Day 5 นั่งรถไฟไปเกียวโต
เช้านี้ก็ตื่นตีสี่อีกแล้ว…. บอกล่วงหน้าเลยว่าตื่นตีสี่เกือบทุกวัน คือปกติตื่นหกโมงไง มาอยู่ญี่ปุ่นก็ตื่นเวลาเดิม มันก็ขยับไปเป็นตีสี่…. ตื่นมาฝนยังพรำๆ จะออกไปถ่ายรูปเล่นก็ไม่ได้ แน่นนอนว่าก็ต้องนอนต่อ…. พอตีห้าก็เริ่มสว่าง เลยเอาข้าวหน้าหมูที่เมื่อวานตุนไว้ในตู้เย็นกิน ฝนก็ยังไม่หยุดตก… แผนการวันนี้วางไว้แบบหลวมๆ คือนั่งรถไฟไปเกียวโต แล้วปั่นไปที่พัก ซึ่งก็ไม่ได้รีบอะไรมากมาย เลยชิลๆ นั่งๆ นอนๆ ในบ้านไปเรื่อยๆ
สักพักฝนหยุดก็ออกไปเดินเล่นกับถ่ายรูปริมทะเล ญี่ปุ่นตอนนี้เป็นสังคมที่มีผู้สูงอายุเยอะ จะเจอคนแก่ทำโน่นทำนี่บ่อยๆ วันนี้ก็เจอยายคนนึงขับรถไฟฟ้า(คล้ายๆ รถกอล์ฟแต่คันเล็กกว่า)ค่อยๆ แล่นผ่านไปช้าๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร ถ่ายรูปโน่นนี่ไปเรื่อย พอจะเดินกลับไปบ้านยายคนนี้ก็วนกลับมาแล้วจู่ๆ ยายแกก็ชวนคุย ยายแกคุยอะไรไม่รู้ฟังไม่ออกเลยสักนิด แต่ยายแกดูมีความสุขก็เลยเอออ่อห่อหมกไปเรื่อย จับใจความได้อย่างเดียวคือแถวนี้เรียกว่าทาจิบานะ คุยสักพักก็ขอตัวเข้าบ้านดีกว่า….
ป้ายสามแยกปากซอย
อ่าวปากซอย
หน้าบ้าน ถ้าเปรี้ยวอยากขึ้นเขาให้หันหลังกลับแล้วลุยได้เลย
วันนี้ไม่ได้ซักผ้า เก็บข้าวเก็บของแป๊บเดียวก็เสร็จ เนื่องจากวันนี้เป็นวันเดินทาง ก็เลยเก็บกล้องเข้ากระเป๋า ดังนั้นวันนี้ก็จะมีแต่รูปจากโทรศัพท์ อาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ ตอนออกจากบ้านก็เอากุญแจหยอดตู้ไปรษณีย์ไว้ แล้วปั่นจักรยานไปโอโนะมิจิ เช้าๆ อากาศเย็น ปั่นเพลินๆ ก็ถึงท่าข้ามฟาก เจอแมวตัวนึงหน้าร้านอาหาร รีบจอดจักรยานจะถ่ายรูป ปรากฏว่ามันวิ่งหนีเข้าไปในร้าน ยืนคุมเชิงสักพักเห็นท่าที่ว่ามันคงไม่ออกมาเล่นด้วยแน่ๆ ก็สลายตัวดีกว่า วันนี้วันเสาร์ คนมาปั่นจักรยานที่ชิมานามิเยอะ ตอนเรือข้ามฟากจอดนี่ดเจอจอดรอกันเพียบ (เราข้ามกลับ ทางนั้นข้ามมา) วันนี้ข้ามมาโผล่หน้าสถานีโอโนมิจิ ซึ่งดูค่อนข้างเจริญกว่าแถวที่พักวันก่อน ร้าน Giant ก็อลังการมาก สวนแถวนั้นมีทั้งคนมาให้เช่าจักรยาน คนที่รอข้ามฟาก คนที่กำลังประกอบจักรยาน ดูคึกคักมาก ตอนแรกว่าจะกินราเมงแถวนั้น แต่ไม่ได้กินเพราะอะไรจำไม่ได้ น่าจะเพราะมันยังไม่เปิด… ก็เลยกินสปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่าอีกรอบ วันนี้เริ่มไม่อร่อยล่ะ… คือมันกินอะไรมันๆ เลี่ยนๆ ทุกวัน จนชักจะเบื่อแล้ว
ยืนคุมเชิงจ้องตากัน
และแล้วก็ถึงช่วงเวลาที่ไม่สนุก วันนี้เราจะต้องถอดจักรยานแพ็คลงถุงเพื่อแบกขึ้นรถไฟ ที่สถานีโอโนะมิจินั้นมีพื้นที่สำหรับประกอบจักรยานโดยเฉพาะ ไม่ต้องไปประกอบหน้าสถานีเกะกะคนอื่น ด้วยว่าไม่รีบก็ค่อยๆ ถอดโน่นมัดนี่ไปเรื่อยๆ สักพักมีหนุ่มสองคนหิ้วจักรยานไจแอนท์อย่างหรูลงจากรถไฟมานั่งประกอบใกล้ๆ สองคนนั้นใส่ๆ แป๊บเดียวเสร็จแล้ว… ของเรายังไม่เสร็จเลย แพ็คผิดแพ็คถูกอีก พอใส่ถุงเสร็จแบกเข้าสถานี ใช้ตั๋ว JR-Pass ที่ซื้อมา (ห้ามทำหายนะ!) จากที่เตรียมข้อมูลไว้ก็คือขึ้นอะไรก็ได้ไปฟุคุยามะ แล้วนั่งโนโซมิไปเกียวโต
จุดประกอบจักรยาน
รถไฟคนไม่เยอะนัก ด้วยความที่จักรยานเกะกะก็เลยรีบไปนั่งที่นั่งที่ใกล้ที่สุด ก็เอ…ทำไมตรงนี้มันว่างวะ คนอื่นไม่เห็นนั่ง มองไปมองมา อ้าวนี่มันที่คนคนท้อง/คนชรา/คนพิการ นี่หว่า ฮ่าๆ นั่งไปแล้วก็ช่างมันละกัน กุขอโทษ อย่ามองเหยียดเลย กุเป็นนักท่องเที่ยวไกจิน กุไม่รู้ววว นั่งอยู่ประมาณ 20 นาทีก็ถึงฟุคุยามะ ไกลเหมือนกันแฮะ… ไอ้ที่ปั่นวันก่อนนี่ไกลขนาดนี้เลยเรอะ บ้าเหมือนกันนะเราเนี่ย…
ที่นั่งคนแก่ คนท้อง และคุณแม่เด็กอ่อน
ฟ้าๆ นั่นคือถุงจักรยาน
โอเคถึงฟุคุยามะแล้ว จากนี้ก็จะต้องต่อชินคังเซ็นโนโซมิไปเกียวโต เพราะตอนขามาก็นั่งโนโซมิ นั่งคันเดิมอุ่นใจกว่า ก็แบกจักรยานขึ้นชานชลาด้านบน ขึ้นมาปุ๊บก็เจอโนโซมิจอดอยู่ทันที เอ่อ คันนี้ป่ะวะ ขึ้นด้านนี้ใช่มั้ยวะ นักเรียนเต็มคันรถ(และสถานี)เลยแฮะ ลังเลอยู่สักพักโนโซมิก็จากเราไป… เลยเช็คข้อมูลในโทรศัพท์อีกรอบ ชัวร์แล้วล่ะว่าไอ้ที่จะขึ้นน่ะ คือคันเมื่อกี้! ดังนั้นก็ต้องรอคันต่อไป 50 นาที เอาวะ ก็ไม่ได้รีบ ค่อยๆ ลากจักรยานไปรอตรงจุดขึ้นตู้ non-reserved (แบบไม่จองที่นั่ง) ตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว หาอะไรกินดีกว่า
ก็เดินไปดูร้านขายข้าวกล่องสถานีรถไฟ ก่อนหน้านี้เคยฟังบรรยายเรื่องแพ็คเกจจิ้ง มีป้าคนนึงบรรยายเรื่องข้าวกล่องรถไฟซะละเอียดเลิศหรู วันนี้ก็เลยจะลองกินข้าวกล่องรถไฟดู ไปยืนเลือกๆ จัดข้าวหน้าปลาไหลมากล่องนึงแล้วไปนั่งกินตรงที่นั่งรอ….เห้ย แม่งไม่อร่อยเลย ไม่อร่อยมากๆ ด้วย มันแห้งๆ หืนๆ หวานๆ ข้าวหน้าปลาดุกยังอร่อยกว่าเลย แพงก็แพง กล่องล่ะตั้ง 1080 เยน อุตส่าห์ตั้งความหวัง orz กินเสร็จเลยต้องไปกดน้ำชามาล้างคออีก
ชินคังเซ็นฝั่งตรงข้าม
พอใกล้เวลารถไฟมาคนก็เริ่มเยอะแฮะ แต่ตู้ non-reserved คนไม่เยอะเท่าไหร่ ขึ้นไปก็ได้ที่นั่งตรงติดประตูซึ่งพอจะวางจักรยานได้ โอเคเราจะอยู่ตรงนี้และไม่จากไปไหนจนกว่าจะถึงเกียวโต ข้างๆ มีพี่อ้วนคนนึงนั่ง(หลับ)อยู่ ไม่มีความตื่นเต้นอะไรระหว่างทาง อึดอัดอย่างเดียว ท่องในใจตลอดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แบกจักรยานขึ้นรถไฟแล้ว ครั้งถัดไปก็คือกลับบ้านเลย อดทนไว้… นั่งอยู่ชั่วโมงนึงก็ถึงเกียวโต สถานีเกียวโตค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ก็ค่อยๆ แบกจักรยานไปเรื่อยๆ (ตอนนี้เริ่มอยากได้บรอมท์ตันล่ะ… จะได้ขนง่ายๆ) พอถึงทางออกก็เอาตั๋วส่งให้เจ้าหน้าที เขาเห็นปุ๊บเรียกไปเคาเตอร์เลย จากนั้นก็เริ่มอธิบายด้วยสมุดภาพที่เตรียมไว้(คงเจอบ่อย)ว่าถ้านั่งชินคังเซ็นจากชินโอซาก้ามาเกียวโต ถึงจะไม่ต้องเสียค่ารถไฟแต่ต้องเสียค่าทางรถไฟอยู่ดี เพราะทางรถไฟเส้นนี้ไม่ได้เป็นของ JR ก็คุ้นๆ ว่าตอนหาข้อมูลก็มีสักที่บอกแบบนี้เหมือนกัน ถ้าไม่อยากจ่ายต้องนั่งหลบสถานีชินโอซาก้าแทน พอเห้อ กูขี้เกียจต่อรถแล้ว สรุปว่าจ่ายเพิ่ม 1,500 เยนจ้า…
ออกนอกสถานีมาได้ก็หาซอกหลีบที่ไม่เกะกะคนอื่นประกอบคืนชีพจักรยาน วันนี้ที่พักที่เกียวโตก็เป็นห้อง Air BNB เหมือนเดิม และจะเป็นที่พักที่พักนานที่สุด คือ 3 วัน เจ้าของห้องชื่ออาสึชิ ติดต่อกันแล้วว่าจะถึงประมาณ 5 โมง ประกอบจักรยานเสร็จตอน 4 โมง ระยะทางประมาณ 12 กิโล กะว่า 1 ชั่วโมงน่าจะกำลังดี ออกมาข้ามถนนตรงหน้าสถานี คนเริ่มพลุกพล่าน ตรงนี้ยังต้องวนเวียนผ่านมาอีกหลายครั้ง บ้านของอาสึชิอยู่นอกเมืองเกียวโต แถวมหาลัยเศรษฐศาสตร์เกียวโต วางแผนไว้ว่าจะใช้ทางลัดด้านหลังหมู่บ้านเข้าไป
เริ่มออกเดินทาง ถ้าเทียบกับอิมาบาริและโอโนมิจิ เกียวโตจะพลุกพล่านกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับคนเยอะ ถนนมีเลนจักรยานก็ไล่ไปเรื่อยจนผ่านสะพานข้ามแม่น้ำคัตสึระ ก็ลัดเลาะไปหาจุดที่คิดว่าเป็นทางลัด พอเข้าไปลึกๆ มันกลายเป็นต้องขึ้นเนินที่ชันเอาเรื่อง แถมดูเหมือนหลุดเข้าไปในโรงพยาบาลอะไรสักอย่าง โดนคนแถวนั้นมองด้วยสายตาประหลาดใจ ก็พยายามดูแผนที่แล้วก็หาช่องทางลัดไม่เจอ จนกระทั่งเกือบ 5 โมงก็ตัดสินใจว่าไม่ได้ล่ะ หาทางลัดไม่เจอ กลับไปเส้นทางปกติละกัน แล้วก็บอกอาสึชิว่าอาจจะช้าหน่อยนะ รอก่อน จากนั้นก็เข้าทางหลักปกติ ถนนก็ปั่นยาก บนฟุตปาทไม่ค่อยเรียบ บางครั้งต้องขึ้นๆ ลงๆ ถนนด้วย ก็ไปเรื่อยๆ ผ่านเนินนิดหน่อยจนถึงทางเข้าสวนคาสึระซากะก็โอเคถูกทางแล้ว
พอเข้าไปได้นิดเดียว โอโห…แม่งเนินยาว แม้จะไม่ชันแต่ยาวมาก เทียบความสูงแล้วก็ประมาณสะพานที่ชิมานามิ 2 สะพานต่อกัน ฝนก็ตกพรำๆ อีก อาสึชิเริ่มถามว่า “ให้ไปรับมั้ยครับ” พอเห็นแฟมิลี่มาร์ทแล้วก็เลยตอบว่า “ใกล้ถึงแล้ว เจอแฟมิลี่มาร์ทล่ะ” สรุปว่าหมู่บ้านที่จะมาพักเนี่ย อยู่บนเขาเต็มๆ ทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นตลอดสามวันที่อยู่ที่นี่ เราจะได้ปั่นขึ้นเขาทุกวัน! ช่างน่าเร้าใจจริงๆ… ปั่นไปปั่นมาหาซอยบ้านไม่เจอ ทะลุไปด้านหลังวนกลับมาอีกที เห็นอาสึชิยืนหน้าบ้านมองไปอีกด้าน (เพราะเราอ้อมมาข้างหลังแล้ว) จนปั่นเข้าไปใกล้เขาถึงรู้สึกตัวแล้วก็ทักทายกัน
อาสึชิเป็นหนุ่มใหญ่ มีลูกสาว 1 คนอยู่สักชั้นป.5 (แต่ไม่ได้เจอหรอก เห็นรูปในโปรไฟล์) อาสึชิให้กุญแจบ้านและ Pocket Wifi (ซึ่งไม่ได้ใช้หรอก) แล้วก็แนะนำสถานที่ในบ้านด้วยภาษาอังกฤษสไตล์ญี่ปุ่น บ้านของอาสึชิเป็นบ้านสมัยใหม่หรูหราทีเดียว ถ้าเป็นเมืองไทยก็น่าจะเป็นบ้านเดี่ยว 15 ล้าน+ บ้าน 4 ชั้นมีโรงจอดรถแบบมิดชิด สวิทช์ไฟเชื่อมกันทั้งบ้าน แต่ทันทีที่เข้าไปก็ต้องตกใจ บ้านรกมาก ไม่ใช่รกแบบสกปรกนะ รกแบบมีของมาเก็บไว้เยอะมาก ทางเดินก็มีลังมีกล่องอยู่ตลอดข้างทางทุกชั้น ห้องทุกห้องเอาไว้เก็บของ บันไดก็มีของวาง หนักที่สุดคือห้องน้ำที่ไม่ใช้ก็เอามาเก็บของ… ในครัวก็รก ในโรงรถก็รก รกทุกห้องยกเว้นห้องที่จะนอน… ของในบ้านจะมี เตียง ตู้ เปียโน ยาสระผม หนังสือการ์ตูน, นิยาย, DVD, CD เพลง, เกม ตอนแรกนึกว่าจะเป็นผู้ใช้แสตนด์แล้ว แต่ดูจากสภาพแล้วไม่เหมือนของส่วนตัว เหมือนเคยเปิดร้านขายพวกนี้แล้วก็ยกกลับมาเก็บไว้ (มี DVD อนิเมเยอะมาก มีฮารุฮิด้วย ฮา) มีชั้นเกมที่ดูคละๆ น่าจะเล่นเอง สรุปว่าที่ใช้ได้มี ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องครัว ห้องซักผ้า ใช้ได้หมด (และรกมาก) พอแนะนำเสร็จก็ถามว่ามีคำถามอะไรมั้ย เลยนึกได้ว่าน่าจะถามเรื่องทางลัด ก็เปิด google map ให้ดูแล้วถามว่าช่องทางตรงนี้จักรยานผ่านไปได้มั้ย อาสึชิก็จ้องอยู่พักนึง (เหมือนจะไม่เก็ทว่ามันตรงไหน) แล้วก็บอกว่าตรงนี้จักรยานผ่านไปไม่ได้ มันเป็นทางเดินขึ้นเขา…. จบเห่ ทางลัดกู
หลังจากแนะนำเสร็จ อาสึชิก็หายตัวไปในบ้านที่รกๆ และเราก็ไม่เจอเขาอีกเลยตลอดสามวันที่อยู่ที่นี่…
หน้าบ้านอาสึชิ
ในห้อง
ชั้นหนังสือ มีอาราคาว่ากับ Saint Youngmen เล่ม 1 ซ้ำเยอะผิดปกติ
ดาคาโป!
