รู้สึกจะมีปัญหาเรื่องตั้งชื่อทริปให้มันเท่ๆ ช่างมันละกัน เขียนเป็นชื่อปกติไปเลยก็ได้
Day 1 to KIX
เริ่มจากบ้านเลย เครื่องออกบ่ายๆ ก็นั่งแท็กซี่ออกจากบ้านแปดโมงครึ่ง แท็กซี่รู้จัก ก็เลยนัดให้มารับที่บ้านเลย แต่รถติดมาก ถึงดอนเมือง 10 โมงกว่า ดอนเมืองฝั่งออกนอกประเทศทัวร์จีนเยอะมาก (เรื่องปกติสินะ) เยอะจนเข็นรถเข็น(ซึ่งมีกล่องจักรยาน)ได้ลำบาก มั่วไปมั่วมาต่อคิวแสกนแล้วก็หลุดไปที่เคาเตอร์สำเร็จ แต่ว่าผิด… โดนมองเบ้แล้วไล่ไปเคาเตอร์อื่น…ขอโทษครับ ทีนี้ก็ไปรอถูกล่ะ สักพักเคาเตอร์ก็เปิด ผมไปด้วย Air Asia X ซื้อน้ำหนักอุปกรณ์กีฬาไว้แล้ว กะว่าสบายๆ ปรากฏว่าจักรยาน+กล่อง+อุปกรณ์ หนักรวมกัน 19 กิโล เกือบเกินโควต้า 20 กิโลเลย
ผ่านเกทไปก็ไปหาอะไรกินรองท้อง ร้านอะไรก็คนเยอะไปหมด สุดท้ายไปสตาร์บัคส์เพราะอยากกินพุดดิ้ง หมดไป 275 บาท(แพง!) แต่ได้กินพุดดิ้งที่คาใจมาหลายวัน… ก็… อร่อยดีงั้นๆ ให้กินอีกก็คงไม่ถึงกับกระตือรือร้น ระหว่างนั่งรอขึ้นเครื่องเจอผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มนั่งเยื้องๆ หน้าตาคล้ายๆ คาวาคามิเซนเซย์ (Persona 5) ทำหน้าตาเหม็นเบื่อ ใส่กางเกงอะไรวะ..คล้ายๆ กางเกงเล พองๆ นั่งชันเข่ากดโทรศัพท์ ประทับใจนางมาก แต่ขึ้นเครื่องแล้วก็ไม่เห็นอีกเลย
ไทม์สกิปหกชั่วโมง ไม่มีอะไรพิเศษ นั่งท่ามกลางชาวต่างชาติ ถึงสนามบินคันไซประมาณเวลา 22.00 พอถึงตม. ไม่ค่อยถามอะไร แต่พอตรงศุลกากรนี่ถามกุจัง มากี่วัน ขนจักรยานมาด้วยเหรอ มาทำอะไร เป็นนักปั่นจักรยานเหรอ มาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เอากล้องมาด้วยเหรอ…. แต่ก็ผ่านมาได้ ไม่ต้องไปเข้าห้องเย็นแต่อย่างไร ออกมาตรงจุดรับกระเป๋าก็เจอกล่องจักรยานวางรออยู่เรียบร้อย ก็เอาขึ้นรถเข็นแล้วเข็นไปหาที่ตั้งหลัก ปรากฏว่าลิฟท์ปิดจ้า ดึกแล้ว… ขึ้นกะไดเลื่อนไม่ได้ด้วย ก็เลยต้องแกะจักรยานออกจากกล่องแล้วแพ็คลงถุงแทน นั่งแกะๆ ถอดๆ ประกอบ มีลุงคนทำความสะอาดมาวนไปวนมานิดหน่อย แพ็คเสร็จก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปหาที่นอนในสนามบิน ยกจักรยานขึ้นบันไดเลื่อนแป๊บเดียว เหี้ย…แม่งหนักฉิบหาย นี่กุต้องแบกอีกนานมั้ยเนี่ย เดินไปนิดเจอรถเข็นนี่แทบจะวิ่งไปกราบ ก็เข็นๆ ไปเจอเบอร์เกอร์คิงกะลอว์สัน หาอะไรกันตายกินที่ลอว์สันแล้วก็ไปนั่งหลับๆ ตื่นๆ ที่ Rest Area จนเช้า
