สวัสดีวันสุดท้ายในฮอกไกโด วันนี้ไม่มีแผนเที่ยวอะไรพิเศษ เงื่อนไขคือทำยังไงก็ได้ให้ไปถึงสนามบินจิโตเสะก่อนมืดเพื่อค้างคืนที่ห้องพัก + ออนเซ็นในนั้น จะมีพิเศษนิดหน่อยคือต้องไปแวะร้านจักรยานแถวๆ สนามบินเพื่อเอากล่องจักรยาน ระยะทางโดยประมาณของวันนี้คือ 50 กิโลได้ ก็กะว่าสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ซึ่งเวลาที่คิดแบบนี้มันก็ไม่ค่อยจะเป็นไปตามที่คิดเสมอ
พอเก็บข้าวเก็บของกันเรียบร้อย สภาพห้องที่ทุเรศทุรังจากการใช้งานของชายโฉดสองคนก็กลับคืนสู่ความเรียบร้อยราวกับเรื่องโกหก อู้เลี้อยไปเลี้อยมาไม่มีอะไรทำ เจ็ดโมงครึ่งก็ออกเดินทางกันเลยละกัน
จากที่เคยหาข้อมูล มันจะมีถนนจักรยานจากซัปโปโรไปสนามบินด้วย ชื่อโคโคโร้ด (เป็นการเล่นคำระหว่างคำว่า โคโคโระ (หัวใจ) กับ โร้ด (Road) ก็ค่อยๆ เลียบเมืองหาทางเข้าโคโคโร้ดไปเรื่อยๆ แต่ถนนเส้นนี้ดูจะลึกลับหายากกว่าที่คิด ผ่านแฟมิลี่มาร์ทหน้าโรงเรียนมัธยมก็เลยแวะหาอะไรกินกัน
บอกเลยว่าสุดยอด แฟมิลี่มาร์ทตอนแปดโมงยี่สิบนี่สุดยอดมาก ในร้านจะมี JK จำนวนมากมานั่งกินข้าวหรือซื้อของกัน และเพราะว่าใกล้จะเข้าเรียนเลยยิ่งเยอะเป็นพิเศษ ภาพ JK กระโปรงสั้นๆ ในร้านคอนวิเนียนนั้นอร่อยมาก เสียดายเหลือเกินที่ไม่สามารถบันทึกภาพมาให้ชมกันได้เพราะกลัวจะโดนตำรวจหิ้ว… ยังไงก็…ขอบคุณสำหรับอาหารครับ
พอโรงเรียนเข้าเหล่านักเรียนม.ปลาย ก็หายหมด… ที่แฟมิลี่มาร์ทสาขานี้มีโต๊ะนั่งกินริมหน้าต่างด้วย กินกันเสร็จก็ตรงไปโคโคโร้ด ถนนโคโคโร้ดจะเป็นถนนสำหรับจักรยาน ร่มรื่นดี ไม่มีรถใหญ่ แล้วก็มีคนทั่วไปมาวิ่งออกกำลังกายด้วย ถนนจะลอดทางรถไฟหรือถนนใหญ่ตลอดทำให้ไม่ติดไฟแดง แต่เวลาลอดทางรถไฟมันก็จะมีรางน้ำขวาง ซึ่งก็จะสะดุดรางน้ำอยู่ดี ทำให้ต้องคอยระวัง แบกของมาเยอะตอนกระเด้งก็จะน่ากลัวหน่อย คนมาวิ่งจ๊อกกิ้งเยอะสองข้างทาง ส่วนมากก็เป็นคนแก่ๆ
ออกจากโคโคโร้ดเข้าถนนใหญ่ 8 เลน ก็ปั่นบนฟุทปาธเลียบถนนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใช้ถนนหลัก อารมณ์คล้ายๆ ตอนปั่นไปฟุราโนะ ปั่นไปสักพักเริ่มเหนื่อยเพราะว่าภูเขาเยอะ ขึ้นเนินตลอด ตอนที่วางแผนการเดินทาง วันสุดท้ายนี่ไม่ได้หาข้อมูลอะไรเลย ความชัน รูปแบบถนนหรือเส้นทาง เพราะคิดว่า “เห้ย ถ้าผ่านมาจนถึงวันนี้ได้ แค่นี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” ใช่มันก็ไม่เท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ใช่สบายๆ เหมือนกัน…
