เมืองที่ถูกเรียกว่าโอโตวะนั้นมีอยู่สองแห่ง เมืองที่แท้จริงนั้นถูกสร้างขึ้นมาบนซากปรักหักพังแห่งอดีต เมืองเทียมนั้นสร้างอยู่บนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์และเงียบสงบ…เพื่อสะท้อนภาพเมืองที่แท้จริงไว้ ใช้ความเจ็บปวดเป็นสิ่งค้ำจุน สั่งสมความโชคร้ายเสมือนว่าเป็นเสาหลัก ชีวิตที่หมุนเวียนผ่านไปทุกวันทำให้เมืองทั้งสองถูกห่อหุ้มไว้ด้วยความสว่างไสวของผู้คน…
“เมื่อลองคิดดูแล้ว ตอนนั้นมันคงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง” ฮิมูระ ยูในช่วงวัยรุ่น ได้พบกับเครื่องบินกระดาษลำนึงร่วงลงมาจากท้องฟ้ากเมื่องมองไปก็พบหญิงสาวคนนึงบนดาดฟ้า หญิงสาวนั้นแสดงออกว่ารู้จัก ฮิมูระ ยู อยู่แล้วและแนะนำตัวเองว่าชื่อ อามามิยะ ยูโกะ แต่ถ้าจำเธอไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดอะไร และเราก็จะจากกันเหมือนว่าวันนี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เธอบอกกับยูว่าแม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังเกลียดเขาอยู่
ณ เวลาปัจุบันฮิมูระกับคุเซะได้พบกันหลังจากไม่เจอกันมานาน คุเซะถามถึงเจ้าหญิงของยู ยูบอกว่าหลับอยู่ คุเซะชวนยูไปงานแสดงคอนเสิร์ทของเขาที่กำลังจะจัดขึ้น ยูทักคุเซะว่ามันคือ Fermata ใช่ใหม แล้วก็ถามคุเซะว่าที่บ้านของเรนจิมีเด็กผู้หญิงมาอยู่ด้วยรู้เรื่องหรือเปล่า แต่ดูเหมือนคุเซะจะไม่รู้เรื่อง และคุเซะก็เริ่มอธิบายทฤษฏีหญิงสาว 20 คนให้ยูฟัง ยูบอกว่าคุเซะไม่เปลี่ยนไปเลย คุเซะบอกว่ายูก็ไม่เปลี่ยนไปเลยเช่นกัน ยูยอมรับและบอกว่าเขาเองไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น
กลับสู่ช่วงเวลาในอดีตอีกครั้ง ในห้องเรียนที่มุมโต๊ะของยูมีตัวหนังสือเล็กๆเขียนว่าให้ไปที่ห้องศิลปะหลังเลิกเรียน ยูทำท่าหน่ายนิดหน่อยแล้วจึงไปที่ห้องศิลปะ ระหว่างทางยูก็เจอกับคุเซะที่ดักรออยู่ คุเซะพยายามจะชวนยูไปช่วยเขาขายของใช้ส่วนตัวทิ้งก่อนที่จะไปจากญี่ปุ่น ยูปฏิเสธและบอกว่ามีนัดแล้ว คุเซะถามว่านัดกับสาวๆก็พอจะให้อภัยได้ แต่ยูบอกว่าก็ใช่สาวๆนะ แต่เป็น”ยัยนั่น” คุเซะตกใจแล้วจึงอวยพรให้ยูโชคดีในการไปพบกับ “ยัยนั่น”
ระหว่างทางไปห้องศิลปะ ยูได้เจอกับอาจารย์อามามิยะที่มีบุคลิกไม่เป็นมิตรและดูลึกลับ ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้ระหว่างสองคนนี้ อาจารย์อามามิยะพยายามจะชวนยูให้เข้าชมรมศิลปะ ด้วยการบอกว่า“คนที่ต้องไปพัวพันกับศิลปะมันลำบาก ดังนั้นมาอยู่ฝ่ายที่ไปพัวพันกับคนอื่นดีกว่า” แต่ยูก็ปฏิเสธอย่างชัดเจน
