ยามเช้าที่แคมป์คุจจาโระ
ตื่นตั้งแต่ตีสี่ แต่ไม่อยากออกจากเต็นท์เพราะข้างนอกหนาวและฝนตก นอนดิ้นไปดิ้นมาสักพักไม่มีอะไรทำเลยออกมาถ่ายรูปเล่นเหมือนเคย เอาสมุดออกมากะจะนั่งชิลจดบันทึก แต่ว่าพอนั่งสักพักก็ยอมแพ้… เพราะลมแรงและหนาวจนไม่สามารถทำตัวชิลได้แบบที่คาดหวัง เมื่อวานคุยกับคุณ E ไว้ว่าจากที่ผจญอากาศหนาวและฝนตกตลอดทาง เลยตกลงกันว่าพอผ่านแหลมโซยะไปจะจองโรงแรมที่วัคคาไนนอน อาจจะหลายตังค์หน่อยแต่ก็ขอพักสบายๆ ฉลองเข้าเส้นชัยสักคืน ก็เลยจองโรงแรมชื่ออย่างหรูว่า Grand Hotel Wakkanai เอาไว้ 1 คืน
พอสักหกโมงเช้าคนอื่นก็ค่อยๆ ทยอยออกมาจากเต็นท์ทีละคน เช้านี้ไม่มีอีเวนท์อะไร รีบเก็บเต็นท์จะได้ออกเดินทางกันไวๆ ดีกว่า ทีมเรนจะเลียบชายฝั่งตะวันออกเรื่อยๆ ไปชิเรโตโกะ โดยกะว่าวันนี้คงถึงอาบาชิริ ส่วนทีมผมก็จะไปแหลมโซยะแล้วตรงเข้าวัคคาไน ร่ำลากันเล็กน้อยก็แยกย้ายออกเดินทาง
จังหวะก่อนออกจากแคมป์ไปเห็นซาลาเปาขายแต่เช้าเลยลองซื้อกินหน่อย ราคา 300 เยน เห็นในรูปมันได้ 2 ลูกกะจะแบ่งกันกิน ปรากฏได้ลูกเดียว… แพงแถมไม่อร่อยด้วย ออกจากแคมป์คุจาโระก็ไปแวะเซโก้มาร์ทสาขาเดิม ตอนแรกนึกว่าจะเจอทีมเรนอีกรอบที่นี่ ปรากฎว่าไม่เจอแฮะ ก็แวะกินข้าวกัน เตรียมตัวเล็กน้อยแล้วออกเดินทางตอนแปดโมงกว่าๆ ช้านิดหน่อยไม่เป็นไร ยังไงวันนี้ไม่รีบ… easy mode (หัวเราะ)
ออกจากทะเลสาบไปทางโอโฮสึคุไลน์แป๊บนึงจะมีทางแยกเล็กๆ ไม่ค่อยเด่นนัก พอเลี้ยวเข้าไปจะเจอถนนเล็กๆ ถนนเส้นนี้เรียกว่าเส้นเอซานุกะ โล่งมาก โล่งมากๆ ปกติที่ผ่านๆ มาจะเจอถนนที่ไม่มีบ้านเรือนสองข้างทางอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เท่าเอซานุกะ ที่นี่แม้แต่เสาไฟฟ้าก็ยังไม่มี สองข้างทางเป็นทุ่งโล่งๆ มีต้นไม้เตี้ยๆ นิดหน่อย ถนนก็แทบไม่มีเลี้ยวอะไรเลย รถก็ไม่วิ่งกันเพราะเขาวิ่งกันทางโอโฮสึคุกันหมด
แม้แต่เสาไฟฟ้าก็ไม่มีถนนเอซานุกะยาวประมาณ 17 กิโล ตลอดทางมีรถยนต์วิ่งผ่านมา 3 คัน มีจักรยานปั่นสวนมาเล็กน้อย และทางนั้นสวนลมท่าทางเหนื่อยมาก… ถนนก็โล่งมากจนจอดจักรยานถ่ายรูปกลางถนนได้ เวลาปั่นก็แทบไม่ต้องคิดอะไรเลย ออโตโหมด ปั่นไปเรื่อยๆ กลางถนน ปั่นไปถ่ายวิดีโอไปยังได้ (อย่าเลียนแบบ) มองไปมีแต่ถนนสุดขอบสายตาจรดท้องฟ้า เป็นถนนที่ชอบที่สุดในการเดินทางทริปนี้เลย
แต่อนิจจา โลกมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ถนนเส้นนี้แม้จะโล่งเรียบ รถน้อย ลมส่งหลังปั่นสบาย แต่ว่าฝนเจ้าเดิมก็ยังตกปรอยๆ อยู่ แต่ด้วยความที่บรรยากาศดีกับปั่นสบายและเจอฝนแบบนี้มาหลายวันแล้วก็เลยลืมสนใจน้องฝนเสียสนิท ปั่นไปสักพักก็รู้สึกว่าวันนี้น้องฝนไม่ได้มาเล่นๆ น้องเอาจริงแล้ว ฝนเริ่มตกเป็นเม็ดใส่เสื้อดังแปะๆ แถวนี้ก็โล่งสนิท ต้นไม้หลบฝนก็ไม่มี มีแต่ต้องลุยไปเรื่อยๆ เท่านั้น
สองข้างทางของเอซานุกะจะมีต้นไม้เตี้ยๆ หลายชนิดอยู่ ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร บางต้นก็แลดูพิศดารเหมือนต้นไม้เอเลี่ยน ที่ช่วงท้ายๆ มองไปข้างทางเห็นเป็นดงอะไรม้วนๆ สีน้ำเงินๆ ก็พยายามเพ่งดูว่านั่นมันกอต้นอะไรวะ เพ่งไปเพ่งมา มันก็ม้วนไปม้วนมา หรือว่ากุเริ่มเมาแล้ว พอมองชัดๆ เห้ยนั่นมันคลื่นทะเลนี่หว่า ลมแรงม้วนคลื่นเป็นขดอย่างน่ากลัว ทิวทัศน์ข้างขวาจากที่เป็นทุ่งโล่งๆ กลายเป็นทะเลสีน้ำเงินเข้มลิบๆ ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้
…แต่ฝนก็ไม่มีท่าทีจะลดลง ตอนนี้เริ่มตกหนักจนรู้สึกว่าเปียกแล้ว ฝนเม็ดไม่ใหญ่มากแต่ลมแรง รวมกันทำให้หนาว และไม่ใช่ระดับที่จะลุยไปได้เรื่อยๆ อีกต่อไป พอออกจากเอซานุกะก็เข้าโอโฮสึคุไลน์เลียบทะเล มีช่วงนึงที่พอมีบ้านคนอยู่บ้างก็เลยแวะหลบฝนกันก่อน หลบใต้หลังคาบ้านใครไม่รู้ หลบได้ก็หลบไปก่อน กระเป๋าที่กันน้ำได้ระดับนึงตอนนี้เปียกหมดแล้ว แต่นั่นหาใช่เรื่องสำคัญไม่ อีกราวๆ 60 กิโลจะถึงวัคคาไน จะไปกันยังไงดี….
พายุแบบวิดีโอ แถวนี้มีนกนางนวลร่อนลมเล่นอยู่ด้วย
หลบฝนอยู่สัก 15 นาทีก็ไม่มีวี่แววว่าจะอะไรจะดีขึ้น เช็คมือถือฝั่งเรนก็เจอฝนถล่มเหมือนกัน 555 ก็เลยตัดสินใจ.. ลุยกันไปเลย! อย่าไปกลัวดิเว้ย แล้วก็ออกไปลุยฝนและลมทะเลกัน ครับ…ลมแรงมากครับ ฝนก็แรงครับ บางครั้งลมก็พัดเอาน้ำทะเลสาดใส่กันดื้อๆ ด้วย ลุยกันต่อสักพักเจอจุดหลบพายุหิมะ มีลักษณะเหมือนเอาหลังคาขนาดใหญ่มาครอบถนน และมีกำแพงสองข้างทางกันลม หลบในนี้กันอีกแป๊บนึง หยิบเสื้อกันลมมาใส่ฮู้ดให้ถนัดๆ แล้วกระโดดๆ ให้น้ำกระเซ็นออกจากตัวนิดนึง… รออยู่สักพักไม่มีประโยชน์อะไรอื่น ก็ออกไปลุยฝนกันต่อพอออกจากจุดหลบพายุก็เริ่มนรกของจริงล่ะ ถนนซึ่งจริงๆ ธรรมดามาก เลียบชายฝั่ง มีเนินเล็กน้อย และลมส่งหลังขำๆ ตอนนี้กลายเป็นขำไม่ออก ลมแรงมาก พัดมาทีเหมือนโดนผลัก ไม่ใช่ดันนะ ผลัก ปั่นจักรยานอยู่ วูบมาทีก็ผลักไปผลักมาที ตอนขึ้นเนินก็โดนผลักขึ้นเนิน… เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดนผลักขึ้นเนิน ที่น่ากลัวคือบางทีเป็นสะพาน เซไปเซมาอาจจะโดนผลักร่วงตกสะพานไปได้ง่ายๆ
ฝนตกหนักพอเห็นเซโก้มาร์ทก็เลยแวะหลบกันอีกรอบ เข้าไปก็ไม่รู้จะซื้ออะไรดี แต่รู้อย่างเดียวคือในนี้อุ่น… เดินไปตรงตู้ร้อนซื้อกาแฟกระป๋องมากระป๋องนึง ไม่ได้อยากกินกาแฟหรอก แต่กระป๋องมันอุ่น ซื้อมายัดไว้ในเสื้อสู้ความหนาว อนาถาเนอะ… พอออกจากเซโก้มาร์ทก็เจอปัญหาเดิมเลย พอหลบอุ่นๆ มาเจอข้างนอกหนาวๆ แล้วมันสั่นไปหมด ทำใจกัดฟันออกลุยไปอีกรอบ…ไหนได้ข่าวว่าวันนี้ easy mode ไง (หัวเราะ)แน่นอนว่าผมตามหลังคุณ E ห่างพอสมควร ผมใส่เสื้อกันลมเอาฮู้ดขึ้นมาปิดหัวช่วย ส่วนคุณ E นั้นเอาถุงพลาสติกที่ซื้อมาห่มนอน เจาะรูเอาแขนลอดทำเป็นเสื้อกันฝน… มีประโยชน์กว่าที่คิดนะ! ปั่นๆ ไปช่วงไหนไม่ไหวจริงๆ ก็จะลงเข็น มีจังหวะนึงที่ลงสะพาน ฝนตกเบรคลื่นขนาดที่ว่ากำเบรคสุดมือแล้วความเร็วก็ไม่ลดลงเลย นึกในใจว่าจะตายมั้ยเนี่ยกูแบบที่ไม่ใช่มุขตลก…. เห็นคุณ E ส่ายไปส่ายมาอยู่แว๊บๆ ตอนพ้นสะพานมาก็แอบมองข้างล่างดูว่ามิตรสหายเราไม่ได้ร่วงลงไปใช่มั้ย
สัมภาษณ์คุณ E หลังจากเหตุการณ์นั้น (นึกภาพชายใส่ชุดจักรยานรัดติ้วนั่งให้สัมภาษณ์) “ลมผลักแรงมาก อีก 2-3 เซนผมจะตกถนนอยู่แล้ว ตอนนั้นหักขวาตั้งใจจะล้มแล้วนะครับ แต่ลมแรงขนาดมันล้มไม่ลง” ไม่รู้จะกล่าวโทษหรือขอบคุณลมดี…
มีช่วงนึงเป็นซอกเขาซึ่งกลายเป็นช่องลม ลมแรงจนไม่สามารถปั่นจักรยานผ่านซอกเขาได้ เกิดมาเพิ่งเคยต้องเข็นเพราะลมแรงจนปั่นไม่ได้นี่แหละ ลงเข็นกันทั้งสองคน ตากฝนกันไป หลังจากลากกันไปสักพักผ่านซารุเบ็ตสึที่เป็นแคมป์กราวด์ซึ่งเคยสำรวจเผื่อไว้ ที่นี่ค่อนข้างใหญ่ มีลานจอดรถและร้านค้านิดหน่อย ผมเห็นว่าไม่น่าจะมีอะไร ถ้าแวะหลบเดี๋ยวตัวอุ่นแล้วจะหนาวตอนออกสตาร์ทอีก ก็เลยปั่นผ่านไปไม่ได้แวะ ปรากฎว่าคุณ E ที่นำอยู่เขาแวะหลบฝนที่นี่… พอเห็นผมปั่นผ่านไปไม่จอดก็ต้องตาลีตาเหลือกรีบไล่ตามมา 55
นับจากพ้นเอซานุกะ เนวิเกเตอร์บอกว่าอีก 39 กิโลจะถึงแหลมโซยะ นี่ก็ปั่นมาตั้งนานทำไมไม่ถึงสักที… ไกลจังเว้ย ไถลมขึ้นเขาจนถึงยอดเจอจุดพักรถ ที่มีแต่ลานพักรถอย่างเดียว ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ… ห้องน้ำก็ไม่มี แต่คิดว่าตรงนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวจุดขายของวัคคาไนด้วย (เคยเห็นในโบรชัวร์) เพราะตรงนี้มองไปจะเห็นกังหันลมหลายอันตั้งอยู่กลางเขา สวยงามทีเดียว ตอนนี้คือเหมือนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว จอดจักรยานกันกลางฝน ตั้งจัดมุมถ่ายรูปกันอย่างเป็นธรรมชาติ แถมรูปออกมาสวยด้วยสิ 55
ข้างล่างจะเป็นประมาณนี้ อย่าร่วงลงไปเชียว หลังจากพ้นกังหันลมแล้วก็เป็นลงเขาเสี่ยงตาย พยายามกำเบรคแน่นๆ เพราะถ้ากลิ้งลงข้างทางนี่ 1 อาทิตย์ก็ตามหาศพไม่เจอ พ้นเขาก็เริ่มเข้าเมือง มีบ้านเรือนริมถนนช่วยบังลม ปั่นตามทางไปไม่นานนักก็ถึงเส้นชัยของทริปนี้ แหลมโซยะ! จุดเหนือสุดของแดนอาทิตย์อุทัย แอเรียศักดิ์สิทธิ์แห่งการค้นหาตัวเอง ทาเคโมโตะบันไซ เราทำได้แล้ว!
นึกภาพนะ… ที่แหลมโซยะ ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา ลมพัดกรรโชกราวกับโกรธแค้นศัตรูฆ่าบิดา มีนักปั่นจักรยานสองคนตัวเปียกโซกยืนตากฝนอยู่ริมถนน….
