่วงกลางวันไปสุโคตงแล้วยางรั่วก็เลยวุ่นๆ ก็ได้กินแต่แคลอรี่เมท ถั่วกวนใสๆ ก็กินเล่นตอนไปเดินสำรวจเขาหลังเต็นท์ พอตกเย็นว่างแต่ก็ไม่มีร้านรวงอะไรให้สำรวจเลย กินแคลอรี่เมทชิ้นที่สองกับช๊อคโกแลตที่ซื้อมาจากสุโคตง แล้วก็ดื่มชาเชียวผสมน้ำเปล่าในขวดน้ำติดจักรยานประทังชีวิตไป แปลกใจนิดหน่อยที่ไม่ยักกะหิวมากนัก

ความตั้งใจอีกอย่างที่มาฮอกไกโดคือถ่ายรูปดาว แต่เรื่องนี้คงไม่มีทางเป็นจริงเพราะฟ้ามีเมฆเยอะ ถ่ายไปก็ไม่เห็นอะไร…. ไม่มีอะไรทำแล้วก็เลยนอนดีกว่า แค่คิดจะนอนเท่านั้นแหละ เหมือนฟ้าผ่ากลางหน้าหนาว ถุงนอนชื้น! ชื้นจากที่ลุยตากฝนวันก่อน แล้วทีนี้ไม่ได้เอาออกจากกระเป๋าเลย พอมันชื้นแล้วเจออากาศหนาวยิ่งทำให้เย็นมาก! มุดเข้าไปนี่สะดุ้งเลย รู้สึกเหมือนโดนเพื่อนสนิททรยศ ถุงนอน(650บาท)ผู้ทำให้เราผ่านค่ำคืนอันหนาวเหน็บมาได้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อนผู้ให้ความอบอุ่นและเป็นความหวังในการต่อสู้กับความเย็นยะเยือกที่โหมกระหน่ำ แต่แล้ววันนึงเพื่อนคนนั้นก็ทรยศเรา หักหลังเรา หัวเราะเยาะด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา(ตรงตามตัวอักษร) เข้าใจความรู้สึกของกัลม่าตอนที่โดนชาห์ทรยศขึ้นมาทันที…

หนาวมากครับ หนาวจริงๆ พื้นก็เย็น ถุงนอนก็เย็น พอแหย่ตีนเข้าไปเจอถุงนอนเย็นๆ นี่สะดุ้งเลย พอไม่มุดถุงนอนข้างนอกก็หนาวอีก วันนี้น้ำก็ไม่ได้อาบเพราะไม่มีออนเซ็น(หัวเราะ) แถมด้วยโชคชั้นสอง พยายามหาเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวมาใส่กันหนาว ปรากฎว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ คิดว่าคงทำหล่นไว้ที่โรงแรม เพราะจำได้ว่าตอนซักยังหยิบออกมาจากเครื่องซักผ้าเลย โชคชั้นที่สามคือถุงเท้าไม่ได้เอาไปซักเพราะเกรงใจเสื้อผ้าตัวอื่น เก็บไว้ในถุงพลาสติก มันก็เลยยังชื้นอยู่… ฮ่าๆ เลิกคิดเรื่องใส่ถุงเท้าเลย ขุดเอาเสื้อผาตัวอื่นๆ มาใส่หลายๆ ชั้นกับห่มนอน แต่ก็ยังไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่

แน่นอนว่าเกิดและโตมาในเมืองร้อน ความหนาวที่ต่ำกว่า 10 องศานี่ไม่เคยเจอมาก่อน เพิ่งเคยหนาวจนนอนไม่หลับก็หนนี้แหละ นอนยุกยิกๆ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยออกไปเข้าห้องน้ำ เชี่ย ระหว่างทางลมแรงอีก แถมห้องน้ำที่นี่ก็ไม่ได้มีเครื่องทำความอุ่นอะไร ข้างในก็แค่ไม่มีลมเฉยๆ หนาวเหมือนข้างนอก เดินตัวสั่นกลับมาที่เต็นท์ นอนเอามือสอดใต้ตัวก็แล้ว ชันเข่าก็แล้ว นอนคว่ำขุดทุกอย่างมาห่มก็แล้ว ยังไงก็หนาวจนหลับไม่ลงอยู่ดี ก็ทนหลับตากัดฟันอยู่สักพักจนหลับๆ ตื่นๆ สลับไปมา ดูนาฬิกาที่มือถือเห็นตัวเลขเกือบครบทุกชั่วโมง เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ยามเช้าจะมาถึงเสียที….

ของกินและค่าใช้จ่ายวันที่หก

ท่าเรือเฟอร์รี่

  • ตั๋วเรือไปเรบุน + ค่าขนจักรยาน 3,600¥
  • ข้าวปั้นสาหร่ายท่าเรือ 100¥ งั้นๆ
  • เบอร์เกอร์ไก่ทอด 120¥ งั้นๆ

เซโก้มาร์ท

  • ข้าวหมูแผ่นๆ 450¥ งั้นๆ
  • ชาเขียว 100¥ งั้นๆ
  • แคลอรี่เมท 220¥ จืดๆ อธิบายรสชาติไม่ค่อยได้
  • ขนมปังไส้ครีม 120¥ อร่อยดี

แคมป์ + ร้านของฝากที่สุโคตง

  • ค่ากางเต๊นท์ 600¥ แพงกว่าที่อื่นหน่อย
  • หล่น 200¥ สัส! หล่นลงร่องไปเลย
  • ซอฟท์ครีม 400¥ งั้นๆ
  • ถั่วกวน 180¥ เรียกถั่วกวนป่ะวะ มันใสๆ หน่อย กินได้ทั้งกระดาษห่อเลย
  • ช๊อคโกแลต 350¥ อร่อยและช่วยชีวิตได้มาก

สำหรับงวดนี้ Lay Out อาจจะแปลกตานิดหน่อย เพราะ WordPress อัพเดทเป็น 5.0 แล้วเปลี่ยน Editor ใหม่เป็น Gutenburg จะดีขึ้นก็ดีขึ้น แต่ก็แปลกๆ ใช้แล้วงง อยู่บ้าง บางอย่างลำบากขึ้น บางอย่างก็ง่ายลง บางอย่างก็ชวนสับสน ใช้ไปนานๆ ก็อาจจะชินไปเองมั้ง ที่แน่ๆ คือคลิกรูปแล้วดูขนาดใหญ่ขึ้นได้ด้วยนะ แต่เซพไว้ก็แค่ 1000px (ของเก่าขี้เกียจทำ)

One thought on “672 | สุดขอบตะวันตก”

  1. ผมไม่เคยได้ยินตัวเองกรนเลยนะ … ใส่ร้ายชัดๆ
    555+

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *