173 | Six Years Anniversary I : Beginning


หกปีแล้วสำหรับการเดินทางในโลกสมมติที่ชื่อว่าวาน่าดีล Final Fantasy XI วางตลาดครั้งแรก เดือนพฤษภาคม ปี 2002 บนเครื่อง Playstation 2 ผมเล่นครั้งแรกก็บนเครื่อง PS2 นี่หล่ะ ลงทุนซื้ออุปกรณ์ต่อพ่วงอย่าง HDD และ Modem มาทั้งเซ็ตราคาพอๆกับ PS2 อีกเครื่องเลย และก็เล่นบน PS2 นานมาก จนกระทั่งย้ายมาบน 360 และ PC ราวๆสองปีที่แล้วเอง ผ่านมาหกปีแล้ว ถึงพักหลังๆจะเล่นน้อยลงเยอะก็เหอะ
ช่วงปีแรกของการเล่นนั้นเป็นช่วงที่ได้รู้จักกับโลกของเกมออนไลน์ของจริง ตอนนั้นตลาดเกมออนไลน์ยังไม่บูมมากนัก ยิ่งในเมืองไทยยังไม่มีเกมออนไลน์มาเปิด Server มากมายอย่างทุกวันนี้ เกมออนไลน์ที่เป็น MMORPG พอรู้จักกันก็มีแต่ Ragnarok Online เท่านั้น ซึ่งก็มีแต่ Server ของต่างประเทศ เกมอย่าง FFXI เปิดตัวออกมาก็เรียกได้ว่าเป็นการเปิดโลกใหม่อีกระดับ เกมที่มีชื่อเสียงระดับสูงสุดในหมู่เกม RPG หันมาทำออนไลน์อย่างเต็มตัวจริงจัง ก็ทำให้มีแฟนๆตามไปเล่นพอสมควร ช่วงอาทิตย์แรกที่เล่นผมบอกตรงๆว่า-ไม่-สนุก-เลย- ผมเกิดที่ซานโดเรีย วิ่งวุ่นในเมืองแต่แทบไม่ได้คุยกับใครเลย จากนั้นก็พยายามรวมกลุ่มคนไทยที่เล่น FFXI เข้าด้วยกัน เปิดเว็บบอร์ดอันเล็กๆ (จริงๆเรียกว่าขโมย) แล้วก็สร้างสังคมของคนไทยเล็กๆขึ้นมา ใครในตอนนี้ที่เล่น FFXI อาจจะมีคำถามว่าทำไมต้องเป็น Titan ผมมีคำตอบให้ ในตอนแรกนั้นผมเกิดที่ Valefor และพี่บอม (บก. ณ เมก้าในตอนนั้น) เค้าเกิดที่ Titan แล้วผมก็ได้ศึกษาเรื่องระบบ World Pass จนพอเข้าใจระบบคร่าวๆ ผมเลยโทรไปถามเค้าว่าอยากเล่นด้วยกัน จะให้ย้ายไปหาหรือเค้าจะยายมา พี่บอมไม่ย้ายผมก็เลยย้ายไป Titan และนั่นก็ทำให้เป็น Thaitan จนถึงทุกวันนี้
ปีแรกนั้นผม Log in ทุกวัน ย้ำว่าทุกวันจริงๆ ไม่เคยหยุด ไม่เคยพลาด ไม่เคยขี้เกียจ สนุกกับ Content ของเกมทุกๆอย่าง มีเพื่อนใหม่ มีคนรู้จัก ทุกครั้งที่เลเวลแคบเพิ่ม พวกผู้เล่นจะแห่กันไปทำ Genkai Quest กันอย่างสนุกสนาน เลเวลที่ขึ้นอย่างยากเย็น ทำมิชชั่นร่วมมือกันขึ้นหอคอย Delkfutt ครั้งละ 5-6 ชั่วโมง ติดสอยห้อยตามคนเลเวลสูงๆถล่ม Oztroja กัน ในปีนั้นผมเล่นจนเลเวล Cap 50 ผมไม่เคยคิดเลยว่าบางครั้งภาพกราฟฟิคสามมิติที่ไม่ได้เลอเลิศอะไรเลย หนำซ้ำยังอยู่บนจนทีวี 14 นิ้วเก่าๆ กลับสร้างความประทับใจไม่มีที่สิ้นสุดได้ เมื่อมันมีปัจจัยแวดล้อมที่สนับสนุน การแบกรับและอารมณ์ร่วม การเปิดประตูจากใต้ท้องเรืออึมครึม ขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วพบกับท้องฟ้าสีคราม พร้อมเพลง Voyager ที่ดังแว่วมา ทำให้ผมต้องยิ้มออกมาให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในห้องเล็กๆ กับทีวีเล็กๆ (แถมยังต่อด้วยสายคอมโพสิท!) ปกติคนเราจะยิ้มหรือหัวเราะกับมุกตลก