ที่ห้องศิลปะ”ยัยนั่น”กำลังวาดรูปนู้ดตัวเองอยู่ และแน่นนอนว่าเธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย เธอคือฮิโรโนะ นางิ เพื่อนของฮิมูระ ยูที่เรียกเขามาที่นี่ เธอบอกว่ายูมาช้าเธอเริ่มเบื่อ ก็เลยวาดรูปรอ ตอนนี้เธออยู่ในช่วงที่หยุดไม่ได้ขอให้รอก่อนสักพัก ยูเริ่มบ่นให้นางิใส่เสื้อผ้า แต่เธอบอกว่าเธอกำลังวาดรูปนู้ดจะให้ใส่เสื้อผ้าได้ยังไง ยูเริ่มบ่นหนักกว่าเดิมว่ารูปผู้หญิงเปลือยไม่ได้วาดโดยผู้หญิงเปลือยซะหน่อย แต่ว่าเป็นการวาดรูปผู้หญิงคนอื่นเปลือยต่างหาก นางิกลับคิดว่ายูปล่อยมุขตลก แต่สุดท้ายนางิก็ยอมใส่เสื้่อผ้า ยูบ่นว่านางิกับคุเซะนี่ไม่รู้ว่าใครพูดไม่รู้เรื่องกว่ากัน นางิงอนนิดหน่อยที่ถูกเปรียบเทียบกับคุเซะ
ทั้งสองคนกำลังกลับจากการไปซื้อของใช้กัน นั่นคือเหตุผลหลักที่นางิเรียกยูมา ระหว่างทางนางิให้สมุดสเก็ตภาพกับยูเล่มนึง แต่ยูไม่เอา นางิจึงบ่นว่าหลังจากเห็นใครบางคนเปลือยแล้วจะชดใช้ให้คนนั้นหน่อยไม่ได้หรือไง ยูเริ่มประสาทเสียจากการคุยกับนางิเพราะปัญหาเรื่องการจับใจความอันพิลึกพิลั่นของเธอ นางิถามยูว่าช่วงนี้ไปสร้างความแค้นกับใครหรือเปล่า มีคนตามมาตั้งแต่ออกจากโรงเรียนแล้ว พอยูหันหลังกลับไปก็เจอกับ อามามิยะ ยูโกะ ที่ค่อยๆย่องเข้ามายืนยิ้มอยู่ นางิถามว่าใคร ยูโกะจึงแนะนำตัวเอง และบอกว่ายูจำเธอไม่ได้แต่เธอรู้จักยู นางิมีท่าทีไม่พอใจแล้วกลับไปคนเดียว
ฮิมูระ ยูแวะริมทะเลกับยูโกะเพื่อคุยกัน ยูโกะถามถึงนางิว่าคบกันอยู่เหรอ แต่ยูบอกว่าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ยูโกะบอกว่ายูไม่เปลี่ยนไปเลยและถามว่ายูยังจำไม่ได้อีกเหรอ ระหว่างนั้นเธอก็ถอดรองเท้าออกและวิ่งลงไปในทะเลโดยไม่ถอดถุงเท้า ยูบอกว่าเขาจำทุกอย่างได้แล้ว ไม่เจอกันนานนะยูโกะ 10 ปีผ่านไปไวเหมือนพริบตา แต่ยูโกะกลับบอกว่าสำหรับเธอนั้นมันเป็น 10 ปีที่ยาวนานเหลือเกิน ตอนนี้เธออยู่กับพี่ชายคนใหม่ของเธอ แต่เธอไม่เสียใจหรอกเพราะมันทำให้เธอได้พบกับพี่ชาย(ยู)ของเธออีกครั้ง แต่ยูกลับโกรธและบอกว่าอย่าเรียกเขาว่าพี่ชายอีก เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว อย่ามาเข้าใกล้เขาเพราะไม่อยากนึกถึงช่วงเวลานั้นในอดีตอีก
เพลงเปิด Ebullient Future ร้องโดย ELISA พร้อม OP แบบเสร็จสมบูรณ์ถูกใช้ตั้งแต่ตอนแรก นี่ออกจะผิดวิสัย Shaft อยู่บ้างเล็กน้อย เพราะว่าปกติของชาฟท์นั้นกว่าจะได้ใช้มักจะเป็นที่สองหรือสามไปแล้ว ถึงจะเป็น OP ของจริง แต่ก็ถูกใช้คั่นตอนกลางเรื่อง ตัวหนังสือจำนวนมากที่ถูกใช้ใน Background นั้นเป็นภาษาเยอรมัน แต่อย่างไรก็ตาม Ebullient Future นั้นก็เป็น OP ที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางความฝัน เด็กสาวกำลังร่วงหล่นลงในทะเลลึก มีเสียงเรียกดังแว่วมาว่า “มิกิ”…..”