ตอนนี้เริ่มมืดล่ะ หิวแล้วก็ต้องออกไปหาอะไรกิน แถวนี้ไม่มีร้านอาหารแต่มีแฟมิลี่มาร์ท ก็ปั่นจักรยานลุยฝนเย็นๆ ออกไป เจอร้านขายยายูทากะก่อน ก็เข้าไปเดินเล่น ไม่ค่อยมีของกิน มีของสดเล็กน้อยเลยไม่ได้ซื้ออะไร ก็ไปหาของกินจากแฟมิลี่มาร์ทเหมือนเดิม วันนี้ข้าวคาราอาเกะ กล้วย (เหมือนในเซเว่นไทยเลย) แล้วก็ชาแอปเปิลแบบกล่อง แอบคิดๆ ว่าซื้อของสดไปทำกินเองดีมั้ย มีครัวแล้วนี่… กลับมากินเสร็จก็รู้สึกหนาวนิดๆ เหมือนจะป่วยเพราะฝนตก เลยไปอาบน้ำ ขอบอกว่าห้องน้ำหรูมาก! อ่างใหญ่ไฮโซ มีปุ่มอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด โหมดซาวน่าโหมดอะไรไม่รู้หลายอย่างเลือกไม่ถูกเลย ห้องน้ำญี่ปุ่นปกติตรงโซนเปลี่ยนเสื้อผ้ามันจะไม่ค่อยมีประตูมิดชิด แต่ที่นี่ยิ่งหนัก มีแค่ผ้าม่านเองด้วยซ้ำ (มีคอมเมนท์ผู้หญิงที่มาพักบอกว่าไม่สบายใจเพราะห้องน้ำไม่มีประตู) แต่ผมไม่สนไง…มันจะแอบดูตูดกูก็ตามใจ (หรือจริงๆ ก็ควรจะระวังด้วย…) อาบน้ำเสร็จก็กลับมาที่ห้อง เปิดทีวีดู นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ดูทีวีนี่หว่า ก่อนหน้านี้ไม่เจอทีวีเลย รายการทีวีญี่ปุ่นก็ไร้สาระจัง….
ห้องน้ำ
ทางเดินทั้งบ้านจะมีแต่ของเกะกะแบบนี้
ห้องครัว สยองตรงไฟมันจะติดๆ ดับๆ, ตู้เย็นด้านซ้ายเต็มไปด้วยเบียร์ และไม่มีของสดใดๆไม่บอกอาจจะไม่รู้ นี่คือโรงรถ
ห้องข้างๆ ไม่มีร่องรอยการอยู่อาศัย
เจอไวฟุ… เห็นแผ่นไมโอโตเมะนี่น้ำตาแทบไหน… เมนทั้งนาโอะทั้งนีน่า
เตียงในห้องมี 2 เตียง ก็เลยดันให้มันติดกันแล้วค่อยนอน เตียงนุ่มมาก เครื่องนอนก็นุ่มดูมีคุณภาพ(และราคา)มาก ขาระบมนิดๆ จากการฝืนขึ้นเนิน ทีวีก็ไม่มีอะไรดู…นอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้เที่ยวแบบนักท่องเที่ยวแล้ว บอกลาการเที่ยวแบบเสียเหงื่อซะที…
สรุปของกินวันนี้
สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่า 460¥ อร่อยแต่เริ่มเอียน
น้ำโซดากลิ่นองุ่น 90¥ ซื้อเพราะถูก ไม่ค่อยอร่อย
ข้าวกล่องปลาไหล(มั้ง)สถานี 1080¥ ไม่อร่อยมากๆ
ชา Ceylon 130¥ โอเค้
ป๊อกกี้ ก็ป๊อกกี้
ข้าวคาราอาเกะ ก็โอเคย์
กล้วย x 4 ก็กล้วย
ชาแอปเปิล อร่อยคุ้มเยอะ
สี่อย่างนี้ 968¥
ไอ้ความลังเลที่จะขึ้นดี หรือไม่ขึ้นดีเนี่ยมัน เข้าใจเลย ฮ่าๆๆ
และด้วยความลังเล ก็ต้องรอเพราะไอ้คันที่ต้องขึ้นเรามักจะปล่อยมันไป