หรือร้องไห้ให้กับเรื่องราวที่ซาบซึ้งกินใจ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มให้กับบรรยากาศ มันไม่มีตัวหนังสือใดๆ ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น มีเพียงเพลง ท้องฟ้า และทะเลสมมติ แต่ที่นั่น เวลานั้น ความตื่นเต้นยินดีล้นเอ่อออกมาจนไม่อาจกลั้นยิ้มได้ เรื่องเล็กๆน้อยๆในเวลาที่คาดไม่ถึง นำพามาซึ่งความประทับใจที่ไม่มีมาตรวัดได้ ดูเหมือนว่าผมจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นมากพอควร เพราะหลังจากที่ผมเลเวล 50 สิ่งแรกที่ทำก็คือการนั่งเรือจากเซลบิน่าไปมัวห์ร่ากลับไปกลับมาโดยไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็อ่านนิยายจีน (มังกรคู่สู้สิบทิศ) โดยปล่อยให้ตัวละครในเกมนั่งตากลมอยู่อย่างนั้น…… มานั่งคิดๆดูแล้วมันก็ออกจะไร้สาระ แต่ความรู้สึกในตอนนั้นที่ได้รับมาผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเหลือเกิน

ในช่วงปีแรกถึงปีที่สอง Final Fantasy XI มีแต่เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าคนไทยที่กระเสือกกระสนขวนขวายหามาเล่นนั้นต้องเรียกว่าเป็น Hardcore หรือไม่ก็เป็นพวกบ้าเห่อแน่นอน ในช่วงแรกคนไทยที่เล่นนั้นก็มีอยู่ราวๆ 15 คน ยังไม่พูดถึงเรื่องว่ามีใครมั่ง (เก็บไว้เขียนบทอื่น) แต่ทุกๆคนจำชื่อและหน้า (ในเกม) กันได้เป็นอย่างดี ผมล๊อกอินทุกวันไม่เคยขาด และทุกๆ คนก็ทำเหมือนกัน ถ้ามีใครหายหน้าหายตาไปสักวันสองวันก็จะโดนเพ่งเล็งและเรียกได้ว่า​ “หายหัว” ในทันที ทุกๆวันมีเรื่องราวให้ทำมากมายไม่หยุดหย่อน มิชชั่นต่างๆ เก็บเลเวล ทำเควสต์ เล่นกันจนดึกดื่นหรือโต้รุ่งได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แต่ถึงกระนั้นเองก็เหอะ ผมกลับได้กระทำสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นที่เรียกว่า “เลิกเล่น” ลงไป
ราวๆเดือนพฤษภาถึงมิถุนา ปี 2003 ด้วยเหตุผลอันไม่สมควรแก่การเล่าเท่าใหร่ ผมได้ทำการ “หายหัว” ไม่ล๊อกอินโผล่ไปในเกมเลยถึงร่วม 1 เดือนเต็ม ทันทีที่โผล่มาก็มีการก่นด่าแขวะกันอย่างสนุกปาก แต่เมื่ออะไรๆ ไม่ดีขึ้นผมจึงได้ตัดสินใจกล่าวคำลาให้กับชีวิตอีกด้านของผม ดาห์เลีย มองค์เลเวล 58 เอาชนะชาโดว์ลอร์ดได้แล้ว ทำ AF ส่วนขาไปแล้ว ได้ตัดสินใจจะออกเดินทางจากวาน่าดีลไปยังดินแดนที่ห่างไกล ทรัพย์สมบัติได้แจกจ่ายให้กับเพื่อนฝูงและคนที่ผ่านมา ภาพสุดท้ายที่เห็นก็คือ Rulu’de Garden ที่ที่ผมชอบนั่งๆนอนๆ เพราะมีความรู้สึกว่าร่มรื่นและมีความเป็นส่วนตัว คนส่วนมากจะอยู่ที่ Lower Jeuno เพราะมี Auction House และไปมาสะดวกกว่า ผมล๊อกเอาท์ดาห์เลียที่นั่น และลบตัวละครจากหน้าสร้างตัวละคร และไปเลือกปิด Content ID อีกที ซึ่งหมายความว่าดาห์เลียนั้นจะไม่ได้กลับมาอีก ลาก่อนแมวน้อยที่ใช้กำปั้นทุบตีปูอย่างทารุณ แมวหน้าดำที่มีความฝันอยากจะใช้คูวเมเคนทะลวงลิ้นปี่ทารุทารุ เสียดายจริงๆ อีก 2 เลเวลก็ใช้คูวเมเคนได้แล้ว ลาก่อน…