มิสึกิ” เธอตื่นขึ้นมาพบว่าเรนจิกำลังเรียกเธออยู่ ระหว่างที่กำลังงัวเงีย ฮายามะ มืสึกิ ถามเรนจิว่าที่นี่ที่ใหน เรนจิบอกว่าออสเตรเลีย มิสึกิมาพักที่บ้านของเขา เพราะว่ามีเวลาว่างหลังจากเข้า ม.ปลายได้ด้วยโควต้าพิเศษ มืสึกิยังสลึมสลืออยู่ แม่ของเรนจิซึ่งเข้ามาพอดีเห็นที่มืสึกิเกาะแขนเรนจิไว้ จึงทำท่าเจ้าเล่ห์บอกว่าสนิทกันจังเลยนะ เดี๋ยวจะฟ้องจิฮิโระ เรนจิจึงตกใจบอกว่าเข้าใจผิดแล้ว แม่ของเรนจิจึงออกจากห้องไปพร้อมกับบอกว่าอาหารเช้าพร้อมแล้ว เรนจิถามมิสึกิว่าฝันร้ายเหรอ มิสึกิกระโดดลงจากเตียงแล้วแกล้งถามเรนจิว่าอยากเห็นเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า เรนจิจึงรีบหนีออกจากห้องไป มิสึกิพูดว่าเธอฝันเหมือนเดิม ฝันถึงดอกไม้ที่สวยงาม
ระหว่างที่มิสึกิ, เรนจิและก็แม่ของเรนจิกำลังทานอาหารเช้ากัน มิสึกิบอกว่าเธอได้ยินเสียงไวโอลินเพราะมากเมื่อตอนเดินผ่านโบสถ์ เปรียบได้เหมือนทะเลแห่งท่วงทำนอง เรนจิบอกว่านั่นคงเป็นเสียงไวโอลินของคุณคุเซะ สุมิเระ(แม่ของเรนจิ) บอกว่าคุเซะเป็นนักไวโอลินชื่อดังระดับโลกที่อยู่บ้านติดกัน มิสึกิจึงอยากให้แนะนำให้เธอรู้จักกับคุเซะหน่อย เรนจิชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงบอกว่าไม่ดีหรอกและลุกลี้ลุกลนบอกเหตุผลว่าคุณคุเซะเป็นคนเจ้าชู้มาก วิธีคิดก็ประหลาด อย่าไปรู้จักเขาเลย มิสึกิจึงโมโหและบอกว่าไม่ได้ให้แนะนำเป็นแฟนซะหน่อย จะประหลาดหรือเจ้าชู้อะไรก็ไม่เกี่ยวหรอก เพราะเธอนั้นอุทิศตนให้แก่รุ่นพี่เคย์ไปแล้ว ดังนั้นจะมีหนุ่มมาจีบเท่าใหร่เธอก็ไม่สน แต่เรนจิก็ไม่อยากจะแนะนำให้รู้จักอยู่ดี แม่ของเรนจิจึงอาสาเป็นคนแนะนำซะเอง
ทั้งสามคนจึงไปที่บ้านของคุเซะ สุมิเระกดกริ่งแล้วดูเหมือนว่าคุเซะจะไม่อยู่ จึงตะโกนเรียก ทันใดนั้นก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นแล้วคุเซะก็เปิดประตูออกมาทันที แม่ของเรนจิบอกว่ามีธุระนิดหน่อย คุเซะกลับบอกว่าจะมาชวนเขาไปเดทเหรอ สุมิเระบอกว่า อืม..ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้นนะ คุเซะจึงบอกว่าเขาไม่มีทางทำให้สาวๆผิดหวังหรอก มิสึกิที่ยืนฟังอยู่พลันคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเจ้าชู้จริงๆและนึกถึงเคียวสุเกะที่มีนิสัยคล้ายคลึงกับคุเซะด้วย คุเซะพอเห็นมิสึกิจึงถามว่าคุณผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มิสึกิจึงแนะนำตัวเองให้รู้จักว่าเธอชื่อฮายามะ มิสึกิ ชื่อของเธอเขียนด้วยตัวคาตะคานะ สุมิเระบอกว่านี่เป็นหลานสาวของเธอเอง คุเซะจึงแนะนำตัวและจับมือกับมิสึกิ ดูเหมือนว่าอะไรบางสิ่งระหว่างสองคนนี้ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว
เรนจิจำเป็นต้องเตรียมตัวสอบและสุมิเระก็มีธุระกระทันหัน มิสึกิกับคุเซะจึงต้องอยู่ด้วยกันสองคน คุเซะยังคงปากหวานเหมือนเคยด้วยการบอกว่าเป็นเขาที่โชคดีต่างหากทีได้เป็นเพื่อนกับท่านหญิงอย่างมิสึกิ และทางเขาก็รบกวนสุมิเระมามาก ก็อยากจะตอบแทนในขณะที่ยังทำได้อยู่
บ้านของคุเซะแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลย มีเพียงหน้ากากจำนวนหนึ่งประดับอยู่บนกำแพงเท่านั้น มิสึกิค่อนข้างประหลาดใจ คุเซะบอกว่าบางทีเขาก็อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง ก็เลยทิ้งเฟอร์นิเจอร์เครื่องประดับตกแต่งทั้งหมดไป เวลามีพื้นที่ว่างมากๆมันก็ดีไปอีกแบบ มิสึกิเริ่มคิดว่าคุเซะมีรสนิยมแตกต่างจากคนทั่วไป คุเซะบอกว่ามิสึกิจะมาเที่ยวเมื่อใหร่ก็ได้ จะใช้ห้องว่างทำอะไรก็ได้เพราะเขาอยู่คนเดียว จึงมีห้องเหลืออยู่หลายห้อง มืสึกิบอกว่าเธอก็มีห้องของเธอ แต่ว่ารกและเต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนและหนังสือการ์ตูน เธออยากได้ห้องใหญ่ๆก็เลยลองเปิดประตูบานนึงเข้าไป คุเซะทำท่าตกใจเพราะในห้องนั้นเต็มไปด้วยชุดนักเรียนหญิงหลากหลายรูปแบบ คุเซะพยายามแก้ตัวทันทีว่าชุดนักเรียนพวกนั้นเขาไม่ได้ใส่เองนะ เขาแค่ยังไม่ได้ทิ้งมันเฉยๆ มิสึกิได้ยินจึงบอกว่าทิ้งไม่ได้นะ
คุเซะพูดกับมิสึกิว่าได้เข้าเรียน ม.ปลาย จากโควต้าพิเศษแสดงว่ามืสึกิจังต้องเป็นเด็กหัวดีแน่เลย มิสึกิที่กำลังลองชุดนักเรียนในคอลเล็คชั่นของคุเซะอยู่ปฏิเสธว่าเปล่าเลย เธออยากเรียนที่โอโตวะ เธอจึงต้องพยายามเป็นอย่างมาก คุเซะดูเหมือนจะมีปฏิกริยากับคำว่าโอโตวะ มิสึกิเห็นไวโอลินที่วางอยู่ จึงขอร้องให้คุเซะเล่นให้ฟังหน่อย คุเซะมีรอยยิ้มประหลาดและบอกว่าตอนนี้เขาเล่นไม่ได้หรอก ไวโอลินมันพังอยู่ มิสึกิจึงเสียใจเพราะเธออยากเห็นคุเซะเล่นไวโอลินสดๆมาก คุเซะก็พูดว่าเขาเองก็ชอบแบบสดๆ มันดีกว่าเวลาใช้ถุงยาง(พูดเบาๆ) มิสึกิยังงงๆและไม่เข้าใจที่คุเซะพูดเท่าใหร่ คุเซะจึงบอกว่าโอกาสหน้าจะเล่นให้ดูนะ แล้วคุเซะก็หยิบ CD อัลบั้มของเขาให้มิสึกิชุดนึง ทันใดนั้นนาฬิกาซึ่งเป็นหนึงในอุปกรณ์อันน้อยชิ้นในบ้านก็ดังขึ้น คุเซะบอกว่าเป็นเสียงเตือนแมลงในท้องของเขา (เป็นสำนวนแปลว่าหิว) และถามมิสึกิว่าอยากดื่มอะไรหรือเปล่า แต่ในตู้เย็นของคุเซะนั้นมีแต่น้ำผลไม้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มิสึกิถามว่าตู้เย็นที่นี่ไม่มีอย่างอื่นเลยเหรอ คุเซะบอกว่าไม่หรอก ยังมีน้ำแข็งอีกนี่ไง….
