ยามเย็นที่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ที่โบสถ์แห่งนั้น ยูโกะยืนอยู่เบื้องหน้าของรูปปั้นพระแม่ ยูเฝ้ามองเธออยู่เบื้องล่าง “ยูคุง ฉันอยากให้เธอได้รับรู้” เมื่อยูโกะพูดจบแล้วเธอก็ถอดถุงมือ เสื้อนอก ชุดนักเรียน และเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอออก
ยูโกะตื่นขึ้นมาในยามเข้า เธอชูมือของเธอที่สวมถุงมือขึ้นไปข้างหน้า….
- flection
ยูกำลังตระเตรียมสิ่งของเพื่อไปโรงเรียนเหมือนปกติ แต่เขาเหลือบไปเห็นเห็นสมุดสเก็ตภาพที่นางิให้มาวันก่อนแล้วเกิดสะกิดใจขึ้นมา จึงนำมันใส่กระเป๋าเรียนไปด้วย ยูโกะก็เช่นกัน เธอก็นำอะไรบางอย่างที่อยู่ในห่อผ้าใส่กระเป๋าเรียนไปด้วยเหมือนอย่างเคย
ยูนั่งเสก็ตภาพเมืองโอโตวะอยู่บนดาดฟ้า ยูโกะที่มาแอบดูก็ชมว่าวาดสวยเหมือนเดิมเลย แต่ยูห้ามไม่ให้ยูโกะดู ยูโกะบ่นว่าดูไปก็ไม่เสียอะไรสักหน่อย ยูบอกว่าถ้าเอาให้ยูโกะดูก็จะพูดไม่หยุดนะสิ ยูโกะเลยกัดว่าที่ยังไม่มีแฟนก็เพราะเป็นคนแบบนี้ล่ะน้า แต่ตอนนี้ก็มีฉันแล้วนี่ แต่ยูกลับไม่ตอบหรือโกรธอะไรที่ยูโกะล้อเขาเล่น ยูวาดรูปต่อไปโดยบอกว่าวาดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศดีกว่าก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างเดียว ยูโกะบอกว่าสมเป็นนักเรียนตัวอย่างจริงๆ ยูเลยถามยูโกะว่าที่มาเนี่ยเพื่อหยอกเขาเล่นเหรอ ยูโกะบอกว่าเปล่าเลย เพราะเธอรักยูตะหาก ยูทำเสียงหน่ายๆว่ายูโกะพูดอะไรไม่คิดเลย ยูโกะบอกว่าที่เธอพูดก็เพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เวลาเฝ้ามองยูทำให้เธอมีความรู้สึกที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ยูสังเกตเห็นยูโกะท่าทางเพลียๆ คงไม่ค่อยได้นอนอีกแล้วสินะ ยูโกะรับและซบไปที่ใหล่ของยูแล้วนอนหลับไป
uwaku : รูปลักษณ์ภายนอก
ที่โต๊ะของยูมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่าให้ไปห้องศิลปะ จะเป็นใครไปอีกไม่ได้นอกจากนางิ ยูไปหานางิที่ห้องศิลปะ นางิบอกว่าเธอวาดรูปไม่ได้ ทุกสิ่งที่เธอวาดมันบิดเบี้ยว ไม่ว่าจะลองอีกกี่ครั้งมันก็เป็นแบบเดิม ภาพมันบิดเบี้ยวด้วยตัวของมันเองหรือว่าเธอเป็นคนทำให้บิดเบี้ยว หรือว่าโลกนี้ทำให้มันบิดเบี้ยว นางิไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เวลาที่หยิบดินสอขึ้นมาก็รู้สึกขยะแขยงจนอยากจะปามันทิ้ง ยูบอกว่าอย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่า “สลัมป์” นางิบอกว่าปรากฏการณ์นี้ไม่อากจำกัดความได้ด้วยคำสั้นๆ ตัวเธอที่เป็นศิลปินนั้นทำนายว่าถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะวาดรูปไม่ได้ไปตลอดชีิวิต ยูถามว่าตัวเธอเองทำนายให้ตัวเองเหรอ แต่นางิมีน้ำเสียงแล้วบอกว่าไม่ใช่ตัวเธอ แต่เป็นตัวเธอที่เป็นศิลปินต่างหาก คนที่ถูกทำนายก็คือ…..แล้วนางิก็ไล่ยูออกไปด้วยน้ำเสียงรุนแรง ยูจึงปิดประตูแล้วก็จากไป ….คือตัวเธอที่เป็นผู้หญิง นางิพูดต่อจากประโยคที่ค้างคาไว้
Uso : โกหก : ความจริง