อนิจจา…ดาห์เลียจากไปแล้ว แต่คนเล่นตัดไม่ขาด…น่าเศร้าๆจริงๆเมื่อเดือนกรกฏาคมปีเดียวกัน (ผ่านไปราวเดือนครึ่ง) ผมก็ได้หวนกลับมายังวาน่าดีลอีกครั้ง….และจากการกลับมาครั้งนั้น ผมตั้งเป้าปณิธานกันตัวเองว่า เราจะไม่พรากจากกันอีก
ในตอนแรกนั้นผมพยายามจะเปลี่ยนหลายอย่างเลย เริ่มตั้งแต่พยายามเปลี่ยน Server ที่จะเล่นเพราะอยากได้ Welcome Message เพราะๆ อย่าง “Welcome to Shiva” หรือ “Welcome to Ragnarok” แต่ก็ยังไม่ได้จริงจังมาก อย่างที่สองคือเปลี่ยนเผ่า ผมอยากเล่น Hume หญิงผมบ๊อบสีดำ เพราะว่าในเกมมันน่ารักมาก! แต่พอสร้างตัวแล้วเอาไปวิ่งไปวิ่งมาโยกย้ายส่ายสะโพกดูก็พบว่ามันไม่ใช่อ่ะกิฟท์! มันไม่ใช่! ภาพบั้นท้ายของ Hume ที่เดินสะดีดสะดิ้งไปมานั้นไม่ใช่สิ่งที่คุ้นตาของผม! ท่าเดินที่แข็งๆ นมที่ใหญ่ๆ ชุดชั้นในสีขาวและผิวนวลมันไม่ใช่ตัวเรา! ผมก็เลยลบคุณเธอทิ้งไปแล้วก็กลับมาเป็นมิสร่านมเล็กตัวดำเหมือนเดิม ทรงผมทรงเดิม เหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว…. แหม เกือบจะไม่ได้เป็นพี่เมี้ยวของน้องๆ ซะแล้วนะเนี่ย
สิ่งที่สามที่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็คือชื่อ ใจจริงอยากจะชื่อ Dahlia เหมือนเดิม แต่เลิกเล่นไปเดือนเดียวก็มีคนตั้งชื่อเป็น Mule ไปซะแล้ว ก็เลยเกิดใหม่เป็น Troisans ผู้อ่านยาก แท้จริงก็มาจากคำว่า Trois Ans อ่านว่าตัวอังส์ (แต่ผมเองยังอ่านว่าทรอยส์เลย) แปลว่าสามปี เป็นภาษาฝรั่งเศส ในตอนนั้นอยากตั้งชื่ออะไรก็ได้ที่แปลว่าสามปี เพราะดันไปสัญญาอะไรชาวบ้านไม่เข้าท่าไว้ จะเขียนธรรมดาก็คงเชย เลยเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสซะ มานึกๆดูน่าจะเขียนเป็นเยอรมันนะ เท่กว่าอีก
สิ่งที่สี่ที่เปลี่ยนก็คืออาชีพ เดินเล่นมองค์มาทั้งชีวิตก็อยากจะทำอะไรใหม่ๆนอกจากการเอากำปั้นไปประเคนหน้าคนอื่นมั่ง ก็เลยอยากลองเล่นนักเวทย์ดูบ้าง ผมมาเริ่มเล่นทีหลังอีกรอบ เลเวลก็เลยน้อยกว่าชาวบ้านเยอะ ยิ่งตอนนั้นคนไทยกลุ่มนึงได้รวมตัวกันเปิดกิจการ Davidsgroup ขึ้นมา (ที่มาของชื่อคงไม่ต้องบอก ก็กิจการโรงอาบน้ำของเฮียชูวิทย์ที่ชาว DVG ชอบไปใช้บริการอยู่บ่อยๆนั่นเอง) ไอ้เราเล่นใหม่เลเวลยังน้อยแต่ก็อยากไปแจมชาวบ้านไวๆ เลยอยากจะเล่นอาชีพที่เลเวลอัพง่ายๆ หาปาร์ตี้ง่ายๆ ตัวเลือกก็เลยออกมาเป็นเรดเมจและบาร์ด มองซ้ายมองขวา AF ของเรดเมจมันก็เท่โขอยู่ แถมยังถือดาบด้วย ก็เลยเลือกเรดเมจเป็นอาชีพหลัก และก็ยังเป็นอาชีพหลักอยู่จนถึงทุกวันนี้