….Shaft ก็ยังคงเป็น Shaft หากไม่ได้เล่นอะไรแผลงๆน่ากลัวจะอกแตกตาย มิสึกิใส่ชุดนักเรียนอันแสนคุ้นเคย ใครก็ตามหากติดตามผลงานของ Shaft อย่างต่อเนื่องคงรู้ว่าชุดนักเรียนในฉากนี้เป็นชุดของใคร
มิสึกิดื่น้ำอะไรสักอย่าง(เบียร์?) แล้วตะโกนออกมาว่าเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้แท้ๆ (พฤติกรรมตาแก่?) แต่ที่ลิ้นชักใกล้อ่างล้างจานมีเศษขยะเหมือนแผงยาหล่นอยู่ มิสึกิบอกว่าห้องนี้น่ะวิเศษไปเลยเพราะสามารถนอนขี้เกียจกลิ้งได้ตั้งแต่มุมนึงจนถึงอีกมุมนึงได้เลย มิสึกิกับคุเซะก็เลยลองนอนบนพื้นกัน มิสึกิบอกว่าถึงนอนแบบนี้ที่บ้านก็ไม่ได้ความรู้สึกแบบนี้หรอกเพราะที่บ้านมีแต่หนังสือการ์ตูนกองเต็มไปหมด “ไม่มีอะไรทำเลย” มิสึกิพูดออกมาเพราะว่าที่นี่ไม่มีทั้งเรียนหนังสือหรือการบ้าน ไม่ได้ทำอะไรเลยในสถานที่ที่ไม่มีอะไรเลยนี่ช่างเป็นความรู้สึกที่ปลอดโปร่งจริงๆ อยากจะขี้เกียจอย่างนี้ตลอดไปจัง คุเซะบอกว่าการที่เขานอนกับพื้นอย่างนี้ก็เหมือนกับว่าเขากลายเป็นคนที่ไม่ต้องทำอะไรเลยเช่นกัน มิสึกิทักเรื่องวิธีการพูดของคุเซะ ถึงเรื่องการใช้ฉันบ้าง ผมบ้าง สลับกันไป น่าจะทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ คุเซะบอกว่าเวลาทำงานนั้นเขาต้องพบเจอผู้คนมากมาย ต่างทั้งสถานที่และต่างเวลา จึงจำเป็นต้องเลือกใช้คำพูด มิสึกิบอกว่าตอนนี้ก็ไม่ได้ทำงานอยู่ซะหน่อย เธอก็ไม่อยากแกล้งทำตัวสุภาพแล้วด้วย คุเซะทำท่าประหลาดใจ มิสึกิบอกว่าผู้หญิงน่ะมักจะปิดบังตัวจริงโดยแกล้งทำเป็นแมวเหมียวไว้เสมอนะ คุเซะจึงบอกว่างั้นเขาจะใช้สรรพนามเป็นผู้ชายให้มากขึ้นดีกว่า และบอกว่าถ้าหากมิสึกิอายุมากขึ้น บางส่วนของหน้ากากที่สร้างขึ้นอาจจะกลายเป็นส่วนนึงของตัวตนที่แท้จริงไปแล้ว มนุษย์นั้นมีหน้ากากอยู่มากมาย จำนวนหน้ากากก็มากขึ้นตามจำนวนความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นตามวัย ก็มันเป็นส่วนแรกสุดของภาพลักษณ์นี่นา มิสึกิบอกว่าถ้าเธอต้องปกปิดตัวเอง เธอเลือกที่จะซ่อนหูแมวของเธอมากกว่าหน้ากาก เพราะมันน่ารักกว่า คุเซะบอกว่าถ้าผู้ชายใส่หูแมวมั่งคงจะลำบากใจน่าดู แล้วทั้งสองก็หัวเราะ มิสึกิบอกว่าคุเซะที่ไม่มีหน้ากากน่ะวิเศษมากเลย เวลาที่อยู่กับเธอให้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมานะ
ท้องฟ้าภายนอกเริ่มมืดลง มิสึกิจึงขอตัวกลับก่อน “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ” ประโยคร่ำลาธรรมดาของมิสึกิ แต่คุเซะกลับประหลาดใจที่ตัวเองก็พูดประโยคนั้นออกไป “แล้วเจอกันพรุ่งนี้” ประโยคง่ายๆที่คุเซะแฝงความขัดแย้งไว้ภายใน ท่ามกลางห้องอันว่างเปล่า คุเซะคิดอะไรบางอย่าง “หน้ากากงั้นรึ…” คุเซะที่กำลังลุกขึ้นพลันเจ็บปวดทรมานราวกับร่างกายจะฉีกออกจากกัน ยาที่เขาเพิ่งกินไปเมื่อตอนบ่ายดูเหมือนจะหมดฤิทธิ์ลงแล้ว ….Fermata ยั้งไว้จนกว่าจะถึงจังหวะที่เหมาะสม…แล้วมันยาวนานเท่าใหร่กันเล่า คุเซะถามกับตัวเอง….
ef – a tale of melodies. ตอนแรกนั้นได้เริ่มฉายแล้ว สำหรับตอนแรกมีชื่อตอนว่า ever ตัวเรื่องดำเนินเหตุการณ์ในบทของยูโกะและมิสึกิไปพร้อมๆกัน แต่ Theme อารมณ์/ความรู้สึกของทั้งสองบทนั้นค่อนข้างแตกต่างกันอย่างสุดโต่ง ในบทของยูโกะนั้นเต็มไปด้วยความหม่นหมองและอึมครึม แต่ในบทของมิสึกินั้นสว่างไสวและร่าเริงด้วยบุคลิกของมิสึกิ แม้ว่าคุเซะนั้นจะนำพาความกังวลและหลอกลวงมาด้วย แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดแสงสว่างของมิสึกิจะต้องช่วยให้ความรู้สึกดีๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ในบทของยูโกะนั้นเราไม่ได้เห็นตัวละครอื่นที่เป็นตัวประกอบเลย ไม่ว่าจะสถานที่ใดก็ตามล้วนไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงตัวละครสำคัญเท่านั้นที่ปรากฏ และนั่นก็ยิ่งทำให้บทของยูโกะหดหู่ลงกว่าเดิม หากเปรียบเทียบกับต้นฉบับที่เป็นเกมแล้วจะยิ่งเห็นภาพชัดเจน ในเกมเราจะได้เห็นยูโกะพูดอะไรพิลึกๆและ ได้เห็นยูคุงที่โดนยูโกะปั่นหัวจนพูดไม่ออก ภาพในเกมก็จะสว่างกว่าในอนิเมมาก เทียบได้เท่ากับบทของมิสึกิ แต่ความหดหู่อึมครึมและความเจ็บปวดรวดร้าวนี่ไม่ใช่หรือที่เราอยากจะให้ Shaft ถ่ายทอดมันออกมาให้เสียดแทงมากที่สุด
ความเชื่อของคุเซะนั้นออกจะพิลึกพิลั่น แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็เป็นความจริงอยู่ ทฤษฏีหญิงสาว 20 คนกับศูนย์รวมความเกลียดชังนั้นก็สมกับเป็นคุเซะ เขาเชื่อว่าถ้ามีผู้หญิงมาเกี่ยวข้องด้วย 2 คน ทั้งสองคนก็จะทะเลาะกัน แต่ถ้าผู้หญิงเพิ่มขึ้นเป็น 20 คนก็จะกลายเป็นการแข่งขัน และถ้าเป็นแบบนั้นความเกลียดชังก็ไม่พุ่งไปที่เขา แต่จะกระจายกันในหมู่ผู้หญิงเอง ยูทักว่าคุเซะเป็นคนที่ใจร้ายมาก แต่คุเซะเองก็บอกว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว เพราะในบางกรณีนั้นหญิงสาวที่เป็นคู่แข่งกันก็อาจจะกลายเป็นเพื่อนกันก็ได้ จากเวอร์ชั่นเกมต้นฉบับ คุเซะทำแบบนี้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียน ถึงขนาดจะมีปาร์ตี้เลี้ยงส่งคุเซะโดยสาวๆ ทั้ง 20 คนนั้นเลยทีเดียว (แต่ก็ไม่ได้จัดขึ้นมาจริงๆ) แต่ผู้หญิงคนเดียวที่คุเซะไม่ขอยุ่งด้วยก็คือ ฮิโรโนะ นางิ