คุเซะถามยูว่าพรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า อย่าลืมคอนเสิร์ทอำลาของเขาล่ะ ยูบอกว่าอ้าว..ลืมไปเลย ทำให้คุเซะผิดหวังว่านี่หรือเพื่อนแท้ของเขา แต่ก็ช่างมันเถอะไม่ใช่เวลาแบบนั้นสินะ คุเซะหมายถึงเรื่องของยูโกะที่เกิดวุ่นวายขึ้นมาจนทำให้ยูยุ่งๆ คุเซะบอกว่าเขาคงเงียบอีกต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ จากที่เขาสอบถามเรื่องของยูโกะ ผู้หญิงในห้องบอกว่าบางครั้งเวลามองไปในตาของยูโกะแล้วจะรู้สึกขนลุก คนที่กลัวกลับเป็นเด็กผู้หญิงพวกนั้น ป่านนี้แล้วยูน่าจะพอสังเกตได้ ยูโกะนั้นโกหกอยู่ตลอดเวลา เธอปิดบังอะไรบางอย่างอยู่? ยูนั่นแหละที่จะต้องเป็นคนค้นหา
นางิเปลือยกายอยู่ในห้องศิลปะเหมืออย่างเคย ครุ่นคิดถึงยูและความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นเมือยูโกะปรากฏตัวขึ้น “รุ่นพี่เชื่อในพระเจ้าหรือเปล่าคะ” อีกด้านนึงที่ดาดฟ้า ยูโกะถามคำถามกับยู ยูตอบว่าต่อให้เมื่อก่อนนั้นมีพระเจ้าอยู่ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว มีผู้คนจำนวนมาเกลียดชังโชคชะตาของพวกเขา พระเจ้าก็อาจจะถูกคนพวกนั้นฆ่าไปแล้วก็ได้ ยูโกะเห็นด้วย เธอก็มีเรื่องอยากจะตำหนิพระเจ้าอยู่สองสามเรื่องเหมือนกัน ยูสงสัยยูโกะว่ามีเรื่องโกรธด้วยเหรอ ยูโกะบอกว่าเธอไม่ได้มีแค่ด้านที่เป็นคนดีอย่างเดียวหรอก ทุกๆคนก็มีใบหน้าหลายแบบ หรือจะเรียกว่าหน้ากากก็ได้ ยูถามว่ายูโกะก็ใช้หน้ากากนี้ปิดบังอะไรบางอย่างเหรอ ยูโกะยอมรับและก็บอกว่าผู้หญิงน่ะมีความลับมากมายเลยนะ “อยากจะรู้ความลับของฉันใหมคะ” ยูโกะถามยู “ถ้าเป็นยูล่ะก็ฉันสามารถบอกให้ฟังได้ ไม่สิ ฉันอยากจะบอกกับยูต่างหาก” แล้วยูโกะก็จูบกับยู จากนั้นยูโกะก็บอกว่าเธอเองก็คิดเหมือนกับยู โลกนี้น่ะไม่มีพระเจ้าหรอก เพราะว่าไม่มีพระเจ้า โลกนี้จึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและทุกข์ทรมาน ถ้าโลกนี้มีพระเจ้าอยู่จริง ก็อยากให้ท่านสร้างโลกให้งดงามกว่านี้ อยากให้ขจัดความทุกข์และทำให้ทุกคนอ่อนโยน ไม่มีใครถูกทอดทิ้งหรือพลัดพราก ยูบอกว่าโลกในอุดมคติแบบนั้นน่ะไม่มีอยู่จริงหรอก ยูโกะนั้นรู้อยู่แล้วเธอทำได้แค่เฝ้ารอ
Mirai : อนาคต : อดีต
ยูโกะในวัยเด็กนั่งอยู่ที่ชิงช้า มีชายอีกคนนึงเดินเข้ามาและยื่นมือให้เธอ ยูโกะลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยื่นมือออกไปรับมือนั้นไว้ วันนี้ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ที่จริงแล้วแล้วฉันไม่สนใจหรอกถ้าเธอได้เห็น…ที่จริงแล้วฉันอยากจะให้เธอได้เห็นมันต่างหาก…ยูคุง
ura : ข้างใน : ข้างนอก
เริ่มเย็นแล้ว ยูแวะมาที่ห้องศิลปะเพื่อชวนนางิไปงานเลี้ยงส่งคุเซะ นางิที่มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้้อยพูดขึ้นมาว่าชื่อของเราสองเมื่อนำมาต่อกันก็จะกลายเป็น “ยูนางิ” ใช่ใหม ยูนางิคือเวลาที่ลมสงบในช่วงค่ำ ไม่มีลมพัดไม่ว่าจะที่ทะเลหรือแผ่นดิน อากาศเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานลมก็จะเริ่มพัดอีกครั้ง ยูถามนางิว่ายังวาดรูปไม่ได้อยู่อีกหรือ แต่นางิกลับลืมไปซะแล้วว่าเธอนั้นเคยวาดรูปไม่ได้ เพราะว่าเธอนั้นรู้สาเหตุแล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ยูบอกว่างั้นก็เรียบร้อยแล้วสินะ สิ่งที่นางิทำได้ดีก็มีแต่วาดรูปเท่านั้นหล่ะ นางิบอกว่าเด็กที่เอาแต่วาดรูปนั้นออกไม่โดดเดี่ยวไปหน่อยหรือ เธอเหงา ยูและคุเซะกำลังจะทิ้งเธอไป ยูบอกว่าเขาไม่ได้ทิ้งเธอไปใหนนี่ “หมายความว่าอย่างนั้นจริงหรือเปล่า” นางิถาม แต่ยูกลับหลบตา