หลังจากเดินถ่ายรูปตอนเช้ามืดอยู่สักพักนึง มิตรสหายเราก็ออกมาจากเต็นท์พร้อมกับบ่นว่าหนาวมากๆ ไม่ได้เอาถุงนอนมาด้วย แต่ที่รอดมาได้เพราะไอเท็มพิเศษที่เตรียมมา นั่นก็คือถุงร้อน! แต่นี่เป็นถุงสุดท้ายแล้ว คืนหลังๆ จะทำไงดี(ฮา) ทักทายกันเสร็จมองไปรอบๆ ก็พบว่าไม่เหลือใครอยู่ที่แคมป์เลย นอกจากลุงป้าคู่นึงที่มาเมื่อไหร่ไม่รู้ นอกนั้นแม้แต่มอเตอร์ไซค์คันที่สองที่หลบนอนในห้องล้างจานก็ออกเดินทางไปเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นก็เริ่มเก็บเต็นท์กัน แต่พื้นเปียกไปทั่วก็เลยลากไปเก็บตรงที่เป็นพื้นปูนกัน สะบัดๆ เศษหญ้าเศษดินออก แล้วก็ยัดๆ รวมกันลงถุงอย่างชุ่ยๆ โดยเร็ว วันนี้ต้องปั่นถึง 120 กิโล ล้อหมุนเริ่มออกปั่นกันตอนหกโมงเช้า อากาศเย็นทีเดียว เช้านี้น่าจะ 13 องศาได้ ออกมาปุ๊บก็ฉิวลงเนินอย่างรวดเร็ว ลงไปไม่ทันไรก็พบกับฟาร์มโทมิตะ ฟาร์มลาเวนเดอร์ชื่อดังแห่งฟุราโนะที่ติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดของที่นี่
ทุ่งลาเวนเดอร์!
ลานจอดรถที่ไร้ซึ่งรถจอด
ที่ฟาร์มโทมิตะนี้มีทุ่งลาเวนเดอร์ของจริงอยู่ มีดอกลาเวนเดอร์มากพอที่จะยังเรียกว่าทุ่งลาเวนเดอร์ได้ ไม่ใช่ทุ่งโหระพา แต่ตอนนี้ไม่มีคนเลยเพราะนี่มันเพิ่งหกโมง นักท่องเที่ยวที่ไหนจะมากันแต่เช้า ลานจอดรถที่กว้างขวางบ่งบอกว่าปกติลูกค้ามากขนาดไหนกลับไม่มีรถทัวร์สักคัน ก็เลยเดินเล่นถ่ายรูปทุ่งลาเวนเดอร์กันอย่างสบายไม่มีนักท่องเที่ยวจีนประกอบฉาก ร้านขายของฝากก็ยังไม่เปิด ไม่ต้องคิดจะซื้ออะไรทั้งนั้น ดอกลาเวนเดอร์ที่นี่คิดว่าถ้าเป็นช่วงที่บานเต็มที่คงจะสวยกว่านี้เยอ
ออกเดินทางกันต่อ ถนนมีน้ำขังเล็กน้อยจากฝนตกเมื่อคืน ทิวทัศน์เป็นชานเมืองเรียบๆ ทางส่วนมากจะตรงอย่างเดียว ปั่นไปพักเดียวฝนก็เริ่มตกปรอยๆ อีกแล้ว ใจเย็นสิจ๊ะ… พอพ้นชานเมืองเข้าถนนหลักก็เจอภูเขาทันที ภูเขาสูงชันเอาเรื่องเหมือนจะไถ่ถามว่าเช้านี้ตื่นดีหรือยัง ระหว่างปั่นขึ้นเนินก็ได้พบประสบการณ์ใหม่ก็คือเหงื่อออกพร้อมๆ กับฝนตก… เหนื่อยจนเหงื่อไหลผ่านหน้าผากทั้งๆ ที่ฝนตกพรำๆ และอากาศเย็นต่ำกว่าสิบห้าองศา… พอถึงยอดก็เลยพักกันก่อนถนนเฉยๆ ไม่มีอะไร
