Day 3 Onomichi to Imabari
วันนี้ตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพราะนอนตั้งกะยังไม่สามทุ่ม ตื่นมาก็ไม่ได้ทำไร มุดฟูตองเปิดเน็ทบนมือถือดูว่าโลกนี้เป็นอย่างไรไปมั่ง แล้วเลยสังเกตได้ว่าเน็ท Sim to Fly ของ AIS ที่กดเติมเพิ่มวันไปนั้น วันมันไม่ได้ไปเพิ่มวันใช้งาน แต่ไปทับกับวันที่มีอยู่เดิม สรุปกลายเป็นแทบไม่มีประโยชน์อะไร… เดี๋ยวต้องหาวิธีฝากคนซื้อบัตรเติมเงิน 100 นึง ส่งมาให้ด้วย พอตีห้าฟ้าก็สว่างโร่แล้ว เลยออกไปเดินเล่น มันจะมีลานกว้างอยู่ใกล้ๆ มีแมวหลายตัว ให้อุ้มมั่งไม่ให้อุ้มมั่ง ก็ไปนั่งเล่นแถวนั้นสูดอากาศเย็นๆ ให้เต็มปอด อากาศที่นี่เย็นสบายมากจนขี้เกียจทำทุกสิ่ง….
มีแมวอยู่สองตัวในรูป
หมุด(ฝาท่อ)โอโนมิจิ
สายหน่อยก็กลับไปเก็บข้าวเก็บของใส่กระเป๋า ไม่ได้อาบน้ำหรอกนะ ก็ลงไปข้างล่างตอนแปดโมง น้องพนักงานสาวไม่รู้อยู่ไหน เจอแต่พนักงานหนุ่มที่ร้านกาแฟคนเดียว พอจะไปคุยด้วย ทางนั้นรีบตอบกลับเลย I don’t speak english! แต่พอถามไปว่าร้าน อุนาโงะที่จะไปเอาจักรยานเปิดกี่โมงเป็นภาษาอังกฤษ มันก็ตอบได้แฮะ… พนักงานคนนั้นก็ติดต่อไปที่ร้าน แต่ร้านยังไม่เปิด ก็เลยให้พาสเวิร์ดประตูมา บอกว่าไม่รู้เปลี่ยนหรือยังนะ เราก็โอเคเดส เปลี่ยนแล้วเดี๋ยวรอเรียกพนักแทนก็ได้ จากนั้นก็เดินลงไปย่านตลาดข้างล่าง ถึงที่ร้านพาสเวิร์ดกดได้ ไม่มีปัญหา เอาจักรยานออกมาแล้วเตรียมไปชิมานามิกันเลย!
เริ่มจากนั่งเรือข้ามฟากตรงจุดที่ไปนั่งกินสปาเก็ตตี้เมื่อวาน เราหาข้อมูลมาแล้ว(ฮึ) ค่าข้ามฟากมัน 110 เยน ก็เตรียมเหรียญไว้จ่ายเรียบร้อย พอข้ามมาก็ต้องเริ่มจากหาอะไรกินก่อน เพราะข้าวเช้ายังไม่ได้กินเลย ก็แวะร้านคอนวิเนียน (จำไม่ได้แล้วว่าร้านอะไร ร้าน K หรือ Family Mart กันแน่) เนื่องจากติดใจสปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่าเมื่อวาน วันนี้ก็เลยสอยสปาเก็ตตี้นาโปลิตันกับโมจิครีมมากิน นั่งกินหน้าร้านเลย รสชาติไม่ค่อยเข้มข้นแต่เยอะดี ได้พลังงานเยอะ โมจิครีมก็อร่อยแบบสมเป็นขนมๆ ดี ดูนาฬิกาเป็นเวลาประมาณ 9 โมง ก็ออกเดินทาง
ท่าข้ามฟาก
เกาะแรก โมคุจิม่า ยังไม่ค่อยมีอะไร ถนนที่ชิมานามิจะนั้นมีเส้นขาวฟ้านำทางบนถนนตลอด บอกด้วยว่าระยะทางกว่าจะถึงคือเท่าไหร่ ถ้าตามเส้นนี้ไปไม่มีหลงแน่นอน ทางเรียบๆ ริมทะเล ลมเย็น แวะถ่ายรูปส่งไปอวดใน Facebook กับ Line บ้างนิดหน่อยตามประสาคนขี้เห่อ ถนนชิมานามิเรียบมาก คือมันก็ไม่ได้เรียบมากทั้งสายหรอกนะ มันก็มีช่วงปกติอยู่ แต่ช่วงที่เรียบมากๆ นี่แทบจอดเอานิ้วรูดเช็คความเรียบเลย…. เทียบกับไอ้ถนนแถวบ้านแล้วราวกับคนละมิติกิ่งเวลา ปั่นไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นวันธรรมดาแต่ก็เจอนักท่องเที่ยวเป็นระยะ ช่วงนี้จะรู้สึกเก๋ามาก เพราะมีแต่นักท่องเที่ยวขาอ่อน เราปั่นเลียบเคียงด้วยความเอ็นดู แซงได้ชิลๆ แบบผู้เหนือกว่า ปั่นไปเจอทางขึ้นสะพานไปเกาะที่สองที่ชื่อเกาะอินโนบาริ ทางขึ้นสะพานจะเป็นการปั่นขึ้นเนินโค้งๆ วนไปวนมาเพื่อไปให้ถึงสะพานด้านบน ถือว่าค่อนข้างสูงอยู่ แต่เนินจะไม่ค่อยชัน ไปได้เรื่อยๆ เห็นสาวๆ มากันสองปั่นไปหัวเราะคิกคักๆ ไป ทำท่าเหนื่อยหมดแรง เราปั่นเกียร์ต่ำชิลๆ ตาม (จริงๆ คือแกล้งทำเป็นตาม เพราะตามช้าๆ จะได้ไม่เปลืองแรง) พอถึงด้านบนสะพานก็แบบ… สูงและเหนื่อยเอาเรื่องแฮะ มีทั้งหมด 6 สะพาน กุต้องทำแบบอีก 5 ครั้งใช่มั้ยเนี่ย ฮะฮะ…
เส้นสีฟ้าบนถนน
สะพานนี้ไม่ได้ขึ้นไปหรอก
สะพานแรกไปเกาะอินโนะชิม่าจะแตกต่างจากสะพานอื่นทั้งหมดตรงที่เป็นการปั่นใต้ทางด่วน สะพานอื่นจะเป็นปั่นข้างทางด่วน ใต้ทางด่วนนั้นดูอลังการกว่ามาก พอจะถ่ายรูปแต่ก็อ้าว เห้ยทำไมกล้องแบตหมด เมื่อวานเพิ่งชาร์จ สรุปว่าแบตมีปัญหาเพราะไม่ค่อยได้ใช้… (สปอยว่าเป็นเพราะการชาร์จพ่วง พอเสียบพ่วงมันกลายเป็นเอาไฟออกจากกล้องไปใส่โทรศัพท์แทน เวลาชาร์จต้องชาร์จแต่กล้องเพียวๆ ไฟถึงจะเข้า) ดังนั้นขาไปจะมีแต่รูปจากโทรศัพท์ ก็เลยอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่นะ พอปั่นถึงเกาะอินโนะชิม่า(เกาะที่สอง)ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่นักท่องเที่ยวขาอ่อนเริ่มไม่มีล่ะ นักท่องเที่ยวส่วนมากพอพ้นสะพานแรกก็กลับกันหมด เหลือแต่พวกสายแข็ง มาเต็มยศ เสื้อกางเกงรัดติ้ว จักรยานเรี่ยม ไม่มีของติดตัว ปั่นกันเฟี้ยวฟ้าว พอถึงตรงนี้ก็เริ่มโดนแซงล่ะ… ไม่คุ้นถนนก็ไม่กล้าปั่นเร็ว(อ้าง…)เลยโดนแซงเรื่อยๆ จริงๆ ก็พยายามหลบด้วยแหละ นิสัยติดตัวเวลาอยู่เมืองไทยจักรยานจะต้องปล่อยให้ทุกอย่างแซง(…อ้าง)
สะพานข้ามไปเกาะอินโนะชิม่า
บรรยากาศที่นี่หลักๆ ที่เห็นจะมีสองอย่าง หนึ่งคือโรงงานเหล็กพร้อมเครนยกหลายตัว สองคือสวนส้ม ถ้าไม่ใช่เขตตัวเมืองส่วนมากเป็นสองอย่างนี้ เนินตรงเกาะอินโนะชิม่าตรงสวนส้มชันมาก ชันจนต้องลงเข็น (และชันที่สุดในตลอดเส้นทางแล้ว) แต่ดีว่ามันสั้นๆ เข็นพอเป็นพิธี พอถึงเกาะสาม อิคุจิ ซึ่งมีร้าน Dolce Ice Cream ชื่อดัง เช็คข้อมูลมาแล้วดูน่ากิน ร้านน่ารัก หวังจะแวะกินออมเล็ทซะหน่อย พอเข้าไปใกล้ๆ เจอคนเยอะมาก จักรยานจอดเต็ม มีแต่นักปั่น สันดานเกลียดคนเยอะๆ ก็ทำงานทันที ไม่แวะแล้วแม่ง หยิ่ง ปั่นเลยไปเลย….
จุดพักตอนขึ้นสะพานสักอัน
พอถึงสะพานข้ามไปเกาะโอมิชิมะ (เกาะที่สี่) ก็เริ่มร้อนล่ะ เหนื่อยด้วย แต่ก็เพิ่งจะครึ่งทางเอง พยายามไถต่อไป สักพักเจอจุดพักรถ Cyclist Sanctuary ที่ทำป้ายเลี้ยวเข้าโซนของตัวเองเลียนแบบเส้นขาวฟ้าบนถนน ทำเอาหลงทางไปบ้าง แน่นอนว่าคนเยอะเราก็ลีลาไม่แวะอีก แอบไปแวะร้านคอนวิเนียนเหมือนเดิม กินเบอร์เกอร์กับขนมปัง ดื่มน้ำแล้วก็ไปต่อ ปกติทางขึ้นสะพานจะเป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุด แต่พอถึงเกาะที่ 5-6 จะเริ่มเจอทางขึ้นเนินเยอะขึ้น ถนนจะคล้ายๆ ถนนใหญ่ตามต่างจังหวัดเมืองไทย เจอเนินบั่นทอนบ่อยๆ ก็เริ่มจะเริ่มล้า แดดก็ร้อน กระเป๋าที่แบกมาตอนแรกๆ ไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้กลายเป็นถ่วงหนักอย่างกับลากหิน แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาปั่นไปเรื่อยๆ มีพักเติมพลังโค้กนิดหน่อย แต่ดูเหมือนไม่ช่วยอะไร (ที่จริงควรดื่มอย่างอื่นหรือเปล่า?)
Cyclist Sanctuary
อันนี้ไม่มีอะไร ถนนธรรมดาหน้าร้านคอนวิเนียน
ที่เนินยาว เกาะโอชิม่า (เกาะที่ 6) มีช่วงนึงที่เหนื่อยมาก ปั่นตามอีกคันห่างๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวโดนทิ้ง หัวมันตื้อๆ เริ่มฟุ้งซ่านล่ะ กูมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย นี่ขามาสดๆ ยังขนาดนี้ พรุ่งนี้ปั่นกลับกูจะเอาชีวิตรอดยังไงวะ… นั่งเรือข้ามแม่งหมดเลยดีมั้ย ไหนว่าเป็นมิตรกับมือใหม่ มือใหม่พร่อง!! การปั่นจักรยานไปทำงานทุกวันมันก็เหมือนกับการเยี่ยวทุกวันแหละ คนเราเยี่ยวทุกวันก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางกระเพาะปัสสาวะฉันใด ปั่นจักรยานไปทำงานทุกวันก็ไม่ได้กลายเป็นนักปั่นจักรยานมืออาชีพฉันนั้น กุเหนื่อย! วันหยุดควรจะนอนอยู่บ้านสิวะ!! เวลานี้ถ้าเป็นปกติก็คงจะกด Duty Finder A1S ฟาร์มอนิม่าอยู่แน่ๆ…ที่ทำไว้เหลืออีกกี่รูนถึงจะเสร็จวะ?… ระหว่างที่สมองเริ่มเพ้อเจอก็เจอที่จุดนั่งพัก ไม่ไหวละขอนั่งพักก่อน (แน่นอนว่าเก๊กทำเป็นไม่เหนื่อย….) นั่งๆ อยู่ก็มีลุงคนนึง ออกท้วมๆ แต่งชุดนักปั่นเต็มยศ จำได้ว่าเราปั่นแซงไปเมื่อสักพัก พอถึงจุดที่นั่งพักอยู่ ลุงแกพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว วางจักรยานลงกับพื้น (วางเบาๆ ไม่ถึงกะทิ้งโครม) แล้วลุงแกก็มานั่งเก้าอี้ข้างๆ หอบหายใจแรงเหมือนกำลังจะตาย ถอดรองเท้า ถุงเท้า นั่งเงยหน้าหอบ อาการแบบ…หมดทุกอย่างแล้ว ทำเอาผมกังวลว่าลุงแกจะเป็นลมตายอยู่ตรงนี้มั้ยวะ หลังจากดูว่าลุงแกยังไม่ตายแน่ๆ ผมก็จัดท่าจัดทางแล้วออกปั่นจักรยานตัวเองต่อ
แมวภูเขา…
รูปกลางคือแมวที่เจอตะกี้ตอนกำลังเดินหนีไป
สรุปจนถึงตอนนี้มีเพื่อนร่วมเส้นทางที่พอจำได้ดังนี้
– สาวน้อยสองคนขึ้นเนินหัวเราะคิกคักๆ
– ฝรั่งผอมๆ ใส่กางเกงยีนส์ ขี่จักรยานคันเล็กๆ คนนี้เจอตลอดทาง ไม่เคยปั่นแซงแต่น่าจะแซงตอนทางนั้นแวะพัก ก็เลยสลับกันไปสลับกันมา ฝรั่งคนนี้ขึ้นเนินไวมาก โดนแซงตอนขึ้นสะพานตลอด
– พี่อ้วนขึ้นเนินช้า คนนี้อ้วนมาก ตอนขึ้นเนินจะช้า เราปั่นกดดันข้างหลังแล้วรู้สึกว่ากำลังใจเพิ่มขึ้นมาก เพราะอย่างน้อยเราก็เร็วกว่าคนนี้… เป็นกำลังใจให้นะ
– น้องถุงน่องดำ คนนี้ผู้หญิง แบกเป้ใบเล็กๆ ปั่นได้เร็วพอๆ กัน เวลาตามจะไม่หลุด ไปกันเรื่อยๆ รู้สึกอุ่นใจ (ตกลงกรูนี่ระดับเดียวกับผู้หญิงใช่มั้ย…)
– แก๊งลุงจักรยานหรู อันนี้มาเป็นแก๊งค์สูงวัย มีหลายทีม หัวเริ่มหงอกกันทุกคน เตรียมพร้อมมาดี แต่งตัวรัดกุม จักรยานดี(น่าจะเช่า?) ปั่นไม่ค่อยเร็วนัก แต่พอเห็นมาทีละเยอะๆ แล้วเกรงใจ
– ฝรั่งเครามากับเมีย คนนี้สายทัวริ่ง ใส่เสื้อกล้าม กระเป๋าห้อยเต็มจักรยาน ปั่นสวนกันแล้วยิ้มให้อย่างแฮปปี้มาก (วันรุ่งขึ้นก็เจอ เลยจำได้)
– ฝรั่งกับแฟนมาสองคน อันนี้หนุ่มหน่อย จอดจักรยานถ่ายรูปเกะกะ หันมาเห็นเราก็รีบขอโทษ “โกเมนนาไซ” เอ่อ… มันกระอักกระอ่วนยังไงไม่รู้ เอ็งฝรั่งกูก็ไกจิน มึงมาโกเมนนาไซแล้วกูควรจะตอบว่ากระไรดี…
– ลุงเหนื่อย หลังจากถอดถุงเท้าลุงก็อาจจะรีไทร์ไปเลยก็ได้
– สายแข็ง มีเยอะ พวกนี้เจอหนเดียว แซงไปแล้วก็ไม่เจอกันอีกตลอดกาล….
ทะเลมองจากบนสะพานเฉยๆ
ตู้โค้กช่วยชีวิต
ถึงตรงนี้มันก็เกือบจะหมดแล้วล่ะ….ทั้งแรงและเส้นทาง ฮะฮะ… เหลือแต่สะพานสุดท้ายที่ยาวสี่กิโล กับทางขึ้นสุดอลังการที่ใครผ่านก็อดแวะถ่ายรูปไม่ได้ (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท) ดูสังขารตัวเองแล้วก็น่าจะไปได้นะ ติดต่อที่พักไว้ว่าจะไปถึงบ่าย 4 โมง ตอนเห็นสะพานสุดท้ายที่จะข้ามไปอิมาบาริก็ประมาณบ่ายสาม อาจจะถึงโน่นเกินบ่ายสี่ แต่คงเกินไปไม่มากนัก ก็กัดฟันเอาวะ ไปทำให้มันจบ! ปั่นไปก็เริ่มมีอาการใหม่คือปากแห้ง คอแห้ง น้ำในขวดก็หมดแล้วเลยมองหาตู้กดน้ำ (ซึ่งพบได้ตลอดทางอยู่แล้ว) จนถึงจุดพักก่อนขึ้นสะพานก็เจอตู้กดน้ำ พอจะไปหยอดเหรียญกดน้ำก็อนิจจาในกระเป๋าตังมีแต่แบงค์หมื่นเยนกับแบงค์ห้าพันเยนและเศษตัง 68 เยน… กดไม่ได้!! ในแต่ยืนจินตนาการรสชาติน้ำในตู้บรรเทาความกระหาย มองไปมองมาเจอก๊อกน้ำแบบที่กดแล้วน้ำพุ่งขึ้นฟ้า (เคยเห็นป่ะ ในการ์ตูนมีบ่อย) ก็โห ดีใจมาก น้ำก๊อกญี่ปุ่นดื่มได้อยู่แล้ว วิ่งเข้าไปจะเติมใส่ขวด กด กด…น้ำแม่งไม่ไหล!! ยืนรอสักพักมีญี่ปุ่นชะตากรรมเดียวกันคนนึง เดินมากดแล้วน้ำไม่ออกก็บ่นอุบอิบๆ แล้วเดินกลับไปกดน้ำในตู้แทน…กุอยากมีเศษตังมั่งเว้ย!! ก็ไม่รู้ทำไง… ทำอะไรไม่ได้ ไปต่อก็ได้วะ เหลืออีกแค่สะพานเดียว
สะพานสุดท้ายที่ยาวที่สุด
ฝืนเฮือกสุดท้ายปั่นต่อ ตรงนี้จะเจอผู้หญิงคนนึงนำหน้า ปั่นค่อนข้างช้าไม่ทันใจ แล้วแบบกุกระเป๋าหนักไง ขึ้นเนินมันหนัก ช้ามากมันยิ่งเหนื่อย ก็เกิดอาการสด ปั่นแซงขึ้นไปเลย ขึ้นไปถึงข้างบนดีใจมาก จากนี้ไปจะทางเรียบตรงยาวๆ แล้วสินะ พ้นวิบากกรรมแล้ว ปรากฏว่าขึ้นมาสะพานมันสูงไง ลมแม่งต้าน แถมลมทะเลก็โคตรแรง อาการเหมือนปั่นขึ้นเนินเลย…. เหนื่อยมาก แถมยาวมาก เป็นเนินซึมๆ + ลมต้านสองเด้ง น้ำก็หมด ปากก็แห้ง จุดพักก็ไม่มีแล้วเพราะเป็นสะพาน แทบร้องขอชีวิตเลยจ้า…. กัดฟันไปสักพักเจอจุดที่พอจะนั่งได้ ไม่ไหวละ ขอพักก่อน ผู้หญิงที่แซงไปตะกี้ก็ค่อยๆ ปั่นผ่านหน้าไป เราก็ได้แต่ยืนมอง… พักแป๊บนึงนะ
สุดท้ายก็ค่อยๆ ปั่นไปเรื่อยๆ หวังในใจว่าจะได้ชดใช้กรรม (ลงเนิน) เร็วๆ แต่สะพานมันก็ยาวมาก ผ่านจุดถ่ายรูปยอดนิยมก็ไม่ได้แวะถ่ายเลย ไม่มีแรง พอพ้นสะพานถึงทางลงก็ฟ้าวไปฟ้าวมาแป๊บเดียวออกนอกสะพานมาแบบงงๆ ว่า เอ่อ…ตรงไหนควรจะเรียกว่าเส้นชัย ต้องดีใจตอนไหนวะ รู้ตัวอีกทีก็คือเลยเส้นชัยไปแล้ว ปั่นไปอีกนิดก็เจอร้าน K (คอนวิเนียน) แทบน้ำตาไหล รอดแล้วกู ที่ร้านเจอแก๊งค์ฝรั่งมาแบบทัวริ่ง จักรยานจอดหน้าร้าน 4-5 คัน อลังการมาก ไม่ใช่ว่าหรูนะ แต่กระเป๋าพะรุงพะรังทุกคัน มีเต๊นท์ มีอะไรไม่รู้เต็มไปหมด พอเข้าไปในร้านก็หยิบน้ำชามาลิตรนึง แล้วรู้สึกอยากกินอะไรเย็นๆ แบบโค้กใส่น้ำแข็งอะไรแบบนั้น แต่มันไม่มีไง ประเทศนี้ไม่มีน้ำใส่น้ำแข็งขาย ก็เลยหยิบไอติมการิการิมากินแทนแท่งนึง ก็ซดน้ำชาอึกๆๆ หมดไปครึ่งขวดแล้วกินไอติม เห้ย มันกินไม่ไหวว่ะ อธิบายไม่ถูก คืออยากกินแต่กินไม่ไหว ทั้งๆ ที่เป็นแค่ไอติมแท่ง มันไม่อยากจะเคี้ยวไม่อยากจะกลืนลงคอ ยืนกินพะอึดพะอมหน้าร้านอยู่นานสองนานถึงจะหมดแท่ง เป็นการิการิที่กินแล้วเหนื่อยที่สุดในชีวิต…
โอเค ตอนนี้ขาอ่อนอย่างเราก็รอดชีวิตจากชิมานามิมาถึงอิมาบาริแล้ว ตอนนี้ก็สี่โมงเย็น ภารกิจต่อไปคือหาที่พักที่จองไว้ ที่พักจากนี้ไปจะเป็น Air BNB ทั้งหมด (ที่พักแบบเจ้าของบ้านแบ่งแชร์ให้คนเช่า) ที่พักแรกที่นี่ผมเรียกว่ามันว่า บ้านของเวยฟาน เพราะตอนจองเจ้าของบ้านชื่อ Weifan เป็นคนจีน โดยที่พักจะเป็นแบบกดพาสเวิร์ดเอากุญแจ ไม่มีการพบเจอเจ้าของบ้าน (ถ้าไม่จำเป็น) ก็ดูแผนที่ในมือถือแล้วก็ปั่นไปเรื่อยๆ ถึงจะยังเหนื่อยอยู่แต่ได้น้ำ+พักแล้วก็พอไหว ระหว่างทางเจอเด็กประถมเดินกลับบ้าน น่ารักดี…(เปโระเปโระ) แล้วก็เจอร้านฟามิเลสชื่อ Tomato & Onion น่านั่งด้วย ปั่นๆ ไปถึงโซนที่น่าจะใช่ก็พยายามวนหา ไม่เจอแฮะ… ฉิบหาย จะซุกหัวนอนที่ไหนวะ แผนที่ GPS ในมือถือพอซูมเยอะๆ มันก็ไม่ค่อยแม่น วนไปวนมา ค่อยๆ ดูแยกก็เจอในที่สุด มันอยู่ตรงที่ผ่านไปผ่านมาเมื่อกี้นั่นแหละ แต่ประตูมันอยู่ในซอยอีกที ก็กดพาสเวิร์ดได้กุญแจ เอาจักรยานจอดในโรงรถ แล้วก็ขึ้นไปบนที่พักชั้นสองทันที
รูปอิมาบาริ (จริงๆ สองรูปนี้ถ่ายวันรุ่งขึ้น ไม่ได้ถ่ายตอนที่ถึง)
บ้านของเวยฟานนั่นค่อนข้างถูก คืนละประมาณ 1,000 เดียว ห้องนอนกว้างดี แต่สภาพห้องค่อนข้างเก่า ผ้าห่มก็ดูไม่ค่อยอุ่น ข้อดีคือพื้นที่ใช้สอยนอกห้องนอนนั้นเยอะมาก มีห้องน้ำกับห้องอาบน้ำ มีครัวที่มีเครื่องครัวพร้อมทุกอย่าง ตู้เย็น ไมโครเวพ อะไรครบ มีโซนนั่งเล่นรับแขก ชั้นบนดาดฟ้ามีเครื่องซักผ้าพร้อมผงซักฟอก ดาดฟ้ากว้างเตะตะกร้อได้สองวง พร้อมราวตากผ้าอย่างเยอะ ข้างล่างก็มีโรงรถที่จอดจักรยานได้แบบไม่ต้องกลัวหาย ที่สำคัญคือทั้งหมดใช้ได้คนเดียวตามสบาย… ดูๆ แล้วบ้านของเวยฟานนั่นมีห้องพัก 3 ห้อง แต่อีก 2 ห้องไม่มีคน ไม่รู้ว่ายังเปิดให้ใช้งานมั้ยนะ ดู Schedule ก็ไม่ค่อยมีคนมาพักเลย ว่างเกือบทุกวัน สรุปว่าผมใช้งานได้ 3 ชั้นคนเดียวทั้งหมด… ยิ่งกว่าเหมาห้องที่ Miharashi อีก
ห้องธรรมดาๆ แต่ก็ไม่ได้ขาดตกอะไร
มีฮีตเตอร์ แต่ไม่มีแอร์
ครัวดูดีทีเดียว นอกจากโต๊ะกินข้าวก็มียังชุดรับแขกพร้อมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวด้วย
เอาล่ะ ก็เริ่มต้นด้วยชาร์จโทรศัพท์ก่อน ระหว่างนั้นก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าหาวิธีซักผ้า เครื่องซักผ้าคำสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่น…. เลยให้เพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นช่วยบอกว่ากดปุ่มไหน ก็เอาเก้าอีกพับออกมานั่งรอซักผ้าบนดาดฟ้า บรรยากาศหว่องมากขอบอก ลมเย็นๆ เหงาๆ เครื่องซักผ้าปั่นแคร่กๆๆ ไม่รู้ทำอะไรก็เลยเอาโทรศัพท์(ที่ยังชาร์จไม่เต็ม) มานั่งเล่นคุยกับคนโน้นคนนี้ รอสักพักก็เริ่มคิดว่าผ้าแม่งซักนานจังเว้ย อาบน้ำดีกว่า… ก็เลยไปอาบน้ำแช่น้ำอุ่น ไม่เคยแช่น้ำอุ่นมาก่อน ตื่นเต้ลมาก….พอแช่ก็แบบ กุตื่นเต้นทำไมวะ แต่น้ำร้อนๆ ก็ดูจะดีกับขาที่ล้าๆ เหมือนกัน อาบเสร็จก็ค่อยสบายตัวหน่อย ผ้าก็ซักเสร็จแล้ว เอาไปตากบนลานดาดฟ้านั่นแหละ จากนั้นก็ออกไปหาอะไรกิน
ดาดฟ้า เดินไปได้ถึงสุดโน่น
บรรยากาศหว่องๆ
สิ่งนึงที่อยู่ใน ลิสต์ Achievement สิ่งที่ต้องลองทำที่ญี่ปุ่นก็คือการไปนั่งในฟามิเลส (Family Resturant ร้านอาหารครอบครัว) ชิลๆ จดโน่นจดนี่เรื่อยเปื่อย มันเป็นภาพที่เจอในอนิเมหรือการ์ตูนบ่อยมากจนสงสัยว่าจะรู้สึกยังไงนะ มันจะรู้สึกว่ามี Space ส่วนตัวจนชิลไปเรื่อยๆ จริงเหรอ วันนี้ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปกินมื้อเย็นที่ร้าน Tomato & Onion ร้านฟามิเลสชื่อดังร้านนึง ตอนนี้ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ปั่นจักรยานไปประมาณกิโลนึงก็ถึงร้าน เข้าไปนั่งแล้วสั่งเสต็กที่ดูอลังการระดับนึงมากิน พอเขามาเสิร์พก็เอามีดหั่น แล้วก็พบว่า….มือสั่น คือมันล้ามาทั้งวันจนกล้ามเนื้อมันเพี้ยนไปหมด แค่หั่นเสต็กยังลำบากลำบน โครงการจะนั่งจดบันทึกประจำวันที่นี่ก็เป็นอันว่าพับไปดีกว่า แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีบรรยากาศพื้นที่ส่วนตัวจนมีสมาธิน่านั่งอะไรขนาดนั้น ค่อนข้างรำคาญความจอแจด้วยซ้ำ ขนาดโต๊ะข้างหลังเป็น JK สองคนมานั่งทำการบ้านกันด้วยนะเนี่ย กินเสร็จก็เลยรีบๆ กลับดีกว่า
เสต็กมือสั่น
กลับไปถึงห้องก็หาข้อมูลว่าพรุ่งนี้จะนั่งเรือลดระยะทางการปั่นได้ที่ไหน ยังไง เพราะประเมินว่าถ้าพรุ่งนี้ร่างกายฟื้นตัวไม่พอ ให้ปั่นระยะเดิมจะเป็นการเกินกำลังไป แต่จะไม่ปั่นเลยก็เสียดาย เลยใช้วิธีลดระยะจะดีกว่า ให้เพื่อน(คนเดิม)ช่วยดูเรื่องท่าเรือกับเวลา ก็พอจะประเมินได้ล่ะว่าพรุ่งนี้จะออกกี่โมง ท่าเรืออยู่ไหน นั่งเรือไปลงตรงไหน พอวางแผนเรียบร้อยก็นอนดีกว่า ตอนที่นอนนี่รู้สึกได้เลยว่าขามันกร๊อบๆ แกร๊บๆ ไปหมดเลย พรุ่งนี้กูจะรอดมั้ยเนี่ย ฮ่าๆ
สรุปของกินประจำวัน (และเมื่อวาน)
Day 2
– แซนด์วิชหมูทอดสถานี 560¥ ไม่อร่อยเลย แพงด้วย
– สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่าของเซเว่น 460¥ อร่อยมาก! มัน ข้น เหนียวหนุบ ชีสเป็นชีส เส้นเป็นเส้น
– พุดดิ้งเซเว่น 150¥ ก็อร่อยดี
– ราเมงเกี๊ยวซ่าเซ็ต 800¥ ก็อร่อยดี ถ้าได้เครื่องปรุงคงจะอร่อยมาก
– Ilohas น้ำแร่ 120¥ อร่อย
– ชาเย็น 140¥ อร่อยมาก หวาดนิดๆ (แต่เขียนว่าไม่มีน้ำตาล) ชื่นใจ
– น้ำอะไรสักอย่าง 130¥ ลืมแล้วว่าน้ำอะไร
– กาแฟ 140¥ ก็งั้นๆ
Day 3
– นาโปลิตัน 460¥ อร่อยอยู่ แต่สู้คาร์โบนาร่าไม่ได้
– โมจิชีส 160¥ อร่อยแบบขนมๆ
– โค้กเล็ก 130¥ นึกว่าขวดมันจะใหญ่ ที่ไหนได้ตื้นนิดเดียว
– โค้กใหญ่ 160¥ ก็โค้กอ่ะนะ
– ชามุงิ 140¥ ชาบาร์เล่ กลิ่นคล้ายๆ กาแฟ ก็โอเค
– ข้าวปั้น 130¥ ดีกว่าของเซเว่นบ้านเรานิดนึง
– เมลอนปัง 130¥ งั้นๆ
– เบอเกอร์ไก่ 130¥ งั้นๆ
– ชามุงิอีกแล้ว 140¥ หยิบชามั่วๆ เสือกได้ชามุงิอีกรอบ
– การิการิ 100¥ เหมือนของไทย
– น้ำชา 1 ลิตร 140¥ ชามาตรฐาน
– ชามุงิอีก!! 140¥ หยิบมั่วๆ ก็ยังได้ชามุงิอีก!
– แฮมเบอร์กเสต็ก 1,500¥ อร่อยดี
ปล. ราคาส่วนมากจะไม่รวมภาษี
รู้สึกว่ายิ่งเขียนจะยิ่งยาวขึ้นเรื่อยๆ นะ…
แมวอยู่กลางภาพทั้งสองตัวเลย ตัวซ้า่ยดูท้วมดีนะ
ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ Day3 นี่เบิ้ลโค้กสองรอบเลยนะ 555
รอบแรกขวดม้นเตี้ย รู้สึกยังไม่ถึงใจ พอเจอตู้เลยขออีกขวดเต็มๆ