ฮิโรโนะ นางิ เป็นพี่สาวของ ฮิโรโนะ ฮิโระ ตัวเอกคนนึงของภาค Memories ที่จริงเธอเป็นเพื่อนกับยูตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เธอมีความเป็นปัจเจกสูง มีตรรกะทางความคิดนี่ผิดเพี้ยนตามสไตล์ศิลปิน เธอมักจะจับประเด็นบทสนทนาแตกต่างจากคนอื่น โดยเฉพาะกับผู้ร่วมสนทนา ทั้งในเวอร์ชั่นเกมและเวอร์ชั่นอนิเม เธอเปิดตัวด้วยฉากเปลือยเพื่อสร้างความประทับใจและสื่อถึงนิสัยของตัวละคร ดูเหมือนว่าฮิโรโนะ นางิ นั้นจะมีหน้าอกขนาดใหญ่มาก แม้แต่ มิยามุระ มิยาโกะ(ของผม) ก็ยังไม่แน่ว่าจะสู้ได้เลยทีเดียว แต่เป็นที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อนางิในวัยผู้ใหญ่ที่โผล่มาในเวอร์ชั่นมังงะนั้น มีนิสัยค่อนข้างเป็นพี่สาวธรรมดา วันเวลาที่ผ่านไปทำให้นางิเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรือว่าฉบับมังงะถ่ายทอดออกมาไม่ดี คงต้องรอพิสูจน์จากนางิในเวอร์ชั่นอนิเมะอีกรอบ
เมืองโอโตวะนั้นไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว แท้ที่จริงแล้วเมืองโอโตวะนั้นมีสองแห่ง เมืองโอโตวะแห่งแรกนั้นอยู่ที่ญี่ปุ่น และได้โดนทำลายจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากมาย สร้างขึ้นมาใหม่ในแบบปัจจุบัน ตัวละครที่อยู่ในโอโตวะญี่ปุ่นนั้นจะมีกลุ่มของฮิโรโนะ ฮิโระ, ชินโด เคย์, มิยามุระ มิยาโกะ, สึสึมิ เคียวสุเกะ รวมไปถึงยูโกะที่ผลุบๆโผล่ด้วย จุดสังเกตคือเมืองโอโตวะฝั่งญี่ปุ่นจะมีซากปรักหักพังปรากฏเป็นระยะ เช่นฉากที่เคียวสุเกะพยายามจะถ่ายภาพ หรือฉากมิยาโกะหลังจาก Work@Home แล้วก็ไปนั่งเศร้ากับยูโกะที่ปลายถนน โอโตวะอีกแห่งนึงคือโอโตวะที่ออสเตรเลีย สาเหตุยังที่สร้างขึ้นมานั้นยังไม่แน่ชัดเท่าใหร่ แต่ดูเหมือนว่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของโอโตวะที่ญี่ปุ่นอีกที สังเกตง่ายๆว่าโอโตวะที่ออสเตรเลียนั้นไม่มีซากปรักหักพังอยู่ ตัวละครที่อยู่ฝั่งนี้ได้แก่ ครอบครัวเรนจิและชินโด จิฮิโระ, ฮิมูระ ยู, คุเซะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกมิยาโกะถึงไม่เคยพบกับพวกจิฮิโระเลย ทำไมฮิโระเข้าไปที่โบสถ์แต่กลับเจอยูโกะทุกที ไม่เคยเจอยูเลย หรือข้อสงสัยที่ว่าทำไมเคย์ที่เป็นห่วงและติดต่อกับจิฮิโระอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่เคยไปเยี่ยมจิฮิโระเลย ใครที่ติดตามเวอร์ชั่นอนิเมเป็นหลัก ก็คงโดนปั่นหัวจนงงกันไปตามๆกัน ส่วนปริศนาที่ว่าทำไมโอโตวะที่ออสเตรเลียถึงพูดภาษาญี่ปุ่นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรกล่าวถึงพอๆกับที่ว่าทำไม ฮายามะ มิสึกิ ไปเที่ยวถึงต่างประเทศแต่กลับขนชุดนักเรียนไปใส่ด้วยอีก