ยูเป็นคนความรู้สึกช้าหรือว่าแค่แกล้งทำกันแน่ นางิถามซ้ำ แต่ยูก็ไม่ตอบอะไร ดูเหมือนคนที่ความรู้สึกช้าจะเป็นตัวนางิเอง เธอไม่สามารถไขว่คว้าหัวใจของตนได้ เอาแต่คิดเสมอว่าวันเวลาแบบนี้จะคงอยู่ตลอดไป แต่มันเป็นไปไม่ได้…ช่างใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะเข้าใจสิ่งนี้ ยูขอโทษนางิ…. ไม่ต้องมาขอโทษ! นางิตวาด ที่ฉันวาดรูปไม่ได้ก็เพราะไม่สามารถมองเห็นตัวตนที่แท้จริง แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าจะวาดได้อีกครั้งแล้ว ไปสิยูโกะจังกำลังรออยู่นะ นางิพูดกับยู… แล้วยูก็ไปจากห้องศิลปะ
ที่ห้องเรียนยามเย็น มีเก้าอีกสามตัวตั้งอยู่ มีคนมาดูเท่านี้เองเหรอ ยูถามกับคุเซะ แต่คุเซะบอกว่าเปล่าเลยเพราะว่าเขาเชิญแค่พวกนายตั้งแต่แรกแล้ว แล้วก็เตรียมตัวเริ่มปาร์ตี้กันเลยดีกว่า หรือจะให้เรียกว่าคอนเสิร์ทของคุเซะ ชูอิจิแทน แล้วคุเซะก็หยิบไวโอลินออกมา ยูกับยูโกะนั้นประหลาดใจ คุเซะบอกให้คิดซะว่าเป็นที่ระลึกความทรงจำของการจากกัน สำนึกในบุญคุณด้วยนะ ยูโกะงอนนิดหน่อยที่คุเซะพูดกับยูเท่านั้น คุเซะขอโทษแล้วจึงบอกว่าการแสดงในวันนี้สำหรับเพื่อนที่ดีทั้งสองคน ฮิมูระ ยู และ อามามิยะ ยูโกะ ณ ที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยความทรงจำ แล้วคุเซะก็เริ่มบรรเลงเพลงอันไพเราะและงดงาม… เมื่อยูโกะได้ฟัง มือของเธอก็เอื้อมไปจับมือของยูไว้ เสียงไวโอลินของคุเซะถักทอไปยังสถานที่ต่าง นางิที่วาดรูปอยู่ในห้องศิลปะคนเดียว เมื่อได้ยินเสียงดนตรีที่แว่วมาทำให้เธอร้องไห้ ยูุรู้สึกว่ามือของยูโกะที่จับไว้บีบแรงขึ้น เมื่ออยูหันไปมองก็เห็นว่ายูโกะนั้นน้ำตาเต็มสองแก้ม แล้วจู่ๆยูโกะก็ลุกขึ้น แล้วก็วิ่งจากไปในทันที คุเซะหยุดเล่นไวโอลินพยักหน้าส่งสัญญาณว่าให้ยูตามไป…
ยูวิ่งตามยูโกะไปถึงดาดฟ้า ยูโกะขอโทษยู เธอไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาของเธอได้ รุ่นพี่คุเซะนั้นช่างเป็นคนที่ซื่อตรงและบริสุทธิ์ จึงสามารถเล่นท่วงทำนองที่งดงามเช่นนั้นออกมาได้ เสียงที่บริสุทธิ์และไม่บิดเบือน เสียงที่ชัดเจน รุ่นพี่คุเซะต้องเติบโตขึ้นมาโดยแวดล้อมไปด้วยคนที่รักเขามากมาย เขาจึงสามารถเล่นท่วงทำนองเช่นนั้นได้ เสียงนั้นช่างงดงาม งดงามจนตัวเธอกลัวที่จะฟัง ทำให้เธอรู้สึกว่าการคงอยู่ของตัวเธอนั้นช่างไร้ค่าต่อโลกใบนี้เหลือเกิน เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะรู้สึกแบบนั้นได้ ยูจ้องไปที่ยูโกะและบอกว่าถ้างั้นก็เชื่อสิ เชื่อในความรู้สึกของตัวเองโดยไม่แปรเปลี่ยนมัน หรือว่าเธอคิดว่าตัวเธอช่างไร้ค่าต่อโลกนี้จริงๆ ยูถามยูโกะว่ากำลังปิดบังอะไรอยู่ แต่ยูโกะก็ปฏิเสธ ยูตะคอกกลับว่าโกหก! และบอกว่ายูโกะนั้นไม่พูดในสิ่งที่เธออยากพูด ไม่ถามในสิ่งที่อยากถาม และต่อให้ถูกถาม เธอนั้นก็จะไม่ตอบ หลีกเลี่ยงคำถามด้วยคำพูดที่ไม่มีความหมาย เมื่อใหร่ล่ะจะพูดความจริง เมื่อใหร่ล่ะที่โกหก ที่บอกว่ารักฉันน่ะจริงเหรือ พูดจริงหรือว่าโกหกกันแน่ ยูโกะเหมือนจะร้องไห้ ยูตรงเข้าไปจูบกับเธอ แต่ว่ายูโกะกลับถอยหนีออกไป ยูคาดคั้นอยูโกะให้พูดความจริงออกมา ยูโกะบอกว่ายูนั้นช่างไม่มีมารยาทและตื้อรั้นจัง ยูบอกว่าที่เขาทำไปก็เพราะเขานั้นรักยูโกะ และอยากเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ เหมือนกับว่าทุกอย่างได้ปลดปล่อยออกมาก “หมายความว่าอย่างนั้นจริงหรือเปล่า” ยูโกะถามยูอีกครั้ง รักฉันจริงๆใช่ใหม? อยากจะเข้าใจฉันจริงๆใช่ใหม? จะฟังทุกๆอย่างที่ฉันพูดจริงๆใช่ใหม? ยูตกลง แล้วน้ำตาของยูโกะก็ใหลออกมา ในที่สุดก็พูดออกมาสักที ฉันรอมานานแล้ว รอจนกว่ายูจะต้องการฉัน