นั่งพักกันที่หน้าร้านคาเฟ่อะไรสักอย่าง ซึ่งถ้าเปิดแล้วคงนั่งกินข้าวเช้ากันที่นี่ แต่ว่ามันยังไม่เปิด… ก็ควักเอาขนมปริศนาเมื่อวานที่เหลืออยู่ 1 ถุงมากินรองท้องก่อนออกเดินทางกันต่อ ถนนแถวนี้เป็นทางหลวงสองเลนตัดผ่านภูเขา ด้านข้างเป็นต้นไม้ทึบ ไม่มีเกาะกลางถนน ไหล่ทางค่อนข้างแคบ บางครั้งก็มีรถบรรทุกคันใหญ่ๆ วิ่งผ่านไปน่าหวาดเสียว นี่ขนาดว่าเช้ายังมีรถประปราย ถ้าเป็นช่วงกลางวันคงน่ากลัวกว่านี้เยอะ แซงไปทีวูบวาบๆ ระทึกขวัญดี(?) ที่นี่ผมเริ่มแรงตกปั่นตามไม่ทัน โดนคุณ E ทิ้งระยะ โดยเฉพาะเวลาลงเนินเฮียจะลงไวมากๆ ไม่ได้แตะเบรคเลย บางครั้งเกือบจะหายไปจากสายตาหรือว่าหายไปเลย จะมีไล่ทันบ้างเวลาเจอเนิน เพราะทางนั้นจานหน้าใบเดียวขึ้นเนินได้ช้า แต่ส่วนมากจะเป็นการหยุดรอเสียมากกว่า
ไปสักพักนึงก็เจอเมืองเล็กๆ เจอร้านลอว์สัน (หรือเซโกะมาร์ทวะ) เห็นมิตรสหายของเราจอดรออยู่แล้วชี้ไปทางร้านก็เลี้ยวเข้าไปหาอะไรกินกันทันที (อย่าลืมว่าเมื่อวานไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย) เข้าไปก็สอยเสบียงกันมาอย่างรวดเร็ว เห็นปลาซาบะกระป๋องลดเหลือร้อยเยนเลยหยิบมาแบบงงๆ ลดราคาทำให้สติและเหตุผลลดลง? ลอว์สันสาขานี้ด้านนอกมีสวนเล็กๆ มีที่นั่งหินอ่อนสวยงามเลยไปนั่งกินกันแถวนั้นมื้อเช้าคาโบนาร่าและเสบียงชูครีม
พออิ่มท้องก็รีบเดินทางต่อ..ปัญหามันเริ่มจากตรงนี้ เพราะนั่งพักและหลบฝนจนตัวเริ่มอุ่น แต่ข้างนอกฝนยังตกอยู่และลมก็แรง จังหวะเริ่มออกตัวจะรู้สึกหนาวมาก หนาวจนฟันกระทบกันดังแกร่กๆ แบบในการ์ตูนเลย ต้องปั่นออกแรงไปสักพักจนตัวเริ่มอุ่นก็จะหายหนาว ปั่นไปเรื่อยๆ เนวิเกเตอร์ก็ชวนเราเข้าทางแปลกๆ เป็นทางเลียบคลองสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ เจอลุงคนนึงปั่นอยู่เส้นเดียวกัน ลุงแกปั่นเร็วใช้ได้เลย ทางจักรยานปั่นสบายดี แต่เสียดายที่ไม่ยาวเท่าไหร่แถมยังหลงอีก หาทางออกเข้าถนนหลักไม่ได้ เจอแต่ทางลูกรัง ต้องวกกลับ
กลับเข้าถนนหลักได้ก็ยิงยาว ถนนไหล่ทางแคบและรถเยอะเหมือนเดิม… ฝนก็ยังคงตกปรอยๆ อยู่ แต่เม็ดไม่ใหญ่มาก พอหนาวๆ ชื้นๆ แต่ไม่เปียก เส้นทางที่ใช้จากฟุราโนะไปนาโยโระนั้นหลบเมืองอาซาฮิคาว่า เพราะอาซาฮิคาว่าเป็นเมืองใหญ่ ใหญ่เป็นอันดับสองของฮอกไกโด(รองจากซัปโปโร) ถ้าเข้าไปต้องเสียเวลา(และกิเลศ)มากแน่นอน
นาโยโระ 42 กิโล วัคคาไน 215 กิโล
แถวนี้พอเห็นป้ายเขียนว่า Wakkanai 215 km ก็เริ่มรู้สึกว่าเส้นชัยนั้นมีอยู่จริง เอื้อมได้ถึงแม้จะยังอีกไกลก็ตาม ปั่นไปสักพักก็เจอทางขึ้นเขาจนเริ่มเหนื่อย พอเจอจุดพักรถก่อนถึงชิเบตสึเลยนั่งพักกันก่อน ฝนซาแล้วแต่ยังหนาวอยู่ ที่จุดพักรถมีห้องน้ำสวยและอุ่นมาก มีศาลาเล็กๆ ให้นั่งพัก ก็ไปนั่งคุกเข่าควักชูครีมที่ยังเหลืออยู่จากเมื่อเช้ามากิน นั่งท่าคุกเข่าเพราะเมื่อยขามาก… ทำแบบนี้แล้วสบายดี คุณ E เห็นแล้วสมเพชเวทนาเลยให้สเปรย์คลายกล้ามเนื้อมาฉีดช่วย เฮียนี่ไอเท็มเยอะมาก เตรียมพร้อมมาอย่างดี(ยกเว้นถุงนอน)…
