607 | Day 6 เกียวโต-เกียวอนิ

ในวันนี้แต่เดิมวางแผนไว้ว่าจะไปอาราชิยามะ แต่นึกได้ว่าวันนี้มันวันอาทิตย์ คนต้องล้นอาราชิยามะแน่ๆ เลยสลับกับแผนวันพรุ่งนี้ ให้ไปอาราชิยามะวันจันทร์แทน แล้ววันนี้จะเปลี่ยนเป็นไปเที่ยวโซนล่างของเกียวโตอันได้แก่ ศาลเจ้าอินาริ เกียวโตอนิเมชั่น และวัดเบียวโดอิน(ถ้าไหว)แทน
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมมาญี่ปุ่นนี่แล้วตื่นตีสี่ทุกวัน แต่วันนี้พิเศษกว่าเดิมอีก คือตื่นแม่งตีสองเลยเห้ย ยิ่งอยู่ยิ่งไม่เข้าใจตัวเอง ตื่นมาก็หิวอีก ทำอะไรไม่ได้ก็หยิบกล้วยที่เหลือจากเมื่อวานมากินประทังชีวิต แล้วก็พยายามข่มตานอนต่อ หลับไปอีกตื่นลืมตามาตอนตีสี่เริ่มสว่าง นอนเปิดเน็ทดูว่าเช้าวันนี้จะกินอะไรดีน้า (อนาถามาก..) จากที่เคยมาร์คไว้ พอออกจากหมู่บ้านจะเจอร้านโยชิโนยะ อยากกินข้าวหน้าเนื้อโยชิโนยะจุง… แต่ยิ่งดูเมนูก็ยิ่งหิว การเปิดดูเมนูอาหารกลางดึกนี่มันฆ่าตัวตายชัดๆ ท้องก็ร้องโครกโครก… ได้แต่จินตนาการรสชาติของข้าวหน้าเนื้อโยชิโนะประทังความหิวไป
พอซักตีห้าก็ลุกมาเตรียมตัว เนื่องจากไม่ได้ซักผ้ามาหลายวันแล้ว วันนี้ต้องซักผ้าก่อนออกไป พอจะเอาเสื้อผ้าไปซักก็ด้อมๆ มองๆ จะตากที่ไหนวะ มองไปมองมา อ้าวมีเครื่องอบผ้าด้วย ไฮโซโคตร ซักเสร็จก็อบแห้ง แต่กางเกงยีนส์แห้งช้าขี้เกียจรอได้แค่หมาดๆ เลยเอาไปตากในห้องต่อ พวกเสื้อที่อบแห้งนี่ฟูฟ่องนุ่มนิ่มมาก เครื่องอบผ้ามันดีแบบนี้นี่เอง เช็คโน่นนี่นิดหน่อยแล้วก็ออกจากบ้าน ตอนล๊อคประตูเหมือนมีกล้องถ่ายอัตโนมัติด้วย
สวัสดีคาสึระโอกะ หมู่บ้านดูสำหรับผู้มีอันจะกินทีเดียว วันนี้จะไม่ออกทางเดียวกับที่เข้ามาเมื่อวาน แต่จะออกทางด้านหลังม.เกียวโตแทน ก่อนออกไปแอบไปดูตรงที่เป็นทางลัด ล๊อคประตูเรียบร้อยมีป้ายห้ามเข้าอีกต่างหาก… ไม่ไปก็ได้จ๊ะ… เนื่องจากเมื่อวานตอนเข้ามาในหมู่บ้านขึ้นเนินมาเยอะ ขาออกนี่ก็จะได้ชดใช้กรรมแทน (เป็นศัพท์ที่คนปั่นจักรยานรู้กัน ขึ้นเนินมาเท่าไหร่ก็ต้องชดใช้กรรม(ลงเนิน)เท่านั้น) ขาออกนี่แทบจะบินเลย นับตั้งแต่หมู่บ้านลงจนถึงไปร้านโยชิโนยะประมาณ 2 กิโลนี่ไม่ต้องปั่นแป้นถีบเลยสักครั้ง ไหลลงเนินตลอดทาง (เร็วด้วย) ต้องเบรคเป็นระยะเพราะกลัวจะบินเหมือนกัน




หมู่บ้านคัตสึระโอกะ
ถึงร้านโยชิโนยะก็ได้ล๊อคจักรยานเป็นครั้งแรก ตั้งแต่มานี่ยังไม่เคยล๊อคจักรยานเลย ใช้ที่ล๊อคกากๆ แบบที่เอาคีมตัดได้ใน 5 วินาที ไม่ต้องใช้กุญแจ เป็นหมุนรหัสแทน เนื่องจากยังเช้าอยู่ ในร้านมีคนไม่มากนัก เข้าไปสั่งข้าวหน้าเนื้อขนาดใหญ่ (จริงๆ จะสั่งพิเศษด้วย แต่อ่านคันจิไม่ออก…) ข้าวเยอะ เม็ดสวย แต่เนื้อก็ไม่ได้เยอะอะไรกว่าของไทย รวมๆ แล้วก็อร่อย แต่หิวมากเลยไม่อิ่มสะใจ กินเสร็จก็ออกเดินทางต่อ

ข้าวหน้าเนื้อโยชิโนยะ
นับตั้งแต่มาญี่ปุ่นนี่ก็เป็นวันที่ 6 แล้ว ตอนเข้ามาในเกียวโตเริ่มรู้สึกแปลกๆ คือรู้สึกเหมือนเราเป็นสิ่งแปลกปลอมของท้องที่ เราเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ ไม่เข้ากันกับภาพของเมืองนี้ เหมือนเป็นจุดสนใจ ตอนอยู่ชิมานามิไม่รู้สึกแบบนี้เพราะว่าปั่นจักรยานอยู่ ทุกคนปั่นจักรยาน เป็นพวกเดียวกัน แต่คนที่นี่ทุกคนใช้ชีวิตกันตามปกติยกเว้นเรา ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะมาคนเดียวด้วย ไม่รู้จะทำไงก็เลยหยิบผ้าปิดปากมาปิด พรางตัวเองให้ปนๆ ไปคนอื่นแทน ระหว่างที่ปั่นๆ อยู่ก็เจอตำรวจปิดถนน เหมือนจะมีงานแห่อะไร ก็เลยยืนรอดู + ถ่ายรูป เป็นงานแห่เกี้ยวอะไรสักอย่างนึง ตอนที่รอถ่ายมีสาวแว่น JK ปั่นจักรยานมาเข้ากล้องพอดี เราก็ไม่พลาดที่จะกดชัตเตอร์ไว้ด้วย!

แห่อะไรสักอย่างไม่รู้


JK แว่นกับจักรยานสีชมพู
ปั่นไปอีกนิดก็นึกขึ้นได้ว่าอยู่ในเมืองแล้วน่าจะมีร้านไดโซะอยู่(ยังไม่เลิก) เปิดโทรศัพท์ดูแผนที่ก็เจอว่ามีไดโซะอยู่ในซุปเปอร์ใกล้ๆ ก็เลยปั่นไปดู พอเข้าไปก็พบว่า…มันเปิด 9 โมง (ตอนนี้ 8 โมง) อดอีกแล้ว ก็กลับสู่เส้นทางเดิมที่จะไปศาลเจ้าอินาริ ทางไม่ค่อยซับซ้อน ตรงอย่างเดียว รถไม่เยอะ ถนนกว้าง แต่ก็ปั่นเร็วไม่ได้เพราะไฟแดง อากาศดี แดดอ่อนๆ ปั่นไปสักพักก็ถึงศาลเจ้าอินาริก็ต้องตะลึงตึงตึง คน คน คน!! คนเยอะมาก!! ลืมไปเลยว่าศาลเจ้าอินาริมันก็ดังพอๆ กับอาราชิยามะแหละ คนมันก็ต้องเยอะไม่แพ้กัน คนมาเที่ยวมีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและนักเรียนที่มาทัศนศึกษา มองรวมๆ แล้วน่าจะมีนักเรียนเยอะที่สุด โดยปกติแล้วผมไม่ชอบที่คนเยอะๆ เท่าไหร่ แต่จากการตรากตรำวนเวียนอยู่ในชนบท ไม่ได้เข้าแหล่งท่องเที่ยวพบเจอผู้คนมาหลายวัน ตอนที่เห็นนักท่องเที่ยวละลานตานี่ก็รู้สึกดีใจอบอุ่นแบบบอกไม่ถูก มาเที่ยวมันก็ต้องบรรยากาศแบบนี้ดิวะ คนล้นๆ ครึกครื้น ร้านรวงเหมือนเทศกาล ทำลายความรู้สึกอึนๆ เมื่อกี้ปเลย เพราะมองไปรอบๆ ทัวร์จีนบานเบอะ… ดูแปลกปลอมกว่ากุเยอะ


ศาลเจ้าอินาริคนเยอะมากกกกกก

รู้สึกจะหนักนักเรียน ปล. ถึงจะวันอาทิตย์ แต่ก็ใส่ชุดนักเรียนเวลาไปไหน

พยายามหามุมคนน้อย
ที่นี่มีโซนจอดจักรยานชัดเจน มองหาได้ไม่ยาก กว้างจอดง่ายไม่เต็ม ตอนจอดจักรยานเสร็จแล้วเดินถือกล้องเข้าไปนี่รู้สึกดีมาก ไม่ใช่อะไรนะ คือไม่ได้อยู่ในสถานะนี้มา 5 วันแล้ว สถานะที่เดินเที่ยวตัวปลิวๆ ดูโน่นนี่ไปเรื่อยๆ เพราะที่ผ่านมาจะอยู่บนจักรยานและมีกระเป๋าใบใหญ่ตลอด… เดินผ่านประตูโทริอิอันใหญ่ๆ เข้าไป ด้านข้างมีศาลเจ้าเล็กๆ แล้วมีมิโกะสามคนออกมารำเขย่าไม้เท้าแบบในคิมิโนะนะวะ เสียดายเขาไม่ให้ถ่ายรูป วิธีห้ามถ่ายรูปคือจะมีลุงคนนึงมายืนตรงกลาง ถือป้ายห้ามถ่าย พอลุงเห็นคนไหนยกกล้องก็จะเอาไม้ชี้หน้าเลย ยอมรับว่าเกะกะการดูอยู่ แต่ก็ทำให้คนไม่ถ่ายรูปได้จริงๆ ก็เดินลอดเสาโทริอิไปเรื่อยๆ มีทัวร์จีนคุยกันขโมงโฉงเฉง เดินไปประมาณครึ่งทางก็พอล่ะ คนเยอะ ขึ้นไปก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ตอนลงด้านหลังของเสามันจะมีชื่อคนทำบุญซื้อเสาอยู่ มีทั้งชื่อลุงป้าน้าอา ชื่อบริษัท ชื่อหน่วยงาน ถ้าอ่านไม่ออกก็คงไม่คิดอะไร แต่ถ้าอ่านออกจะนึกถึงเก้าอี้ตามวัดในไทยที่มีชื่อ ส.ส. หรือคนบริจาคแปะอยู่… เหมือนกันแหละ ได้ยินว่าที่นี่ตอนกลางคืนก็ยังเปิดอยู่ จัดไฟสวยแถมไม่มีคน ปั่นจักรยานขึ้นมาได้เลย แต่คงไม่ได้แวะมาตอนกลางคืนแล้ว
จิ้งจอก
แฮร่