40 กิโล ภูเขาเยอะ ลมต้าน แถมด้วยลมยางอ่อน แหม..สมเป็นวันสุดท้าย แถมฟ้าก็ยังครึ้มๆ ขู่อีกแน่ะ… เจอเฮลิคอปเตอร์บินอยู่กับที่ด้วย ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรเหมือนกัน ตามกันไปสักพักถึงเอนิวะซึ่งเป็นเมืองก่อนถึงสนามบิน นัดกับร้านจักรยานแถวนี้ว่าจะขอกล่องเขา ร้านใหญ่หรูหราดี พอเข้าไปเขาก็ให้กล่องมาสองกล่องอย่างง่ายดายและฟรี ซึ่ง… กล่องใหญ่มาก มองหน้ากันแล้วคิดว่าเอาไงดีวะ จะแบกไปยังไงเนี่ย
เลยลองหน้าด้านคุยกะที่ร้านบอกให้ไปส่งสนามบินจะได้มั้ย ไม่กี่กิโล ร้านรีบขอโทษขอโพยโดยไม่ยินยอมการเจรจาต่อรองใดๆ ก็เลยต้องหาวิธีกันเองโดยพับกล่องเป็นทบๆ แล้วมัดกับท้ายจักรยาน สภาพทุลักทุเลมาก แต่มันก็แบกได้แฮะ… แม้จะแลดูคล้ายโฮมเลส 2 คนขโมยกล่องชอบกล
แต่ในความลำบากก็ยังมีเรื่องให้ดีใจ ตั้งแต่ยางรั่วที่เกาะเรบุนก็ยังไม่ได้เติมลมจักรยานเลย ยางอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ตัวเองก็มีแต่ที่สูบมือพกพา เลยสูบได้ไม่เต็มที่ แต่ที่ร้านจักรยานมีที่สูบลมให้ใช้ฟรี แน่นอนว่าสูบของร้านต้องดีมาก พอสูบยางแข็งๆ แล้วก็ปั่นลื่นขึ้นเยอะ
ตอนแรกว่าจะแวะกินข้าว แต่เห็นฟ้าครึ้มลมแรงเลยรีบไปสนามบินกันก่อน ปั่นเลียบไปเรื่อยๆ ไปต่อสักพักสุดทาง… เห็นสนามบินจิโตเสะอยู่ตรงหน้าแล้วแต่ว่าเข้าไม่ได้… มันไม่มีถนน เดินขึ้นสะพานลอยก็ออกไปอีกด้าน ขามาออกมาทางไหนก็จำไม่ได้ (แต่คุณ E จำได้) มีแค่สะพานถนนเส้นนึงข้ามไปเข้าสนามบิน แต่ดูแล้วไม่ค่อยเหมาะกับการปั่นจักรยานขึ้นเลย นึกภาพถนนกลับรถเข้าดอนเมืองประกอบ อารมณ์จะประมาณนั้น
ยังไงก็ไม่มีทางอื่นแล้วเลยตัดสินใจปั่นขึ้นไปทางนั้นแหละวะ จักรยานก็แบกกระเป๋าใบใหญ่และยิ่งมีลังกระดาษทำให้ระยะกว้างกว่าปกติ ศูนย์ก็ไม่คอยเที่ยง รถก็วิ่งกันเร็วอีก… ฝนก็ใกล้จะตก เร้าใจมาก รอหาจังหวะรถว่างๆ อยู่พักนึงก็รีบปั่นขึ้นไป ยังไม่ทันจะถึงไหนก็มีรถบัสวิ่งตามมาข้างหลัง ตื่นเต้นมาก… แต่ก็รอดชีวิตเข้าสนามบินไปได้ในที่สุด