จุดพักรถ
ถนนแถวนี้ จอดเพราะอะไรสักอย่างลืมแล้ว
ไปกันต่อถึงเมืองชิเบตสึ เห็นบ้านเยอะเลยแวะพักกันแถมเที่ยงแล้วด้วย เริ่มหิว เจอร้านราเมงน่าสนใจเลยเข้าไปกินกัน ที่ร้านมีป้ากับยายสองคน (มีลุงอีกคนเป็นคนทำราเมง) ร้านคนเยอะพอสมควร แต่พอมีที่ว่างจากคนเก่าที่เพิ่งกินเสร็จ แต่ป้า-ย้ายเก็บโต๊ะช้ามากๆ ค่อยๆ กระเถิบๆ เข้าไปเก็บทีละจานสองจาน กว่าจะยก กว่าจะเช็ดโต๊ะ จนลูกค้าบางคนเข้าไปช่วยเก็บ รออยู่นานมากกว่าจะได้สั่ง แถมพอสั่งไปแล้วราเมงก็ทำช้ามากอีก เข้าร้านไปตอนเที่ยงสี่สิบห้า กว่าจะได้ก็บ่ายโมงยี่สิบ กินกันรวดเร็ว 15 นาทีจ่ายเงินแล้วรีบไปกันต่อเลย
ราเมงที่รอนานมาก
ออกมาจากร้านราเมงฝนก็ตกอีกรอบ… ลมแรงและหนาวอีกครั้ง ไม่มีทางเลือกอื่นแน่นอน ต้องลุยฝนกันต่อ เห็นป้ายเขียนว่าอีก 30 กิโลถึงนาโยโระเป้าหมายของวันนี้แล้ว ปั่นไปสักพักเจอวัวเว้ย! วัวแรกของฮอกไกโด มีอยู่สามสี่ตัว ตื่นเต้น แต่ไม่ได้จอดถ่ายรูปเพราะโดนทิ้งไปห่างแล้ว…. ก่อนถึงนาโยโระก็เข้าถนนหลักที่รถเยอะอีกรอบ แต่ฝนหยุดแล้วค่อยดีขึ้นหน่อย วันนี้ปั่นได้แย่มากเพราะล้าวันก่อนๆ และวันนี้ต้องปั่นไกลกว่าเดิม โดนทิ้งจนต้องจอดรอหลายครั้ง ขอบคุณมากครับ… ก็ฝืนไปช้าๆ ตามสภาพตัวเองไปเรื่อยๆ พอใกล้จะถึงนาโยโระก็เจอกับ… ถนนไฟแดงร้อยอันอีกครั้ง เมื่อเจอกับไฟแดงร้อยอันจักรยานทั้งหลายก็จะโดนละลายพฤติกรรมและความเร็วจนไม่โดนทิ้งห่างไปเอง…
เวลาสี่โมงครึ่งก็ถึงเมืองนาโยโระ นาโยโระเป็นเมืองใหญ่แต่เรียบๆ บ้านช่องดูเหลี่ยมๆ สะอาดตา ระยะห่างระหว่างหลังค่อนข้างเยอะ บ้านไม่แออัด แล้วก็ไม่มีเงาคนเลย ร้างมาก ขนาดว่านี่ก็ตอนกลางวันแท้ๆ ยังร้างขนาดนี้ ดูไร้ซึ่งสิ่งบันเทิงโดยสิ้นเชิงจนสงสัยว่าถ้าอาศัยอยู่ที่นี่วันๆ จะมีอะไรทำมั่งเนี่ย ตอนที่รู้ว่าอีก 7 กิโลจะถึงที่พักก็เริ่มดีใจจะถึงแล้วโว้ย เตียง! ออนเซ็น! มื้อเย็น!! แถวนี้มีรถเมล์ด้วย ก็ค่อยๆ ปั่นผ่านเมืองจากด้านล่างทะลุออกด้านบนของเมือง เลี้ยงไปนิดนึงก็เจอเกสต์เฮาส์ที่จองเอาไว้ นิสชินเกสต์เฮาส์
สีเขียวคือเกสต์เฮาส์ ส่วนหลังสีน้ำตาลคือคาเฟ่