kyukou : จินตนาการ : ความจริง
ทั้งสองคนย้ายไปคุยกันต่อที่โบสถ์ ยูโกะถามยูว่าเมื่อครั้งอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ยูโกะนั้นเอาแต่เฝ้ามองยูตลอดเวลา แต่ทำไมถึงไม่ยอมเป็นพี่ชายของเธอ ยูโกะพูดไปและก็ถอดเสื้อผ้าออกไปพร้อมๆกันด้วย “ถ้าหากยูเป็นพี่ชายของฉัน ฉันก็ยังคง…งดงามและคงอยู่” ยูโกะถอดเสื้อผ้าของเธออกจนหมดไม่เหลือสักชิ้น นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเธอ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยริ้วรอยแตกร้าว….(กรูจะบรรยายไงเนี่ย) ยูโกะนั้นคิดว่าเธอคงทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไป แต่ครุ่นคิดเท่าใหร่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ หรือว่าจะเป็นความผิดของโลกใบนี้กันแน่ พี่ชายของเธอที่เคยอ่อนโยน รักเธอเหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ตระหนักถึงความจริงที่ยูโกะไม่ใช่น้องสาวของเขา เขาแค่ต้องการให้เธอเป็นตัวแทนของน้องสาวที่เสียชีวิตไปเมื่อครั้งแผ่นดินไหว น้องสาวของเขาไม่อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเขารับรู้ความจริงข้อนี้ความรู้สึกก็แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง น้องสาวของเขานั้นจากไปตั้งแต่เมื่อวันนั้นและเขาก็เิริ่มสั่งสมความเกลียดชังที่ไม่รู้จบขึ้นมา เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งเขาก็เริ่มค้นหาสิ่งที่จะมารองรับความเกลียดชังของเขา และยูโกะก็ได้ปรากฏขึ้นมา ในตอนแรกก็แค่ทุบตีและขว้างปาข้าวของ แล้วทำแผลให้พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ
จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนในวันคริสมัส เขาคนนั้น…ได้ทำให้เธอได้มีประสปการณ์ครั้งแรกในวัสคริสมัส “ช่างคิดจังเลยเนอะ” ยูโกะล้อเล่นกับความจรังอันโหดร้าย ยูโกะอยากมอบประการณ์ครั้งแรกให้กับคนที่เธอรัก อยากเป็นเจ้าหญิงที่ถูกโอบกอดอย่างนุ่มนวล แต่ความฝันนั้นก็พังทลายลง ในวันคริสมัสเธอสวมเสื้อที่น่ารักเป็นพิเศษ เธอเต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้รับคำชมจากพี่ชายของเธอ แต่ว่าเขาก็ทุบตีเธอเหมือนเคย แล้วเขาก็ฉีกกระโปรงที่ยับย่นของเธอ แล้วเขาก็จับเธอไว้ ยูที่ทนฟังเรื่องราวอันโหดร้ายไม่ได้บอกให้ยูโกะหยุด แต่เธอก็พูดต่อไป ถ้าขัดเขืนก็จะถูกทุบตี ถึงจะกรีดร้องก็ไม่ยอมหยุด ในเวลาแค่ค่ำคืนเดียวเธอก็ได้มีร่างกายที่ไร้ค่าและแต่งงานไม่ได้ ยูตะโกนร้องให้ยูโกะหยุดเล่าอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าครั้งแรกเป็นยูฉันก็คงจะมีความสุข ยูโกะพูดพร้อมกับชี้ไปที่ร่างกายของคนเอง ถ้าหากเป็นยู มันก็คงนุ่มนวลเหมือนจูบเมื่อสักครู่นี้ แต่ว่าน่าเสียดาย…. ตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว อตีดที่เฝ้าทนุุถนอม อนาคตที่เฝ้าไฝ่ฝัน เธอเป็นเพียงแค่เครื่องมีระบายความโกรธและเกลียดชังเท่านั้น ไม่สามารถเป็นตัวแทนของใครที่ตายไปแล้ว