เข้ามาได้ก็โล่งใจละ วนแถวลานจอดรถ หาที่เหมาะๆ แถวประตูทางเข้าสนามบินนั่งแพ็คจักรยานลงกล่องกันสองคน มีทัวร์จีนผ่านไปผ่านมาบ้าง ระหว่างที่แพ็คอยู่ฝนก็เทลงมา เป็นฝนจริงๆ ไม่ใช่ฝนปรอยๆ ไม่อยากนึกภาพเลยว่าถ้าแวะกินข้าวแล้วตากฝนนี้พร้อมกับกล่องกระดาษที่ติดอยู่ท้ายจักรยานจะมีสภาพอย่างไร
พอจัดการยัดจักรยานลงกล่องแบบชุ่ยๆ แล้ววางลงบนรถเข็นของสนามบินก็เป็นอันว่าหมดสิ้นภารกิจจักรยานเรียบร้อย ขอบคุณ Fuji Pallette เน่าๆ คันนี้ที่ร่วมฟันฝ่ามาด้วยกันตลอดทาง เป็นการพิสูจน์ว่าจักรยานบ้านๆ ก็ทำได้เหมือนกัน ถึงจะแอบคิดโยนทิ้งกลางทางไปหลายรอบก็เหอะ
โอเค รอดมาในสนามบินกันแล้วก็ต้องหาอะไรกินกันตายก่อน ตอนแรกว่าจะแวะกินร้านปิ้งย่างเจงกิสข่านในสนามบิน (ยังไม่เลิก) แต่ไปๆ มาๆ ก็เข็นไปกินในฟู้ดเซ็นเตอร์เหมือนเดิม เพราะว่านั่งสบาย ถึงกระนั้นก็ยังอุตส่าห์หาข้าวเจงกิสข่านในฟู้ดมากินได้ ถึงจะเป็นแค่ข้าวเจงกิสข่านร้านในสนามบิน แต่ก็อร่อยนะเว้ย
เครื่องกลับไทยจะออกพรุ่งนี้หกโมงเช้า และสนามบินจิโตเสะไม่มีที่ให้นอนเหมือนสนามบินคันไซ ดังนั้นเลยต้องไปค้างคืนกันใน Relax Room ของสนามบินซึ่งมีออนเซ็นด้วย ก็เข้าไปคุยรายละเอียดได้ความว่าเข้าแล้วออกไม่ได้นะ แล้วก็ถ้าห้องเต็มก็จะปิดรับคนทันที และไม่สามารถระบุได้ว่าจะเต็มกี่โมง เลยตกลงกันว่าแยกย้ายไปซื้อของฝากแล้วกลับมาเจอกันที่นี่ตอนบ่ายสาม
คุณ E แยกย้ายไปซื้อของฝากให้คนในบริษัทตามหน้าที่ลูกพี่ที่ดี ส่วนผมนั้น…ไม่อยู่ในหัว ฮ่าๆ ก็เดินดูโน่นนี่ในสนามบินไป ตอนนี้มีนิทรรศการ Snow Miku กับประวัติเครื่องบินอะไรพวกนั้น Snow Miku มีฉายหนัง 3D ด้วย เดินวนไปวนมากลับมาที่ร้านอนิเมท แล้วเอาตังที่เหลือซื้อ Webmoney (ไว้เติม FF14) จนเหลือแค่ค่าที่พัก + เศษตังเล็กน้อย กะว่าถ้ามีเรื่องต้องจ่ายเกินก็จะใช้บัตรเครดิทแทน
ห้องพักผ่อน + ออนเซ็นราคาอยู่ที่ 3,000 เยนต่อคืน ข้างในหรูหราดี แต่มันไม่ใช่ห้องพัก เป็นแค่ห้องพักผ่อนรวม คล้ายๆ กับอินเตอร์เน็ทคาเฟ่ขนาดใหญ่ มีเก้าอี้ให้มานอนดูทีวี มีการ์ตูนให้หยิบมาอ่าน (แต่ไม่มีอินเตอร์เน็ทให้เล่นฟรีนะ) พอวางของเสร็จก็ไปอาบน้ำออนเซ็นก่อน นี่ก็เป็นออนเซ็นครั้งสุดท้ายของการเดินทางแล้ว