เข้าไปในเกสต์เฮาส์ก็ไม่เจอใครเลย ลองเรียกๆ สักพักมีลุงคนนึงออกมาแล้วบอกให้ไปที่คาเฟ่อีกด้านที่เป็นร้านอาหาร พอเข้าไปก็ไม่เจอคนอีกเหมือนกัน เลยฝากให้เพื่อนที่เป็นคนจองลองโทรหาดู แต่ยังไม่ทันโทรก็มีผู้หญิงคนนึงออกมาจากในครัว เป็นเจ้าของเกสต์เฮาส์ พูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย คุยกันสักพักก็จำได้ว่าเป็นคนที่จองไว้เมื่อวาน เขาก็บอกว่าจอดจักรยานในโรงเก็บของด้านหลังได้ จากนั้นก็พาไปดูห้อง
สภาพในห้อง
ห้องพักมี 2 เตียง (เตียงสองชั้น 1 เตียง จริงๆ แล้วพักได้สามคน) มีห้องน้ำและมีเครื่องซักผ้า ค่าที่พักคนละ 3,000 เยนต่อคืน เพิ่มอาหารเย็น 900 เยน มีออนเซ็นฟรี (มูลค่า 500 เยน) แต่ต้องไปเองและค่อนข้างไกล… ก็เลยไม่ไปดีกว่า อาบน้ำที่นี่ละกัน เจ้าของบ้านเสนอว่าขับรถไปส่งคิด 500 เยน แต่ก็ขี้เกียจไปอยู่ดี ระหว่างที่กำลังจัดของจัดอะไรกันอยู่ก็มีจักรยานมาอีกสองคน น่าจะเป็นเด็ก ม.ปลาย มาพักที่นี่เหมือนกัน เจ้าของบ้านเลยเสนอว่าถ้าไปออนเซ็นกัน 4 คนเลยจะพาไปให้ฟรี แน่นอนว่าถ้าฟรีก็ต้องไปสิ
นั่งรถไปกัน 4 คน เด็กม.ปลาย สองคนนั่นคงสงสัยว่าอีตาลุงไกจินสองคนนี่มันปั่นจักรยานไปไหนกันหว่า ระหว่างทางเจ้าของบ้านแนะนำว่าถนนที่ขับรถผ่านเคยเจอหมีด้วย หน้าหนาวแถวนี้จะเป็นลานเล่นสกี อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ -30 องศา จินตนาการไม่ออกเลยว่ามันหนาวขนาดไหน… แต่เจ้าของบ้านบอกว่าเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด หน้าหนาวทิวทัศน์จะสวยมาก และก็รักที่นี่มาก
นั่งรถอยู่ 15 นาทีก็ถึงออนเซ็นที่อยู่ชั้นล่างของซันพิลลาร์
ข้างในออนเซ็นหรูหรามาก คนละเรื่องกับคืนแรกเลย จริงๆ ค่าเข้า 500 เยน แต่มีตั๋วฟรีจากเกสต์เฮาส์ก็เลยได้แช่น้ำรอนฟรี แต่คุณ E ลืมเอาตั๋วมา เลยต้องจ่าย 500 เยนเอง (หัวเราะ) นี่ก็เข้าออนเซ็นเป็นครั้งที่สองแล้ว เริ่มชำนาญ ฝากของแก้ผ้าเข้าไปอาบอย่างรวดเร็ว เขาแนะนำว่าไม่ควรแช่เกิน 15 นาที วันนี้เลยลองแช่ 15 นาทีเป๊ะๆ ดู ตอนขึ้นจากบ่อนี่หน้ามืดเลยแฮะ… ทีหลังจะไม่แช่นานๆ แล้ว เสร็จก็ออกมานั่งพัก ออกไปถ่ายรูปเล็กน้อยเจ้าของบ้านก็มารับกลับตอนหกโมง
นัดกินข้าวตอนหกโมงครึ่ง เลยรีบเอาเสื้อผ้าใส่ตะกร้าไปซักไว้ก่อน แล้วไปรอข้าวเย็นที่คาเฟ่ ส่วนคาเฟ่ของที่นี่ขายอาหารตามปกติด้วย เซ็ตอาหารเย็น 900 เยนวันนี้คือ.. บุลโกกิ เป็นอาหารเกาหลีนี่หว่า แต่ช่างมันเหอะเนอะ บุลโกกิคือวุ้นเส้นผัดเนื้อราดข้าว มีเครื่องเขียงเป็นผักทอดกับกิมจิ ตบท้ายด้วยไอติมแท่งนึง รสชาติก็อร่อยดี ปริมาณก็เยอะ เพราะเขารู้ว่าที่มาพักมีแต่พวกใช้แรงงาน ต้องอัดเต็มที่หน่อย เปิดเมนูดูร้านนี้มีแต่อาหารเกาหลี… จะว่าไปเจ้าของบ้านก็หน้าออกเกาหลีๆ นะ