เดินลอดโทริอิ
ขาออกผ่านถนนแผงลอยขายของกิน ด้อมๆ มองๆ ตัดสินใจกินเนื้อย่างไม้นึง (500 เยน) ไม้ใหญ่น่ากินทีเดียว สำหรับร้านแผงลอยที่ญี่ปุ่นจะไม่เหมือนเมืองไทยคือซื้อแล้วควรจะกินตรงนั้นเลย ไม่ถือเดินไปเรื่อยๆ หรือถ้าถือไป ก็จะไม่เอาออกมากิน หาที่นั่งกินเป็นจุดๆ เหตุผลหลักก็คือมันจะสกปรก ไหนจะน้ำจิ้มหยด ไหนจะไม้ถุงพลาสติกอีก ประเทศนี้ยิ่งขาดแคลนถังขยะอยู่ น่าเห็นใจมากๆ ผมก็เลยยืนกินตรงนั้นปนๆ กับนักเรียนที่มากะอาจารย์ เนื้อย่างเหนียวๆ หน่อย น้ำซอสเค็มๆ บอกตามตรงว่าไม่ประทับใจเท่าไหร่เหมือนกัน…
โทริอิด้านหลัง

จังหวะนี่แหละ คนทิ้งระยะพอดี!
จุดหมายต่อไปคือวัดเบียวโดอินซึ่งมีชื่อเสียงมากเพราะเป็นวัดที่อยู่บนเหรียญ 50 เยนนั่นเอง ตอนหาข้อมูลรูปสวยมาก (รูปถ่ายเพื่อการโฆษณาเท่านั้น…) วัดเบียวโดอินตั้งอยู่ในเขตอุจิซึ่งอยู่ทางตอนล่างของเกียวโต ห่างจากศาลเจ้าอินาริไม่มากนัก (แต่ก็ไม่น้อยนะ) ถนนเส้นที่ปั่นจากอินาริไปอุจินั่นปั่นเพลินมาก เป็นถนนผ่านย่านชานเมือง เรียบ มีรถยนต์เล็กน้อย และไม่ค่อยมีไฟแดง ทางตรงอย่างเดียวยาวไปเรื่อยๆ รอบข้างก็มีบ้านเรือนร้านค้าเล็กน้อยพอให้ไม่เหงา แต่พอพ้นเส้นนี้ก็จะไปออกถนนใหญ่นอกเมือง รถเยอะทีเดียว เป็นครั้งแรกที่ได้สบถคำพูดประจำว่า “รถเชี่ยอะไรเยอะแยะนักวะ” ที่ใช้ทุกวันตอนอยู่เมืองไทย แดดก็เริ่มร้อนเพราะจะเที่ยงแล้ว ปั่นไปปั่นมาผ่านสถานีโคฮาตะก็เจอสตูดิโอของเกียวโตอนิเมชั่นสาขาโคฮาตะโดยบังเอิญ…

ถนนเส้นจากศาลเจ้าอินาริไปแม่น้ำคาโมะ

ถนนเลียบแม่น้ำคาโมะไปอุจิ
เกียวโตอนิเมชั่น สาขาโคฮาตะ
ในฐานะที่เป็นแฟนบอยฮารุฮิ(หรือว่าเป็นเฮตเตอร์ก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆ) สตูดิโอเกียวอนิก็ถือเป็นแลนด์มาร์คที่อยากไปเหยียบเป็นพิเศษด้วยเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ จริงๆ ก็อยู่ในกำหนดการด้วย แต่จู่ๆ มาเจอนี่ก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ก็ปิดแหละ(ไม่ได้กะจะเข้าไปอยู่แล้ว) แต่ที่ผิดคาดคือมีป้ายปักว่าปิดปรับปรุงด้วย แวะถ่ายรูปนิดหน่อยก็ไปต่อ คาใจเล็กๆ ว่ายังไม่เจอสตูดิโอหลักเลย พอผ่านเขตเมืองที่วุ่นวายแถวนี้ก็เข้าถนนเลียบแม่น้ำคาโมะไปอุจิ ถนนตรงนี้ก็สวย วิวดี บรรยากาศดี ถนนกว้างประมาณ 2 เมตรครึ่ง ใช้ร่วมกับรถยนต์ เจอคนมาวิ่งออกกำลังกายบ้าง รถนานๆ เจอสักคัน ภาพที่แปลกที่สุดบนเส้นนี้คือที่ใต้สะพานจะมีคนมาปิ้ง BBQ เต็มไปหมด เยอะมาก เหมือนปาร์ตี้เลย ลูกเล็กเด็กแดง วัยรุ่น เปิดเพลงด้วย อันนี้คิดเองนะ ไม่แน่ใจเรื่องผิดถูก คือเขาไม่ค่อยมีสถานที่ให้สังสรรค์กลางแจ้งแบบจุดไฟได้เท่าไหร่ อย่างสวนสาธารณะจะมีป้ายห้ามจุดไฟตลอด จุดได้เฉพาะที่ใต้สะพานนี่แหละ มันก็เลยเหมือนพื้นที่เฮฮาไปซะงั้น ยิ่งเป็นวันอาทิตย์ด้วย ยิ่งสนุกกันใหญ่