ลมแรงมาก แรงขนาดถ้าจอดจักรยานไว้ ลมจะลากจักรยานข้ามถนนไปอีกฝั่งได้ นี่มันแหลมโซยะหรือยูเรก้าอาเนมอสวะ… มองไปที่อนุเสาวรีย์(มั้ง)ที่อยู่ลิบๆ ก็มีคนถ่ายรูปอยู่นิดหน่อย ที่นี่ช่างเป็นเส้นชัยที่ต่างจากที่จินตนาการไว้มากเหลือเกิน ไอ้อารมณ์ชัยชนะและความรู้สึกสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายมันอยู่ตรงไหนกัน กะว่าจะนั่งฟังเพลง Sora Yori too bashoo e ท่ามกลางบรรยากาศหว่องๆ ก็ไม่ได้ใกล้เคียงเลย แค่เปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์กูยังขี้เกียจเลยเหอะ มองหน้ากันก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกก็เหลือแต่คำตอบเดิมนั่นก็คือ… ราเมง
ที่แหลมโซยะนั้นมีร้านราเมงอยู่หนึ่งร้าน และดูเป็นร้านเดียวที่ยังเปิดอยู่ท่ามกลางสายฝน ชายสองเข้าไปในร้านในสภาพเปียกไปถึงกางเกงใน นั่งที่โต๊ะที่ใกล้ประตูที่สุดเพราะรู้สึกอับอายกับสภาพตัวเอง สั่งราเมงหอยเชลล์มากินกันคนละชาม ระหว่างรอนั้นผมล้วงเอากระเป๋าหยิบเสื้อผ้าที่ดูเปียกน้อยที่สุดแล้วเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ราเมงหอยเชลล์มีหอยเชลล์อยู่ 1 ตัว แต่ตัวใหญ่ น้ำซุปก็อร่อย จากที่กินมาตลอดทาง ราเมงร้านนี้อร่อยที่สุดล่ะ (ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศหรือเปล่า..)
อิ่มท้องแล้ว ออกมายืนนอกร้านสับสนในชีวิตกันต่อ คุณ E ตัดสินไปถ่ายรูปที่แลนด์มาร์ค? อนุเสาวรีย์? อนุสรณ์สถาน? ไอ้เสาสามเหลี่ยมนั่นมันเรียกว่าอะไรวะ… ส่วนผมเข้าไปที่ร้านของฝาก ซื้อพวงกุญแจแหลมโซยะมา 1 อัน (ซึ่งคุณก็สามารถซื้อสิ่งนี้ได้ที่ซัปโปโรเช่นกัน) แล้วก็หยิบเสื้อกันฝนมาด้วยหนึ่งตัว ถึงจะเปียกจนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แต่อีกหลายกิโลกว่าจะถึงวัคคาไน ฝนก็ยังไม่หยุด… ซื้อๆ ไปเหอะ ในร้านของฝากนี่ช่างอบอุ่น อยู่ในนี้ตลอดไปเลยได้มั้ย…
ออกจากร้านขายของฝากฝ่ากระแสลมไปยังห้องน้ำ ใช้ห้องน้ำเป็นที่กันลมแล้วยืนดูเหล่านักท่องเที่ยวที่ต่อคิวกันถ่ายรูปกลางสายฝน มีประมาณ 2-3 กลุ่ม ไปยืนถ่ายท่าโน้นท่านี้ บางคนก็แต่งตัวประหลาดๆ ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ร่าเริงดิ…พวกเอ็งนั่งรถทัวร์มากันนี่เนอะ… เชอะ แล้วก็คิดว่ามาถึงที่นี่แล้วก็ต้องถ่ายรูปความสำเร็จ(?)สักหน่อย พยายามเดินไปใกล้ๆ เสานั่นเพื่อถ่ายรูป พอยกกล้องลมก็แรงจนมือส่ายไปมา (ไม่ได้ล้อเล่น) ไม่สามารถถ่ายรูปดีๆ หรือเท่ๆ ได้เลย ส่วนคุณ E นั้นแอบจัดซีนถ่ายเสร็จไปก่อนแล้ว ผมก็เลย..เอาเหอะ ไปกันต่อเลยละกัน
ออกจากเส้นชัยไปแบบไม่ได้ซาบซึ้งกับความสำเร็จเพื่อไปที่ซุกหัวนอนของวันนี้ที่วัคคาไน นับว่ายังมีโชคในเคราะห์อยู่ ที่ตัดสินใจจองโรงแรมที่วัคคาไนไว้ ไม่เลือกกางเต็นท์ ตอนที่จองคือคิดว่า “เห้ยภารกิจเสร็จสิ้นขอนอนสบายๆ สัก 1 คืน” กลายเป็น “ฝ่าพายุมาสิ้นเรี่ยวแรง ดีเหลือเดินที่มีที่ซุกหัวนอนสบายๆ ไม่ต้องมานั่งกางเต็นท์….”