สภาพในห้องแช่เป็นไงจำไม่ได้เลย น่าจะหรูๆ มั้ง จำได้แต่ห้องล๊อคเกอร์ใหญ่มากๆ ในนี้เราจะได้สายรัดข้อมือ + กุญแจ ตอนเข้ามา เอามาไขล๊อคเกอร์ได้ อาบเสร็จพอออกมาที่ล๊อกเกอร์เล็กเก็บของส่วนตัว ที่ให้ใส่พาสเวิร์ดก่อนเข้า ปรากฎว่ากดไม่ออกจนต้องเรียกพนักงานมาใช้ Master Key เปิดให้ ปัญหาที่ไขไม่ออกก็คือ Password มันใช้ครั้งเดียว แต่ตอนใช้ใส่ของเข้าไปสองรอบโดยใช้วิธีเปิดตู้ค้างไว้ พอมันปิดเลยเปิดอีกครั้งไม่ได้…
อาบเสร็จก็ไปห้องอาหาร สั่งข้าวปลาฮามาจิมากิน อร่อยดีแฮะ ทุกอย่างที่ใช้งานที่นี่จะบันทึกไว้ที่สายรัดข้อมือหมด แล้วไปจ่ายครั้งเดียวตอนออกแทน รู้สึกไฮโซมาก จะซื้ออะไรก็ยกสายรัดข้อมือมากดติ๊ดๆ มีตังหรือไม่มีก็ว่ากันทีหลัง ชั้นล่างที่นี่มี Arcade Zone ด้วย มีเกมเก่าโบราณขนาดไม่คิดแม้แต่จะเล่น… กินข้าวเสร็จก็กลับมาห้องพักผ่อน หยิบการ์ตูนมาอ่านตั้งนึง เป็นอาสึมิ กับ ไคโอขิ เล่มท้ายๆ จนถึงจบ เป็นสองเรื่องที่หาโอกาสอ่านตอนจบในเมืองไทยไม่ได้ อ่านรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง แต่อย่างน้อยก็ได้อ่านตอนจบล่ะวะ
อ่านเสร็จก็นอนตรงนั้นเลย เป็นห้องพักผ่อนรวม ตอนเช้าก็ไปกินบุฟเฟท์ฟรี ไม่อร่อยเท่าไหร่แต่ก็หยวนๆ พออิ่มก็ออกไปเช็คอินรอขึ้นเครื่อง เครื่องดีเลย์นิดหน่อย ตรงนี้คุณ E ได้ใช้บัตรเบ่งขึ้นเครื่องก่อน ยังไงก็ไม่ได้นั่งติดกันอยู่แล้ว(แยกกันจอง) ตลอดเวลาบนเครื่องขากลับจะมีเด็กนรกคนนึง พูดไม่หยุดเลย พูดได้ตั้งแต่เครื่องขึ้นยันเครื่องลง แม่บอกให้เงียบเท่าไหร่ก็ยังพูดไม่หยุด จากที่รำคาญๆ กลายเป็นสงสารแม่มันแทน
ถึงสนามบินดอนเมืองตอนบ่ายสาม ต่อรถเข้ามาในสนามบินระหว่างที่กำลังเดินไปรอกระเป๋า โทรศัพท์เพิ่งใส่ซิมคืนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็ดังขึ้นด้วยริงโทน Exponential Entropy ที่คุ้นเคย….
สวัสดีค่ะ XXXXX พูดสายค่ะ จาก YYYYYYY ขอเรียนเชิญแจ้งโปรโมชั่นสิทธิประโยชน์ให้กับคุณลูกค้า…..
ผมกดตัดโทรศัพท์ทันที… อา..นี่อยู่เมืองไทยแล้วสินะ
ค่าใช้จ่ายวันที่ 10
- สปาเก็ตตี้ 390¥ ธรรมดา กินบ่อยแล้ว
- ข้าวปั้นบ๊วย 130¥ อร่อยดีเปรี้ยวๆ
- โค้ก 150¥
สนามบิน
- ข้าวเจงกิสข่าน 1,290¥ อร่อย เยอะ แต่ไม่ถึงกะเยอะมาก
- ข้าวปลาฮามาจิ 900¥ อร่อยดี ชอบ
- ออนเซ็น + นอน 3,000¥ สนามบินไม่มีที่นอน นอนนี่ก็คุ้มดี
- WM 10,000¥
- ผ้าเช็ดหน้า 600¥
- โค้ก 160¥