ออกจากถนนเลียบแม่น้ำ กำลังจะถึงเบียวโดอิน (บรรยายกาศคล้ายๆ ในยูโฟเนียม)
เลาะไปเรื่อยๆ แล้วก็ข้ามสะพานถึงวัดเบียวโดอินตอนประมาณเที่ยง แน่นอนว่าเป็นถึงกับวัดบนเหรียญ 50 เยน คนก็ต้องเยอะอยู่แล้ว ตอนแรกที่เห็นคนเยอะๆ ที่อินาริแล้วตื่นเต้น ตอนนี้กลายเป็นพอเห้อ…. กุเบื่อแล้ว พวกมึงมาเที่ยวกันทำไมเยอะแยะ (ถ้ามีคนตอบคงบอกว่า “ก็มาเที่ยวเหมือนมึงนั่นแหละเว้ย”) ด้านหน้าของวัดเบียวโดอินเป็นทางเดินแล้วมีร้านค้าขายของฝากข้างทาง สินค้าขึ้นชื่อของอุจิคือชาเขียว ดังนั้นทุกร้านก็จะมีแต่ผลิตภัณฑ์ของชาเขียว ที่เยอะที่สุดคือซอฟท์ครีมชาเขียว มีแทบจะร้านเว้นร้านเลย ก็เดินเข็นจักรยานดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย (ไม่กล้าปั่นเพราะบรรยากาศคือทุกคนเดินหมด) ถนนตรงนี้จะมีเสาปูนกั้นห้ามรถขับเข้ามา ยืนอยู่แป๊บนึงมีรถขับมาจอดหน้าเสาเหล็ก แล้วคนขับก็วิ่งลงมา…ยกเสาเหล็กออก! เชี่ยมันยกได้ด้วยเว้ย พอขับเข้าไปก็เอาเสามาเสียบคืน….แบบนี้ก็ได้เหรอ

เสาๆ นั่นแหละ ถอดออกได้
ค่าเข้าวัดเบียวโดอินอยู่ที่ 600 เยน (ศาลเจ้าอินาริเข้าฟรี) แถมถ้าจะเข้าชมในตัววัดจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 400 เยน ก็จ่ายแค่ 600 เพื่อเข้าไปก่อน ก็อะหือ คนแม่งเยอะฉิบหาย แค่หาช่องถ่ายรูปยังลำบาก เห็นหนุ่มสาวกลุ่มนึงใส่ชุดยูกาตะกันดูน่ารักน่าแอบถ่ายรูปมาก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ เท่านั้น… แม่งคุยกันเป็นภาษาจีน คุณหลอกดาว….(แต่ก็แอบถ่ายไว้อยู่ดี) ด้านในจะมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ให้เข้าไปอีก ข้างในติดแอร์ มีพวกรูปปั้น รูปหล่อ อะไรหน้าตาเหมือนอยู่ในเมงามิเท็นเซย์เต็มไปหมด จัดวางได้เป็นระเบียบดี แต่ข้างในห้ามถ่ายรูปเน้อ เดินวนไปวนมาก็ออกมาจุดซื้อของฝาก ขี้เกียจเข้าไปในวัดก็ออกเลยดีกว่า ตอนเดินออกก็ได้ยินภาษาไทยครั้งแรกนับตั้งแต่มาญี่ปุ่น เสียงนั้นมาจากสองสาวที่เถียงกันแบบเพื่อนฝูง(อ่านว่าเถียงกันแบบหยาบคาย) ไอ้สัด แม่งมึงเอ๊ย เป็นกันเองมาก ผมได้ยินก็แสร้งว่าเป็นชาวตากาล๊อกฟังไม่ออกเดินผ่านไปเฉยๆ






วัดเบียวโดอินหลายรูป
แวะซื้อขาเขียวอุจิกินแก้วนึง เดี๋ยวเขาจะหาว่ามาถึงอุจิแต่ไม่กินชาเขียว ก็อร่อยดีนะ แต่ทำไมหวานจัง ปกติชาเขาไม่ได้ใส่น้ำตาลนี่ สงสัยเป็นสูตรขายนักท่องเที่ยวมั้ง ตอนข้ามแม่น้ำมาที่นี่เห็นว่ามันจะมีเกาะอยู่กลางแม่น้ำ แล้วมีสะพานแดงๆ น่าข้ามอยู่ เลยกะว่าขากลับจะไปทางนั้นดู ก็วนออกไปด้านหลังเจอศาลเจ้าเล็กๆ น่ารัก ไม่ค่อยมีคนเลยแวะถ่ายรูปเล่น วันนี้ไม่เจอแมวแต่เจอหมาซะงั้น… ด้านหลังก็เจอสะพานข้ามไปเกาะกลางแม่น้ำ แต่พอข้ามไปกลับหาทางข้ามไปฝั่งโน้นไม่เจอ แถมบนเกาะก็เอาหินกรวดปูพื้น ปั่นจักรยานแล้วมันหนืดๆ กลัวยางรั่วด้วยเลยกลับไปทางเดิม แวะนั่งกินซอฟท์ครีมเต้าหู้ซะหน่อยเพราะที่ร้านมีโปสเตอร์ยูโฟเนียม… แบบว่ามันมีแรงดึงดูด… เลาอยู่ทีมง่วงเซมไปนะ

ศาลเจ้าเล็กๆ แถวนั้น
เซียมซี ไม่ใช่อะไร รู้สึกว่าถ่ายรูปนี้สวย

ตู้บริจาคตัง
หมารอเจ้านายที่อยู่ในร้านแถวนั้น
สะพานข้ามไปเกาะกลางแม่น้ำ
แม่น้ำ…คาโมะป่ะวะ?
เป็ด ตอนแรกมันว่ายอยู่ เล็งๆ ปุ๊บมันบินเลย

ยูโฟเนี่ยมมมม

สะพานข้ามไปเกาะกลางแม่น้ำ

ถ่ายจากบนสะพาน
อันที่จริงในเรื่องฮิบิเกะ! ยูโฟเนียมนั้นใช้อุจิเป็นโลเคชั่นด้วย แต่ตอนไปไม่ได้เช็คข้อมูลก่อน ไม่งั้นอาจจะมีแสวงบุญแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่มได้ ขากลับก็กลับทางเดิม เลียบแม่น้ำคาโมะผ่านดงปิ้ง BBQ (แต่เริ่มเก็บของล่ะ) พอไปแถวๆ โคฮาตะก็ขอสำรวจให้หายคาใจหน่อย เกียวอนิสตูดิโออยู่หนใด ก็วนๆ แถวนั้นห่างไปนิดเดียวก็เจอสาขาหลักในที่สุด ตอนนี้มีโปสเตอร์เมดดราก้อนซึ่งกำลังฉายอยู่กับ Free! แน่นอนว่าปิดวันอาทิตย์ ทำเนียนๆ ถ่ายรูปอยู่พักนึงก็ไปต่อ…

มาเยือนเกียวโตอนิเมชั่น!