จากแหลมโซยะไปวัคคาไนนั้นไม่ไกลมาก ราวๆ 20 กิโล ถนนเป็นถนนหลวง กว้าง มีรถสัญจรเยอะ ไม่มีภูเขาแล้ว ข้างทางพอมีบ้านคนบังลมบ้าง ปัญหาเหลือข้อเดียวคือฝนตกหนัก ก็ปั่นๆ ไปสักพัก อ้าวทำไมคุณ E ดูแปลกตาไป จากที่ใส่ถุงก๊อบแก๊บแทนเสื้อ กลายเป็นเสื้อกันฝนสวยงามลายเท่ แวะซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พอไปคุยใกล้ๆ ก็เล่าให้ฟังว่าปั่นๆ อยู่ก็มีรถยนต์คนนึงจอดแล้วเรียก เอาเสื้อกันฝนพลาสติกตัวนี้มาให้เพราะทนสภาพอนาถาของการใส่เสื้อถุงก๊อบแก๊บไม่ไหว ส่วนผมได้เสื้อกันฝนที่ซื้อจากจุดขายของฝากมา ก็ช่วยได้เยอะ อย่างน้อยก็สบายตัวกว่าเดิม
ไม่นานนักเข้าเขตตัวเมืองวัคคาไน ก็ตรงไปหาโรงแรม Grand Hotel Wakkanai ที่จองไว้ทันที โรงแรมใหญ่โตแต่ทางเข้าแอบหายากนิดนึง รีเซ็ปชั่นเห็นสภาพเขาก็เอาผ้าเช็ดตัวมาให้กันคนละผืนทันที โรงแรมให้จอดจักรยานไว้ในหลืบประตูหนีไฟ ห้องอยู่ชั้น 3 สวยหรูดีแต่ว่าค่อนข้างแคบ หลังจากสำรวจข้าวของก็พบว่า…. กระเป๋าเปียกมาก เปียกทุกซอกทุกมุม เสื้อผ้า ถุงเท้า กางเกงใน ไปยันโซ่และอุปกรณ์จักรยาน ตัวฉันกับวันสิ้นโลกเล่ม 6 ที่ติดมาเผื่ออ่านยามว่างก็เปียกเยินปกเละเทะไปหมด… ยังอ่านไม่จบเลยนะเว้ย! ประมาทไปว่ากระเป๋ามันกันน้ำได้นิดหน่อย เลยกะว่าคงมีเสื้อผ้าที่บางส่วนที่ไม่เปียก แต่เจอพายุขนาดนี้ก็จบเห่ เหลือไอ้ที่ไม่เปียกคือเสื้อผ้าใช้แล้วที่อยู่ในถุงพลาสติกอีกที… ส่วนของสำคัญอย่างพาสปอร์ท โทรศัพท์ กล้อง กระเป๋าสตางค์ นั่นใส่ไว้ในกระเป๋ากันน้ำ(แบบกันจริงๆ) ที่ติดหน้ารถไว้จึงปลอดภัย ส่วนสัมภาระคุณ E นั้นปลอดภัยดีเพราะว่ามีพลาสติกสีสะท้อนแสงคลุมเอาไว้
สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากเปียกมาทั้งวันก็คือ..ออนเซ็น! ครับ ออนเซ็นอีกแล้ว สิ่งที่ทริปนี้มีมากกว่าคนอื่นก็คือ ถนน, แคมป์กราวด์, ราเมง และ ออนเซ็น นอกจากห้อง airbnb ที่ซัปโปโรแล้ว การอาบน้ำทั้งหมดจะเป็นอาบที่ออนเซ็นทั้งนั้น (หรือไม่ก็ไม่ได้อาบ…) วันนี้เป็นออนเซ็นของโรงแรม เข้าไปอาบกันตอน 4 โมงเย็น เพิ่งเปิดให้เข้าก็เลยไม่ค่อยมีคน อาบเสร็จกลับมาที่ห้องนั่งคิดว่าจะเอายังไงกับเสื้อผ้าที่เปียกไปหมดทุกตัวนี่ดี