ข้าวหน้าบุลโกกิ รูปดูเหมือนน้อย แต่จริงๆ จานใหญ่มาก กรุณาเทียบกับขนาดตะเกียบ
กินเสร็จก็กลับห้อง ผ้าก็ซักเสร็จพอดี ก็เอามาตากพัดลมในห้องกันเป็นหย่อมๆ น่าอุจาดเล็กน้อยแต่ชายโฉดสองคนก็หาแคร์ไม่ เช็คข่าวคราวจากโซเชียลได้ความว่ามิตรสหายอีกกลุ่มนึงที่จะเดินทางมาปั่นจักรยานที่ฮอกไกโดเช่นกัน ตอนนี้ถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว ถ่ายรูปที่ซัปโปโรมาอวด โดยกลุ่มนั้นจะนั่งรถไปเริ่มจาก Wakkanai แล้วปั่นลงมาทางใต้ ตรงข้ามกับทางนี้ที่จะขึ้นเหนือไป Wakkanai พรุ่งนี้ถ้าจังหวะดีๆ อาจจะมีสวนทางกัน
สภาพห้องเมื่อใช้งานจริง
วันนี้มีห้องส่วนตัว! ได้นอนเตียง! แถมอาบน้ำแล้ว!! ท้องก็อิ่มแล้ว!!! ชีวิตระทมเมื่อวานเหมือนเป็นเรื่องฝันไปทีเดียว แต่ก็นะ วันนี้ปั่นมาถึง 120 กิโล และสำหรับขาอ่อนอย่างเรา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ปั่นเกิน 100 กิโลเมตรในหนึ่งวัน แถมยังต้องปั่นต่อเนื่องอีกหลายวัน ในใจก็คิดว่าผ่านวันที่เนินเยอะสุดและระยะเยอะสุดมาได้แล้ว จากนี้ไปคงไม่มีอะไรแย่กว่านี้แล้วล่ะ (ตอนเขียนทีหลังนี่หัวเราะทั้งน้ำตา….)
วันนี้ขาล้ามาก แต่เรียนรู้มาแล้วว่ากล้ามเนื้อที่ใช้ปั่นจักรยานกับกล้ามเนื้อที่ใช้เดินเหินในชีวิตประจำวันนั้นเป็นคนละส่วนกัน ล้าจากการปั่นยังไงก็ยังเดินเหินได้ปกติดี แต่กระนั้นพอคลำๆ ดูก็เริ่มรู้สึกเจ็บข้อพับด้านในเล็กน้อย คุณ E เลยเปิดสมบัติออกมา… มีทั้งยาฉีด ยากิน ถุงร้อน ยาแก้ไข้ ตาโด๊ป สารพัดยา แล้วก็ส่งยาคลายกล้ามเนื้อมาให้กิน แล้วบอกว่ากินแล้วจะง่วงนะ ผมก็กินแล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว… เตียงนี่มันยอดเยี่ยมแบบนี้นี่เอง
ของกินและที่พักวันที่ 3
ลอว์สัน #1
- คาร์โบนาร่ากล่องใหญ่ 450¥ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่
- ชูครีม 180¥ กินที่จุดพักรถ อร่อยมาก
- ซาบะกระป๋อง 100¥ มันลดราคาเลยซื้อมาลอง ยังไม่ได้กิน
- โค้ก 140¥
ลอว์สัน #2
- ข้าวปั้นบ๊วย 150¥ อร่อยดี เปรี้ยวๆ
- น้ำโพคาริส 120¥
- ราเมง 850¥ รสชาติพอได้ แต่รอนานมาก
- บุลโกกิเซ็ท 900¥ จืดไปหน่อยแต่ก็พออร่อยอยู่ ได้เยอะดี
- เกสต์เฮาส์ 3000¥ แถมออนเซ็นฟรี