เซลฟี่(ด้วยจักรยาน)อีกรูป
โอเค วันนี้คอมพลีทล่ะ ไม่มีโครงการจะไปไหนต่อแล้ว เพราะที่เที่ยวอื่นอยู่ด้านบนของเกียวโตที่จะไปพรุ่งนี้หมด (ถ้าวางแผนดีอาจจะอยู่แถวอุจินานกว่านี้หน่อย) เรื่องตลกคือในสมุดจดไว้ว่าวันนี้กินสปาเก็ตตี้กับพุดดิ้งตอนมื้อกลางวัน แต่ในสมองกลับจำอะไรไม่ได้เลย นี่เรากินไปตอนไหน ยังไง ร้านอะไร… กินไปจริงเหรอวะ หรือที่มาอุจินี่ก็เป็นแค่เรื่องมโนไปด้วย… ไม่ละมั้ง เพราะอาการเจ็บตูดนั้นยังสยองถึงวันนี้เลย… ใช่แล้ว วันนี้เจ็บตูดมากเพราะปั่นบนฟุตบาทเยอะ เบาะจักรยานก็ขาดอีก(จริงๆ ขาดมาหลายวันแล้ว) ขากลับพอถึงหน้าสถานีเกียวโตก็เลยตัดสินใจแวะเดินห้างเยี่ยงสิ่งมีชีวิตศิลิไลซ์ซะหน่อย
หน้าสถานีเกียวโตมีห้างอิออนอยู่ ในห้างอิออนนั้นมีร้านไดโซะ ยังไม่ลืมนะ ผมยังตามหากรรไกรตัดเล็บอยู่ ซอกเล็กคันยิบๆ ตลอดเวลา ไม่ทางลืมได้หรอก หลังจากยืนดูคนอื่นใช้เครื่องจอดจักรยานอัตโนมัติจนเข้าใจวิธีใช้แล้วค่อยเข้าไปจอด ก็ได้เข้าไปเดินในห้างอย่างผู้มีอารยธรรมครั้งแรกในรอบหลายวัน ได้เข้าร้านหนังสือไปสงบจิตใจ เดินไปเจอร้านเกมที่มีแต่ตู้ UFO Catcher ซึ่งเล่นไม่เป็นอีก(และไม่คิดจะเล่น) ตอนนี้ฟิกเกอร์สาวผมฟ้าจากเลิฟไลฟ์(ชื่อไรวะ)กับเรม(Re: Zero) เป็นดาราชูโรงล่อนักคีบ แล้วก็ฟิกเกอร์คังโคเระอีกมากมายมหาศาล แวะเช็คราคากล้องมือสองก็ไม่ต่างกับไทย โดยรวมแล้วห้างอิออนนั้นก็ไม่ได้หรูหราเท่าไหร่ ห้างในไทยอลังการกว่าเยอะ ของก็เยอะกว่า ก็เดินๆ ไปจนเจอร้านไดโซะซึ่งกว้างมาก กว้างจนเดินหากรรไกรตัดเล็บไม่เจอ…. สรุปว่าก็ไม่ได้กรรไกรตัดเล็บอยู่ดี… หรือว่าจะต้องกลับไปตัดที่เมืองไทยเนี่ย แต่ยังดีได้เบาะรองตูดอันใหม่มา
หน้าสถานีเกียวโต

เจอคนรู้จักในห้างอิออน
ตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ต้องเริ่มกิจกรรมที่ไม่อยากทำที่สุดของวันนั่นก็คือ…ปั่นจักรยานกลับบ้าน เผชิญกับเนินนรกอันเดิม แต่วันนี้เข้าทางด้านหลังแทน นึกว่าจะสั้นลง ที่ไหนได้ ไม่ต่างกันเลย เนินยาวจนต้องลงเข็น แถมขึ้นไปพอถึงหมู่บ้านแล้วมืด หลงทางอีก… เนื่องจากพอเห็นซุปเปอร์ในเมืองชื่ออิสึมิยะก็นึกได้ว่าแถวบ้านอาสึชิมันก็มีซุปเปอร์อิสึมิยะนี่หว่า ถ้าแวะไปตอนหลังสองทุ่มจะมีของลดราคาด้วย ก็เลยอ้อมไปซุปเปอร์อิสึมิยะตุนเสบียงก่อนเข้าบ้าน วันนี้เราจะเป็นหมาป่า!!