เป็นเพียงแค่ตุ๊กตา ยูทนไม่ไหวอีกต่อไปและบอกว่าเธอนั้นไม่ใช่ตุ๊กตาหรือว่าเครืองมือของใคร ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีความสุขได้ ไม่ว่าจะมีอดีตเป็นอย่างไร เธอก็สามารถลืมเลือนมันได้ ตราบใดที่ยังเชื่อมั่นในตัวเองเธอก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงวันพรุ่งนี้ได้ ยูกระพริบตาหลายครั้งระหว่างที่พูด ดังนั้นอย่าพูดว่าไม่มีอนาคตสิ! ยูพยายามเกลี้ยกล่อมยูโกะ
“ช่างน่าสรรเสริญเหลือเกินนะ”
ยูโกะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แววตาของเธอมองทะลุไปถึงก้นบึ้ง เสียงทุกอย่างรอบๆหยุดนิ่งลง เธอชี้ไปที่บาดแผลมากมายบนตัวของเธอ และบอกว่าแต่ละแห่งนั้นได้มันมาเมื่อใหร่ ตั้งแต่เมื่อได้พบกับยู “ทุกคืน” ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่สี มันอาจจะเลวร้ายกว่าเดิมเสียอีก ยูโกะเริ่มอธิบายถึงบาดแผลที่เกิดในวันต่างๆ คืนของวันที่ได้พบกับยูครั้งแรก คืนของวันที่ยูไปซื้อของกับนางิ คืนของวันที่เรียกยูไปพบบนดาดฟ้า คืนของวันที่ช่วยหารองเท้าที่หายไป คืนของวันที่ไปเดทและซื้อรองเท้า ถ้าเกิดมีท่าทีขัดขืนก็จะถูกทุบตีแรงกว่าเดิม เธอนั้นทำอะไรผิดหรือ? อะไรกันที่ทำให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ครุ่นคิดเท่าใหร่ก็ไม่มีคำตอบ เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ดังนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ รอวันที่เธอนั้นจะหายไปจากโลก แต่การเฝ้ารอวันนั้นมันช่างเหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัสเหลือเกิน…….
“นี่คือตัวฉันที่เธอไม่เคยรู้จัก นี่คือผู้หญิงที่เธอได้ทอดทิ้งไป” ยูโกะพูดกับยู
“รุ่นพี่คะ จำเมื่อตอนวันนั้นได้ใหม” ยูโกะถามยู
“วันใหน?”
“วันที่ฉันถามว่า…อยากมีน้องสาวหรือเปล่า”
“มีญาติห่างๆมาขอรับฉันไปอยู่ด้วย แต่ก็กลัวว่าจะได้รับการเอาใจใส่หรือเปล่า”
“ตอนนั้น คนที่ฉันเปิดใจด้วยก็มีเพียงรุ่นพี่เท่านั้น ถ้าหากพูดเพียงแค่ว่าอยากมีน้องสาว ฉันก็คง….”
“แต่ว่ารุ่นพี่ก็ได้ปฏิเสธมือนั้นไป ทำไมไม่พูดว่าอยากจะมีน้องสาวละคะ”
“ทำไมถึงไม่พูดว่า อย่าไปเลย”
“ทำไมถึงไม่พูดว่า อยู่ที่นี่เถอะ”
“ทำไมถึงไม่ปกป้องฉัน”
“ทำไม!”
ยูที่ไม่รู้จะทำเช่นไรตอบยูโกะว่า “ฉันไม่อยากเป็นเหมือนเขา ไม่อยากให้เธอเป็นตัวแทนของอากาเนะที่ตายไป”“โกหก”
“รุ่นพี่รู้ใหมคะ เวลาที่รุ่นพี่โกหกนั้นจะกระพริบตา”
“แต่เมื่อครู่ที่บอกว่ารักฉันนั้นไม่ได้กระพริบตาเลย”
“ช้าไป..สิบปีนะคะ”
ยูโกะพูดทั้งน้ำตา ยูกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่งถึงความไร้ค่าและต่ำต้อยของตัวเอง
กล้าที่จะเผชิญกับมัน หรือหากไม่เช่นนั้น…. ef – a tale of melodies. 07. reflection
ef – a tale of melodies. ตอนที่ 6 นี้นั้นได้แสดงออกถึงเรื่องราวและจุดตำสุดของความความรู้สึกในทุกๆด้าน ปมต่างๆที่เพาะบ่มไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ถูกพรั่งพรูออกมาอย่างล้นทะลัก เรื่องราวในตอนนี้เปิดเผยถึงสิ่งที่ยูโกะปิดบังมาตลอด ภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม รอยยิ้มที่ไม่เคยจางไปจากตัวเธอในสายตาของยูเป็นเพียงสิ่งโป้ปด ฮิมูระ ยู หลังจากพบกับยูโกะอีกครั้ง เขาก็ได้ใช้ความพยายามจนในที่สุดก็สามารถคว้าจับตัวตนที่แท้จริงของ อามามิยะ ยูโกะ ไว้ได้ แต่ความจริงที่เขาได้รับรู้นั้นมันมืดมนและสิ้นหวังเกินกว่าที่ใครจะเคยจินตนาการไว้
ในตอนนี้เรื่องราวของมิสึกิที่ทิ้งปมไว้คาใจได้ถูกลืมเลือนไปอย่างสิ้นเชิง ในครึ่งแรกของตอนนั้นนางิที่อยู่ในภาวะสับสน และได้รู้สึกและเข้าใจในหัวใจของตนเองเป็นครั้งแรก ตัวนางินั้นเป็นคนมีความเป็นปัจเจกสูงและไม่ค่อยประสีประสาต่อเรื่องราวทั่วไป เธอนั้นสนิทกับยูมาก แต่ไม่เข้าใจความรู้สึกต่อตนเองที่มีต่อยู รู้เพียงความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจ และไม่ขออะไรมากกว่านั้น แต่วันนึงนางิก็พบว่าคุเซะจะจากเธอไปยังที่ห่างใกล และยูก็กำลังจะจากเธอไปในอีกความหมายนึง ทุกสิ่งกำลังจะเปลี่ยนทำให้นางิสับสนและไม่เข้าใจ หลังจากทบทวนอยู่นานนางิก็พบว่าตัวตนของเธอถูกแบ่งออกเป็นสองด้าน นอกตัวเธอที่เป็นศิลปินแล้ว เธอก็พบว่าในร่างกายยังมีตัวเธอที่เป็นผู้หญิงอยู่ด้วย และก็เข้าใจความรู้สึกคนตนเองที่มีต่อ ฮิมูระ ยู ในที่สุด และก็เข้าใจถึงความรู้สึกของยูที่มีต่อยูโกะเช่นกัน วันคืนไม่อาจคงอยู่เหมือนเดิมได้ตลอดไป นางิใช้เวลาแสนนานกว่าจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ แต่หากคิดดูจริงๆ อาจจะถือว่าช่างแสนคุ้มค่าเหลือเกินที่นางิสามารถตระหนักถึงความจริงนี้ได้ ในขณะที่บางครั้งบางคนอีกมากมายที่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจจะเข้าใจ
ในตอนนี้ อามามิยะ ยูโกะ ได้เปิดเผยให้ตัวตนอีกด้านของเธอที่หลายๆคนสงสัย หลายสิ่งหลายอย่างที่คอยบอกใบ้ ในที่สุดก็ชี้มายังจุดเดียวกัน ฮิมูระ ยู ได้ทำลายกำแพงของยูโกะลงได้ในที่สุด ยูโกะยอมรับในตัวยูและเปิดเผยตัวตนภายใตัหน้ากากที่ทีเธอซ่อนไว้ เหล่าผู้ชมที่ได้รู้จักยูโกะในภาพน่ารัก มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มขี้เล่น พูดได้ไม่หยุดและหยอกล้อได้ตลอดเวลา ทุกอย่างเหล่านั้นได้พังทลายลงในพริบตา ยูโกะหลังจากออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ได้ไปอยู่อามามิยะ (ชื่อไรวะ)ญาติห่างๆ เธอเป็นเหมือนตัวแทนของน้องสาวของเขาที่ตายไปและได้รับการดูและเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็รับรู้ว่าน้องสาวของเขานั้นตายไปแล้วและไม่มีใครมาแทนได้ จากนั้นก็เริ่มเกลียดชังทุกอย่าง ยูโกะจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเกลียดชัง และระบายออกลงที่ตัวยูโกะ นับวันมันก็ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนเกินกว่าขอบเขตของมนุษย์ ยูโกะนั้นไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไรผิด ไม่รู้ว่าจะกล่าวโทษสิ่งใด จึงเหลือแต่ความว่างเปล่าและภาพของยูในอดีตที่ฝังใจเท่านั้น
ในตอนนี้อนิเมชั่นนั่นสื่อความรู้สึกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ความรู้สึกสิ้นหวังและเคียดแค้นที่ล้นทะลักออกมาจากภาพและคำพูดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด Shaft ใช้วิธีสื่อออกมาด้วยสัญลักษณ์และคำพูด ซึ่งได้ผลเป็นอย่างมาก ภาพยูโกะถูกแทนที่ด้วยกระจกสีที่ใช้ตกแต่งโบสถ์ (Stain Glass) ที่แตกร้าวและถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนตลอด สื่อให้รู้สึกถึงความแตกร้าวและไร้ซึ่งอิสระ หากเป็นสตูดิโอทั่วไปฉากแบบนี้อาจจะถูกแทนด้วยภาพสาวเปลือยมีจุดด่างดำบนร่างกาย หรือหากโปรดัคชั่นละเอียดขึ้นไป เราอาจจะได้เห็นบาดแผลที่ชัดเจนและน่าขยะแขยงมากขึ้น แต่มันไม่ใช่กับ Shaft แน่นอน บางแผลของยูโกะแทนที่ด้วยสัญลักษณ์สามเหลี่ยมวงกลมต่างๆ วางลงบนจุดต่างๆของร่างกายที่เป็นภาพ silhouette (ที่พอมองไปแล้วคล้ายกับ สปอทโฆษณาของ Playstation อยู่ไม่น้อย) และเสริมด้วยบทพูดของยูโกะที่คอยเพิ่มรายละเอียดของเนื้อหา เสริมให้จินตนาการของเราสร้างภาพออกมาด้วยตนเอง หากตั้งใจสังเกตดีๆ ภาพไพ่ทาโร่ท์ที่ปรากฏขึ้นมานั้นจะสอดคล้องกับสิ่งที่ยูโกะพูด แสดงถึงภาพยูโกะที่เติบโตขึ้น ความเปลี่ยนแปลงของอามามิยะก็ถูกแทนที่ด้วยไพ่ที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ภาพที่มีพลังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น แต่สำหรับการเสียดแทงเข้าไปในจิตใจนั้น พลังแห่งจินตนาการและคำพูดนั้นทำได้รุนแรงกว่า ef ได้ใช้วิธีนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งนึงที่เราได้โดนปลายดาบแห่งจินตนการและคำพูดอันโหดร้ายทิ่มแทงเข้าไปจนเลือดโทรมกาย
ยูนั้นมีหน้าทีรับฟังและรับรู้สิ่งที่ยูโกะบอกเล่า เราคนดูก็อยู่ในที่นั่งเดียวกับยู ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากปิดหูปิดตาเวลาที่ไม่อยากได้ยิน ยูที่ได้ยอมรับว่าตัวเองนั้นรักยูโกะตัดสินใจที่จะยอมรับทุกอย่าง แต่ความจริงดำมืดที่ได้เผชิญทำให้ยูหวั่นไหวในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ ยูและเราผู้ชมได้อยู่ในสภาพสิ้นหวังและรับรู้ว่าตัวเองนั้นช่างอ่อนแอ และครั้งนึงได้ตัดสินใจผิดพลาดจนได้ทำลายทุกอย่างในชีวิตของเธอลง
ยูโกะหลังจากที่เล่าทุกอย่างให้ยูฟัง ได้ตบท้ายด้วยการกล่าวโทษยูอีกครั้งว่านี่หละคือผู้หญิงที่ถูกเธอทิ้งไป จากนั้นก็กระชากความรู้สึกคนดูด้วยเพลงปิดอันใหม่ 願いのカケラ (Negai no Kakera เศษเสี้ยวของคำขอร้อง) โดยมีภาพของยูโกะตอนเด็กที่แสนน่ารักประกอบ เพลงของยูโกะนั้นก็เป็นเพลงที่น่ารักๆ ภาพประกอบก็น่ารัก แต่ในตอนนี้นั้นภาพเหล่านี้เป็นเพียงอดีตที่ไม่อาจหวนคืน เมื่อได้มองไปก็กลับยิ่งเจ็บปวดยิ่งขึ้นอีก
ใน Part C นั้น คนดูก็ถูกตบหน้าอีกครั้งนึง ฮิมูระ ยู พยายามใช้เหตุผลและถ้อยคำที่สวยงามในการให้กำลังใจยูโกะ แต่ยูโกะกลับฏิเสธและบอกว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงคำโกหกของยู ทุกครั้งที่ยูโกหกนั้นจะกระพริบตา มีเพียงครั้งที่ยูบอกรักยูโกะเท่านั้นที่ไม่กระพริบตา คำพูดอื่นๆล้วนเป็นเพียงคำพูดสวยหรูและถ้อยคำที่สวยงามเท่านั้น ยูเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งเหล่านั้นที่พูดไปเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็พูดออกมาเพราะว่าเป็น “สิ่งที่ควรจะทำ” เท่านั้น ภาพใน Part C นั้นมีลักษณะเป็นเหมือนภาพสเก็ตดินสอที่ให้ความรู้สึกไม่มั่นคงและสั่นไหว ยูที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและขาดไปในตอนที่ก็ช่วยฉุดอารมณ์ให้ตกต่ำลงยิ่งกว่าเดิม