เช็ค google map หาร้านซักผ้าที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรม ก็พบว่ามีห่างออกไปราวๆ 500 เมตร ก็เลยเอาเสื้อผ้าเปียกๆ ทั้งหมดใส่ถุงก๊อบแก๊บของคุณ E แล้วแบกออกไป (ยังเหลืออีกหลายถุง คุ้มมาก ยกเว้นการใช้ห่มนอน) กะว่าจะออกไปหาอะไรกินกันด้วย ฝนตกก็เลยเอาร่มของโรงแรมไป แต่ว่าช่วยอะไรไม่ค่อยได้ เพราะวัคคาไนนี่ลมแรงมาก ร่มพลิกไปมาหลายตลบ
พอถึงร้านซักรีดก็ปรากฎว่า… ซักไม่เป็น ฮ่าๆๆ ร้านเป็นแบบหยอดเหรียญ แต่ว่าไม่รู้กดตรงไหนยังไง พอดีที่ร้านไม่มีคน ก็เลยยืนอ่านวิธีใช้งาน (ภาษาญี่ปุ่น) แบบช้าๆ จนพอจับใจความได้ว่า หยอดเหรียญแล้วเลือก course ที่จะซัก ก็เลือก course ซัก + อบแห้ง สำหรับ 8 กิโล หยอด 800 เยน ผ้าจริงๆ ไม่ถึง 8 กิโลหรอก แต่นี่ต่ำสุดแล้ว หยอดเสร็จกดปุ่มมันก็ปั่นๆ ต้องรอ 45 นาที ระหว่างนั้นก็ออกไปหาอะไรกิน
มีร้านโอโคโนมิยากิอยู่ใกล้ๆ ร้านซักผ้า ก็เลยเข้าไปกินกันเพราะว่าขี้เกียจเดินแล้ว อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ราเมงวะ สั่งมา 3 ชุด หมู ปลาหมึก แล้วก็อะไรอีกอย่างลืมไปแล้ว เขาทอดมาให้เรียบร้อย แต่…ไม่อร่อยเลย… แป้งๆ เค็มๆ เลี่ยนๆ ราดซอส ก็กินๆ ไป อย่างน้อยแป้งเยอะ กินแล้วอิ่มหนำฟื้นพลังงาน ผ้าที่ซักเสร็จก็แห้งสะอาด หอม อุ่น แบบไม่อยากจะเชื่อเลย ในที่สุดก็ใช้งานร้านซักผ้าเป็นแล้ว เลเวลการใช้ชีวิตอัพอีก 1 เลเวล
โอเค…ฟื้นคืนสภาพ อาบน้ำแล้ว กินข้าวแล้ว เสื้อผ้าแห้งแล้ว ก็วางแผนกันว่าพรุ่งนี้จะเอายังไงกันต่อดี กำหนดการคือผมจะนั่งเรือเฟอร์รี่จากวัคคาไนไปเกาะเรบุนแล้วตามด้วยเกาะริชิริ ส่วนคุณ E นั้นจะแยกกัน โดยคุณ E ตั้งใจจะปั่นจักรยานไปซัปโปโรโดยเลียบฝั่งตะวันตกของฮอกไกโดไปเรื่อยๆ ระยะประมาณ 350 กิโล กะว่าจะปั่นใน 1 วัน 1 คืน (นี่คือความสามารถที่แท้จริง…ช่างห่างชั้นกันเหลือเกิน) แต่หลังจากเจอลมนรกของวัคคาไนเข้าไปทำให้เฮียเริ่มเปลี่ยนใจ… จะเจอฝน เจอแดด เจอเนิน ไม่หวั่น แต่เจอลมแบบนี้ไม่ไช่แล้ว… เฮียจึงเปลี่ยนแผนเป็นจองห้อง airbnb แล้วนั่งรถทัวร์ไปซัปโปโร โดยจะปั่นไปเที่ยวโอตารุแทน เมื่อตกลงกันได้ก็จง…รีบนอนเหอะ เหนื่อยเหลือเกินวันนี้…