ซุปเปอร์อิสึมิยะแถวบ้านอาสึชิ
ซุปเปอร์ที่นี่ใหญ่มาก แต่เดินวนอยู่โซนลดราคาซะเยอะ ได้โค้ก ไก่ทอด คร๊อกเกะ อะไรสักอย่างอ่านไม่ออกแต่จดไว้ แล้วก็ซูชิอะไรสักอย่าง นอกจากของพวกนี้แล้วยังเจอกรรไกรตัดเล็บในราคา 100 เยนมาด้วย! เกียวโตคอมพลีทแล้ว!! แต่ซุปเปอร์ที่นี่ไม่ใส่ถุงหิ้วให้นะ มีแต่ถุงมัด ต้องใส่เองด้วยเหมือนแมคโคร โชคดีมีถุงจากไดโซะก็ยัดๆ แล้วก็ปั่นกลับบ้าน ถึงบ้านก็ไม่มีคนอยู่เลย แต่มีร่องรอยขยับรถบ้าง อาสึชิเอาเครื่องเล่น Blu-ray มาตั้งไว้ให้หน้าห้องเพราะดันถามไปว่าอยากดู Blu-ray ในชั้นที่บ้าน (เข้าใจผิดว่าเป็น Blu-ray จริงๆ เป็น DVD) แล้วอาสึชิก็เข้าใจผิดอีกต่อว่าผมมี Blu-ray เลยอยากได้เครื่องเล่น Blu-ray… มาดู ก็เลยเอามาให้…. เออ ก็ไม่เป็นไรมั้ง
วันนี้กินไก่ทอดสองชิ้น ซูชิ คร๊อกเกะ ที่เหลือยัดตู้เย็นเป็นเสบียงเผื่อหิวตอนเช้า ถลกเสื้อมาเจอว่าตอนนี้แขนกลายเป็นสองสีแล้ว เพราะใส่เสื้อแขนยาวปั่นตากแดดตลอด มือกับแขนกลายเป็นคนละสีกัน… หน้าก็มีกระหน่อยๆ ด้วย ตายนี่มึงหน้าบางขนาดนี้เลยเรอะ อาบน้ำเสร็จก็จดบันทึกแล้วก็นอนดูทีวี เจอ Attack on Titan ฉาย ดูได้แค่ Openning ก็ฟิวส์ขาดหลับไปเลย
ของกินวันนี้
ข้าวหน้าเนื้อโยชิโนะยะ 660¥ ก็อร่อยแต่ไม่ถึงกะว้าว
เนื้อย่างศาลเจ้าอินาริ 500¥ เค็ม เหนียวนิดๆ รวมๆ ก็พอกินได้
ซอฟท์ครีมเต้าหู้ 300¥ ธรรมดา
ชาอะไรสักอย่างกดจากตู้ 100¥ ธรรมดา
ชาอุจิ 50¥ ขายเป็นแก้วยืนกิน อร่อย แต่หวานผิดวิสัยชาทั่วไป
สปาเก็ตตี้อะไรวะ 460¥ จดไว้นะว่ากิน แต่จำอะไรไม่ได้เลย…
พุดดิ้ง 130¥ งั้นๆ
ชาไดโซะ 108¥ เยอะดี
โค้ก 88¥ ก็โค้กอ่ะ ใส่ตู้เย็นไว้ รู้สึกมีโค้กแทบทุกวันเลยแฮะ…
ไก่ทอด 408¥ สองชิ้น อร่อยดี (ลด 30%)
ครอกเกะ 79¥ ไม่อร่อย (ลด 50%)
(อ่านที่จดไว้เองไม่ออก) 199¥ โอเค (จดไว้..)
ซูชิอะไรสักอย่าง 249¥ ก็อร่อยดี

2 thoughts on “607 | Day 6 เกียวโต-เกียวอนิ”

  1. ไม่มีแมว…….
    จัดเต็มสมกับที่กลั้นมา 5 วันนะครับ..

  2. ไปรอไดโซะเปิดเหมือนกัน… แต่รอที่โอซาก้า 555

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *