นานๆ ทีจะมีภาพยนตร์สารคดีแบบนี้เข้ายฉายในเมืองไทยสักครั้ง ตัวหนังค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม คนปกติอาจจะดูไม่เข้าใจ ตัวหนังเองไม่ค่อยมีความบันเทิงเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าตัวเองนี่แหละคือกลุ่มเป้าหมายที่ควรดู แม้ว่าจะไม่เคยลงแข่งทัวร์นาเมนท์กับเขา แต่ยังไงก็ติดตามเหล่าบุคคลที่ปรากฏในหนังมาอย่างต่อเนื่อง รู้จักทุกคนจนเลยไปจากเนื้อหาในหนังอีก
หน้าหนังจะเขียนว่านำแสดงโดย โมโมจิ อุเมะฮาร่า จัสติน ลุฟฟี่ เกมเมอร์บี แต่จริงๆ แล้วหนังโฟกัสไปที่โมโมจิกับอุเมะฮาร่า เปรียบเทียบให้เห็นวิธีคิด จุดยืน การเผชิญหน้ากับปัญหาของทั้งคู่ ตัวตนของอุเมะฮาร่าที่มีต่อโมโมจิ หนังเดินเรื่องด้วยโมโมจิที่ตัดสินใจเป็นโปรเพลเยอร์ มีชีวิตอยู่ด้วยการเล่นเกม โมโมจิมีแฟนสาวชื่อโชโกะซึ่งก็ช่วยเหลือในเส้นทางเดียวกัน โมโมจิเคยขึ้นถึงจุดสูงสุดของวงการเมื่อคว้าแชมป์ Capcom Cup และ EVO แต่เขาเองก็ยังรู้สึกเป็นรองอุเมะฮาร่าอยู่ตลอดเวลา เพราะอุเมะฮาร่าเป็นสตาร์ เป็นดาวที่โดดเด่น มีตำนานมากมาย เรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกแผ้วทางในวงการนี้ก็ว่าได้ โมโมจิแม้จะทุ่มเทฝึกฝนจนฝีมือเหนือกว่าอุเมะฮาร่าได้ แต่ข้างหน้ากลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีคำตอบอะไรแสดงออกมา
อุเมะฮาร่าให้สัมภาษณ์ว่าเขาเองรู้ว่าการเล่มเกมนั้นสังคมไม่ยอมรับ มองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่เขาก็ยังเล่นต่อไปทั้งๆ ที่รู้สึกขัดแย้ง จากที่ติดตามมานาน อุเมะฮาร่ามีจิตสำนึกตอบแทนสังคมสูงมาก หลังจากสร้างตำนานใน EVO Moment 37 เขาเคยเลิกเล่นเกมไปทำงานเพื่อสังคมอยู่พักนึง แต่สุดท้ายก็รู้สึกตัวว่าไม่เหมาะกับเขาจนกลับมาเล่นเกม และเป็นโปรเพลเยอร์ เขาเริ่มรู้สึกดีขึ้นเมื่อพบว่ามีแฟนๆ สนับสนุนเขา ชอบในสิ่งที่เขาทำ และการเล่นเกมของเขาก็เป็นแรงบัลดาลใจให้คนอื่นได้ อุเมะฮาร่าค่อยๆ ยอมรับเองมากขึ้น และมุ่งมั่นจะเล่นเกมเพื่อสนับสนุน Fighting Game Community เขาพูดเสมอว่าเขาเล่นเพื่อ FGC และเล่นเพื่อให้คนดูสนุก จุดนี้เองที่ทำให้แฟนๆ รักเขามาก
ผมรู้อยู่แล้วว่าอุเมะฮาร่านั้นเป็นสัญลักษณ์ของวงการ แต่ก็เพิ่งเห็นชัดเจนในหนังเรื่องนี้ว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ Icon แต่ยังเป็นกำแพงอีกด้วย โปรเพลเยอร์แนวหน้าจะเห็นอุเมะฮาร่าเป็นกำแพงที่ต้องข้ามไปให้ได้ คำพูดของโทคิโดที่ว่า “ขอแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ผมไม่อยากแพ้คุณ” มันมีความลึกซึ้งกว่าที่คิดนัก โมโมจิเองก็เช่นกัน เขาก็เห็นอุเมะฮาร่าเป็นกำแพงที่ไม่มีวันข้ามไปได้ ในหนังยังมีเรื่องของจัสติน เกมเมอร์บี และลุฟฟี่ เสริม แม้จะน่าสนใจแต่ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญ แค่ช่วยเพิ่มมิติและความหลากหลายให้กับเนื้อเรื่อง
ตัวหนังรู้ว่าสถานภาพโมโมจิ(ในหนัง)นั้นถูกบีบคั้นเกินไป ศึก Capcom Cup 2015 อุเมะฮาร่าได้อันดับ 2 และบริจาคเงินทั้งหมดให้มหาวิทยาลัยเพื่อส่งเสริม Fighting Game Community โมโมจิได้อันดับ 17 ไม่ได้แม่แต่จะขึ้นเวที หนังจึงนำเสนอเรื่องราวดีๆ ให้เราเห็นในตอนท้าย โมโมจิกับโชโกะจนทะเบียนสมรสกัน ย้ายห้องใหม่ ทำงานหนักขึ้นและก้าวไปข้างหน้า แต่ในความเป็นจริง หลังจากนั้นโมโมจิก็ได้เผชิญกับคำว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวยิ่งกว่าเดิม พอ Street Fighter 5 ออกมา โมโมจิโดนโปรรุ่นใหม่เบียดจนตกอันดับไปมาก ผลงานค่อนข้างแย่ถ้าเทียบกับในกลุ่ม Top Player ของญี่ปุ่น แต่เขากับโชโกะก็รู้ตัวว่าแค่เล่นเก่งอย่างเดียวมันไม่พอ จึงได้ตั้งกลุ่มที่ชื่อ Shinobism คอยจัดงานอีเวนท์เกียวกับเกม หาสปอนเซอร์ เปิดคลาสสอน จัดมีตติ้ง ทำหลายๆ อย่างส่งเสริม Fighting Game Community ซึ่งผมค่อนข้างประทับใจไม่น้อย ถึงโมโมจิจะดูเครียดๆ ไม่ค่อยเอนเตอร์เทน แต่จริงๆ แฟนๆ ก็ชื่นชอบเขาเยอะอยู่นา
เสียดายว่าหนังจับช่วงปี 2015 ยังไม่ถึงปีทองของ Tokido (ซึ่งปรากฎตัวในหนังนิดหน่อย) ถ้าหนังจับช่วงปี 2017 จะได้เห็นมุมของ Tokido เพิ่มอย่างแน่นอน เพราะปีนั้นเขาโดดเด่นมาก จุดยืนและแนวคิดก็ไม่เหมือนทั้งโมโมจิและอุเมะฮาร่าซะด้วย จากในหนังเรื่องนี้ก็เพิ่งรู้ว่าโมโมจิไม่ได้อยู่แก๊งค์เดียวกับอุเมะฮาร่า เวลาซ้อมจะซ้อมคนเดียว กลุ่มของอุเมะฮาร่าจะเปิดห้องในโตเกียวไว้รวมหัวกันซ้อม เท่าที่รู้ก็มีอุเมะฮาร่า โทคิโด บอนจัง มาโก ฟูโด และน่าจะมีโปรระดับรองๆ อีกหลายคน ในหนังชอบที่บอนจังแซวอุเมะฮาร่าที่กำลังเท้าคางว่าจริงๆ แล้วนี่เขากำลังเขินอยู่นะ เพราะเราไปชมเขามาก โดยปกติไม่ค่อยได้เห็นอุเมะฮาร่าในมุมนี้บ่อยนัก
ผมติดตาม e-sport ก็เฉพาะไฟติ้งเกม ไม่ได้สนพวก Moba ที่มีคนติดตามเยอะกว่าหลายสิบเท่า ก็ไม่รู้ว่าโลกฝั่งนั้นเขาดราม่าอะไรกันมั่ง เท่าที่ฟังผ่านๆ ส่วนมากก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์ในทีมซะเยอะ เพราะเกมเล่นกันเป็นทีม ฝั่งไฟติ้งเกมนี่เล่นกันคนเดียว รุ่งหรือร่วงก็ตรงๆ ไปเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยชอบติดตามผลบอลสโมสรนะ ช่วงที่มูรินโย่ฟาดปากกับเซอร์เอล็กซ์บ่อยๆ รู้สึกมันดราม่าดี แต่หลังๆ ไม่ค่อยได้ตามเท่าไหร่แล้ว เหลือแต่ไฟติ้งเกมนี่แหละ
เขียนไปเขียนมาก็เฉพาะกลุ่มอีกแล้ว 55