หากอิงจากเวอร์ชั่นเกมแล้ว ไทม์ไลน์ของเรื่อง ef นั้นที่จริงจะค่อนข้างตรงไปตรงมา เริ่มเรื่องที่ฮิโรโนะและมิยาโกะ เมื่อจบลงก็เป็นบทของเคย์ เนื้อหาในบทของเคย์นั้นถูกตัดออกไปมากในเวอร์ชั่นอนิเม ประเด็นในบทของเคย์ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ นั่นก็คือเรื่องราวของชีวิตเมื่อความรักไม่สมหวังแล้วจะทำอย่างไร การก้าวไปข้างหน้าของเคย์ ลำดับความสำคัญของชีวิต จากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวของจิฮิโระกับเรนจิที่ออสเตรเลีย และตามด้วยบทของมิสึกิกับคุเซะที่ออสเตรเลียเช่นกัน ในช่วงท้ายของบทมิสึกิ ก็จะย้อนเรื่องราวไปเป็นบทของยูโกะในอดีต แล้วค่อยปิดเรื่องราวทั้งหมดลงอีกครั้งนึง แต่ในเวอร์ชั่นอนิเมนั้นจะนำเสนอหลายๆบทไปพร้อมๆกันสลับไปมา ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่ได้วางอยู่บนไทม์ไลน์เดียวกันเลย นั่นเป็นเรื่องที่ต้องยกความดีความชอบให้ผู้เขียนบทอย่าง คัทสึฮิโกะ ทาคายามะ และการกำกับของ โอนุมะ ชิน ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างแยบยลและมีไสตล์เป็นตัวของตัวเองโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
ef – a tale of melodies. ตอนแรกนี้นั้นยังไม่มีเพลงปิด เครดิทท้ายตอนนั้นถูกใช้รวมไปพร้อมๆกับบทสนทนาระหว่างคุเซะและมิสึกิ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจสำหรับ Shaft ที่ชอบเล่นตลกกับเพลงเปิดปิดอยู่บ่อยๆ สำหรับ End Card (ภาพปิดท้ายตอน) ของตอนแรกนั้นวาดโดย 2C=Galore ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบตัวละครและวาดภาพประกอบของ ef – a fairy tale of the two. เวอร์ชั่นเกม(วิชวลโนเวล) เอง แต่มีมุขตลกล้อเลียนอนิเมะเรื่อง Sayonara Zetsubou Sensei ซึ่งก็เป็นผลงานอนิเมของ Shaft เช่นกัน ยูและนางิเวอร์ชั่นล้อเลียนนี้ก็หน้าตาตลกสิ้นหวังสมใจจริงๆ
ในตอนต่อไปนั้นเป็นมืชื่อตอนว่า “Read” ใครที่คาดเดาว่าจะเล่นกับชื่อตอนให้เข้ากับชื่อเพลงเปิด น่ากลัวจะต้องคาดเดากันใหม่แล้ว เพราะหากอิงจากชื่อเพลงเปิดที่ชื่อ “Ebullient Future” แล้ว ตัวอักษรที่สองควรจะเป็นตัว B แต่ตอนที่สองกลับขึ้นต้นด้วยตัว R แทน ซึ่งคงต้องมาช่วยกันคาดเดามุกเล่นสนุกของ Shaft กันอีกครั้งนึง คำพูดปิดท้ายตอนสำหรับภาค melodies. คือคำว่า “….Kikoemasuka Shinjitsu no Melody” ซึ่งแปลได้ว่า “…ได้ยินไหม ท่วงทำนองที่แท้จริง”