หากต้องเปรียบเทียบกัน ใครที่ติดตาม ef มาโดยตลอดก็คงต้องเปรียบ ef-melo ตอนที่ 6 นี้กับ ef-memo ตอนที่ 7 ฉากของ มิยามุระ มิยาโกะ กับโทรศัพท์ของเธอแน่นอน ยอมรับว่าประเด็นและความน่าสะพรึงของ ยูโกะ นั้นเหนือกว่า มิยาโกะ มาก แต่ในความเห็นผม จังหวะลากอารมณ์ในฉากของมิยาโกะนั้นทำได้ตราตรึงกว่า เพระว่าหลังจากทุกอย่างดำมืดสนิท เพลงปิดก็ได้ดังขึ้นมาจากความเงียบ อันส่งผลให้ผู้ชมอย่างผมนั้นรู้สึกเค้วงอย่างบอกไม่ถูก อาการหายใจไม่ทั่วท้องนั้นกลายเป็นว่า “เห้ย เมื่อกี้มันอะไรวะ” และก็หลงทิศหลงทางไปเลย แต่ในตอนของยูโกะนั้นช่วงก่อนจบมีบทพูดของยูโกะตอกส่งท้ายก่อน เหมือนเป็นการชี้ชัดจุดยืนอีกครั้งนึงและก็บอกว่าจะจบแล้วนะจ๊ะ ก่อนจะเข้าเพลงจบอันแสนน่ารัก และ Part C ตบหน้าคนดูอันเป็นตำนานนั้น ผมก็ให้มิยาโกะเหนือกว่าอีก การลบข้อความในโทรศัพท์มันเป็นเรื่องง่ายๆ ใครๆก็เคยทำ แต่พอมันเกิดขึ้นกลับรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างที่แสนกดดันและรันทดเมื่อครู่ ไม่อาจะส่งไปถึงคนที่เธอรักได้ มันสลายกลายเป็นอากาศธาตุไม่มีตัวตนยิ่งกว่าผงธุลีไปแล้ว จากนี้ไปจะทำเช่นไรล่ะ….. แต่สำหรับฉากของยูโกะนั้น เราถูกตบด้วยคำว่า “ช้าไป..สิบปีนะคะ” และการโกหกของยู ในฉากนี้เทคนิคภาพนั้นมีพลังอย่างมาก แต่ความรู้สึกมันกลับไม่ตราตรึงเท่า เพราะมันดูเป็นอะไรพิเศษที่ยากจะพบเจอเกินไป หรือว่าอาจจะเป็นเพราะว่าตัวผมนั้นรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปอยู่แล้ว จึงไม่ถลำตกเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้นอย่างเต็มที่เท่าที่ควร จึงอยากขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับชม ef – a tale of melodies. เป็นครั้งแรกโดยไม่รับรู้เนื้อหาใดมาก่อน ที่สามารถดื่มด่ำไปกับความรู้สึกที่ไม่มีสิ่งใดมาเจือปนได้ ผมขอบอกว่าผมนั้นอิจฉากจากใจจริง แต่อย่างไรก็ตาม ef-melo ในตอนที่ 6 นี้นั้นก็เป็นตอนที่ยอดเยี่ยมอย่างเป็นที่สุดโดยแท้จริง
สารภาพว่าในตอนนี้เขียนได้ลำบากเหลือเกิน แต่ก็เขียนได้สนุกเหลือเกินเช่นกัน สิ่งที่ยูโกะพูดนั้นเมื่อได้มาละเมียดฟัง(อ่าน)แล้วก็รู้สึกสะเทือนใจกว่าเดิม ช่วงจุดกระชากที่ยูโกะใช้สายตาที่น่ากลัวจ้องมองมา ภาพนั้นผมได้เห็นหลายครั้งก่อนจะดูตัวอนิเม แต่ไม่ได้คิดเลยว่าคือ Screenshot จาก ef ผมรู้สึกว่ามันดูคล้ายๆ Tomie จากเรื่องชุดสยองขวัญของ Junji Ito ด้วยซ้ำไป พอมาได้เห็นตอนดูก็ตกใจขนลุกขนชันไม่น้อย ในตอนนี้คนที่เหนื่อยที่สุดก็คงเป็นผู่ให้เสียงยูโกะที่ชื่อนาคาจิม่า ยูมิโกะ เธอแสดงพลังของนักพากย์ออกมา และยังร้องเพลงปิดเองอีกด้วย
End Card ในตอนนี้มีลายเส้นที่แสนคุ้นตา จะเป็นใครที่ใหนไม่ได้นอกจาก Kumeta Kouji ผู้วาด Sayonara Zetsubou Sensei อนิเมชั่นอีกเรื่องนึงของ Shaft นั่นเอง อ.คุเมตะวาดภาพของมิสึกิและคุเซะในลายเส้นของเขา จาก End Card อันแรกที่ 2C=Galore วาดล้อเลียนคุณครูสิ้นหวัง พอมาตอนที่ 6 ผู้วาดคุณครูสิ้นก็มาวาดตัวละครที่หนึ่งในนั้นก็ออกแบบโดย 2C=Galore ให้อีก รู้สึกว่าคนพวกนี้จะสนิทสนมกันดีจังเลยนะ……
ef – a tale of melodies. ในตอนหน้าจะมีชื่อตอนว่า reflection…
แถมพิเศษ
- พาสเวิร์ดตอนนี้คือ “Sketch Book”
- OP เปลี่ยนเป็นว่างเปล่าทุกอย่าง คงจะเอาไว้ให้ทำ MAD มั้ง
- Official Website นั้นเปลี่ยนตาม OP (แต่ตอนนี้เปลี่ยนตามตอน 7 ไปแล้ว)
- ตัวหนังสือคั่นที่แทรกเข้ามาในตอนนี้ ตัวคันจิและตัวคำอ่านนั้นจะตรงกันข้ามกัน
- XBOX 360 ของผมโดนแบนแล้ว