หลังจากเริ่มต้นใหม่ราวๆเดือนนึง ผมเลเวลประมาณ 16 ทาง SE ได้มีโครงการย้ายเซอร์พเวอร์เพื่อเปิดเซอร์พเวอร์ใหม่ ผมอยากจะย้ายแต่ก็กลัวจะคิดถึงเพื่อนๆ ก็เลยปรึกษาดูหลายๆคน ก็ได้ Oasis มาห้ามปรามไว้ว่าอย่าย้ายเลย ตอนแรกตัดสินใจว่าจะย้ายไป ถ้าไม่รุ่งค่อยลบทิ้งเล่นใหม่แล้วจะเล่นพาลาดิน แต่โดนโน้มน้าวก็เปลี่ยนเป็นสร้างตัวใหม่แล้วส่งไปแทน (เหตุผลคืออยากรู้ว่าเซอร์พเวอร์ใหม่ชื่ออะไร) พอตัวใหม่ที่ย้ายส่งไปแล้วก็พบเซอร์พเวอร์ใหม่ชื่อ Hades ซึ่งชื่อก็ไม่ได้ละมุนหูเลย และมันก็ไม่ต่างกันกับ Titan สักเท่าใหร่ ก็เลยเล่นที่ Titan ต่อ
ผมได้เริ่มเล่นใหม่ตั้งแต่เลเวล 1 ได้พบกับความรู้สึกของการเริ่มต้นใหม่ มีเพื่อนๆบางคนเอาโน่นเอานี่มาให้อยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วเล่นมาจนปรุ ผมก็ค่อยๆเก็บเลเวลไปเรื่อยๆ ช่วงที่กลับมาใหม่เป็นช่วงเปิด Cap level จาก 65>70 พอดี พอผมเล่นไปจนเลเวลสัก 50 ก็ได้มีการเปิด Cap level ครั้งสุดท้าย 70>75 ตอนนั้นเกงไค V เป็นที่ร่ำลือมากถึงความยากในบางอาชีพ ดรากูน​ ซัมมอนเนอร์ เรดเมจถูกจัดอันดับให้เป็นอาชีพที่ยากที่สุด (เพราะตอนนั้นเทคติคในการสู้ของซัมมอนเนอร์และดรากูนยังไม่แพร่หลาย) การที่ฝ่ายคู่ต่อสู้เราใช้ Chain Spell แล้วมี MP infinite เนี่ยมันช่างโกงบัดซบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ ผมได้แต่ตัวสั่นงันงกฟังข่าวลือว่าคนโน้นไปโดนตาแก่กระทืบ คนนี้ไปโดนกระทืบ ไม่รู้ว่าจะถึงคิวตัวเองเมื่อใหร่…..
ลืมบอกว่าไปว่าช่วงแรกเกมออกนั้นเป็นปีเดียวกับฟุตบอลโลก ทำให้ชื่อที่นิยมตั้งให้กับตัวละครจึงมากจากชื่อนักฟุตบอลซะมาก ช่วงนั้นที่นิยมที่สุดก็หนีไม่พ้นเดวิดเบคแฮม แต่คาห์นก็พบเห็นได้บ่อยไม่น้อย รวมไปถึงนักบอลดังๆช่วงนั้นอย่างบาติสสุต้าและอื่นๆมากมายที่ผมจำไม่ค่อยได้ และเมื่อราวๆเดือนที่แล้วผมได้อ่าน “โอ้พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก” หรือชื่อญี่ปุ่นว่า Katte ni Kaizo ของโคจิ คุเมตะ เล่น 19 ได้มีการเขียนล้อฟุตบอลโลกและ Final Fantasy XI อยู่บ่อยๆ ซึ่งก็เป็นตัวอย่างการบันทึกเรื่องราวร่วมสมัยได้เป็นอย่างดี
นี่เป็นเป็นเรื่องราวคร่าวๆในช่วงสองปีแรก หรือเรียกให้ถูกก็คือปีกว่าๆ เพราะนับแต่เดือนพฤษภาคม 2002 ถึงสิ้นธันวาคมปี 2003 ผมได้แฮปปี้นิวเยียร์ใน EXP Party เป็นครั้งที่สองในชีวิต ระหว่างที่ปาร์ตี้นั้นเองคนในปาร์ตี้ผมรวมถึงปาร์ตี้ข้างๆต่างตะโกนว่า “(อะไรอาเกโอเมะสักอย่าง ขอไปถามก่อน)” ผมก็พาลตะโกนไปกับเค้าด้วยซะอีก ผมตั้งใจจะเขียน 6 Years Anniversary แบ่งเป็นสามครั้ง ครั้งล่ะ 2 ปี สำหรับตอนที่สองก็เป็นเรื่องราวของ HNMLS ล้วนๆ ชีวิตต้องสู้กับ HNM และการผจญภัยมิชชั่น Chains of Promathia กับผองเพื่อนมิตรสหายที่ร่วมฝ่าฟัน
to be continue….

One thought on “173 | Six Years Anniversary I : Beginning”

Comments are closed.