ก็เป็นอันว่าจานหลักของทริปนี้ มุ่งสู่แหลมโซยะ ก็สำเร็จลงด้วยดี แม้จะเร้าใจเป็นพิเศษในวันสุดท้าย(ฮา) แต่ก็ถึงเส้นชัยครบสามสิบสอง ไม่มีหกล้ม ตะคริวกิน รถพัง หรือแอ็คซิเดนอะไร พรุ่งนี้เช้าตีห้า จะปั่นไปท่าเรือกัน ผมขึ้นเรือรอบหกโมงครึ่ง เฮีย E ขึ้นรถทัวร์ (สถานีติดกัน) แยกย้ายกันไปคนละทาง ผมจะตามไปเจอกันอีกทีที่ซัปโปโร จากตรงนี้ไปจะเป็นโซโลเดี่ยวเที่ยวเกาะกางเต็นท์แบบรินจังสไตล์แล้ว!
ของกินวันที่ 5
- ซาละเปาที่คุจจาโระ 300¥ แพงแถมงั้นๆ มาก
Seico Mart #1
- ข้าวรวมอะไรสักอย่าง 450¥
- พุดดิ้ง 150¥ ยี่ห้อนี้ไม่อร่อย
- ไทยากิครีม 190¥ ก็อร่อยดี
Seico Mart #2
- Newyork Cheese Cake 190¥ มาฮอกไกโดดันกินชีสเค๊กนิวยอร์ค แต่เสือกอร่อยมาก!
- กาแฟดำร้อน 130¥ ร้อนดี! ไม่ได้กิน ยังอยู่ในกระเป๋า!
- ราเมงหอยเชลแห่งวัคคาไน 930¥ ราเมงที่อร่อยที่สุดในทริปนี้ ไม่กล้าฉลองด้วยหอยเม่นเพราะ 3,500 เยน
- พวงกุญแจวัคคาไน 500¥ หาซื้อได้ทุกที่ในฮอกไกโด
- เสื้อกันฝน 650¥ สีขาว คุณภาพดีอยู่
วัคคาไน
- โอโคโนมิยากิ 800¥ (หารกันเหลือเท่านี้)
- ซักผ้า 800¥ ช่วยกันออกแบบควักเศษตังค์
- โรงแรม 8000¥ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
สรุปสถิติจากสนามบินชินจิโตเสะถึงวัคคาไน
เวลา 5 วัน
ระยะทาง 475 กิโลเมตร (โดยประมาณ)
ความชัน 2815 เมตร (โดยประมาณ)
กางเต็นท์ 3 คืน
โรงแรม/เกสต์เฮาส์ 2 คืน
ออนเซ็น 4 ครั้ง
ราเมง 4 มื้อ
ร้านคอนวิเนียน 7-8 ครั้ง
แดดออก 30 นาที
ฝนตก ทุกวัน
สบถว่ากูมาทำอะไรที่นี่ นับครั้งไม่ถ้วน…
อ่านแล้วสมบุกสมบันมาก ยังไงธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์อยู่ดีนะเนี่ย
เป็นทริปที่เปียกตั้งแต่ต้นยันจะจบจริงๆ ^^;
แอบทึ่งตอนที่คุณ E จะตกถนนแต่หักไปอีกทางแล้วปรากฎว่าลมดันจนรถไม่ล้ม เดชะบุญจริงๆ