Day 2 to Onomichi
ยังอยู่ในสนามบิน ตื่นมาตอนตีห้าเพราะนอนไม่ค่อยสบาย ก็ล้างหน้าล้างตาแล้วจะไปแลกตั๋ว JR ตอนออกมาข้างนอกพอได้สัมผัสลมหนาว ถึงได้รู้ตัวซะทีว่าตอนนี้กูอยู่เมืองนอกแล้วโว้ย เป็น First Impression ของการเดินทางนี้เลยก็ว่าได้ เพราะก่อนมาที่เมืองไทยร้อนมากกกก ก็ไปแลกตั๋ว JR Kansai Hiroshima ที่ซื้อจากไทยมา 4,100 บาท แล้วหาทางเข้าสถานีรถไฟ เนื่องจากเอารถเข็นไปไม่ได้ก็เลยต้องแบกเหมือนเดิม กว่าจะเอาจักรยานลงไปได้ก็เกือบแย่ ต้องหาท่าถนัดในการยกให้เจอ (ท่าถนัดคือ มือขวาล้วงไปในถุงจับคอจักรยานไว้ มือซ้ายจับสายห้อย อย่าเอาสายพาดบ่า เพราะจะหนักจนเจ็บบ่าแทน) ก็ขึ้นรถไฟจาก สนามบินคันไซไป Shin-Osaka รถว่างดี เลือกที่วางของได้สบาย พอถึงสถานี Shin-Osaka ก็พบว่า…แม่งกว้างมาก มี 20-30 ช่อง ไม่รู้จะไปทางไหนเลย เราแม่งก็โคตรกะเหรี่ยงเข้ากรุง แถมถุงเหี้ยอะไรไม่รู้โคตรใหญ่ คนก็เดินกันตับตับตับ….ก็ค่อยๆ ดู ค่อยๆ หาว่ากุจะไปฟุคุยามะมันต้องทำไง แต่จนด้วยเกล้าจนสุดท้ายก็ถามคุณพี่พนักงานสถานีถึงได้รู้ว่าต้องไปช่องไหนทางไหน พวก App มันบอกเลขรางที่จอดก็จริง แต่มันไม่ได้บอกว่ารางไปทางไหน….
โชคดีว่ายังเช้าอยู่ รถไฟคนไม่เยอะ (ชินคังเซ็นด้วยแหละ) ก็นั่งไปลงที่ฟุคุยามะ ซื้อแซนด์วิชทงคัตสึในสถานีกิน ไม่เห็นอร่อยเลย เย็นๆ ชืดๆ หมูก็เหนียวๆ…. ตอนอยู่บนรถไฟก็คิดๆ เห็นว่ายังเช้าอยู่พอมีเวลา ประกอบกับไม่อยากแบกจักรยานแล้ว กระแทกอะไรพังไปมั่งก็ไม่รู้ ไม่ค่อยสบายใจ (เพิ่งอ่านเจอว่าคนตีนผีหัก กว่าจะหาอะไหล่ได้วุ่นวายมาก) เลยตัดสินใจว่าจะปั่นจากฟุคุยามะไปโอโนมิจิแทนนั่งรถไฟ เดิมทีก็วางแพลนไว้นิดหน่อยว่าอาจจะปั่นไปอยู่แล้วด้วย พอแบกจักรยานออกจากสถานีฟุคุยามะก็เจอปราสาทฟุคุยามะทันที เลยยกข้ามถนนไปหาที่โล่งๆ ลมเย็นๆ ริมปราสาท นั่งประกอบจักรยานแบบไม่ค่อยรีบร้อน ระหว่างประกอบก็เจอคนญี่ปุ่นมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ (เพิ่งรู้ทีหลังว่าฟุคุยามะคริสเตียนเยอะ) ขนาดคุยไม่รู้เรื่องมันก็ยังพยายามจะชวนเราเข้ารีตให้ได้ ไม่ครับ..ผมเป็นคนนอกรีตครับ อย่าพยายามเลย
ชินคังเซนว่างมาก
ประกอบร่างงงงง
ใช้เวลาไม่นานก็ประกอบเสร็จ คุณจักรยานไม่มีอะไรเสียหายเลย ดีใจมาก เป็น Achievement แรกของทริปนี้หลังจากอัดอั้นอุดอู้อยู่อยู่ในเครื่องบิน หลับๆ ตื่นๆ ในสนามบิน หมกในรถไฟ รวมกันเกือบ 24 ชั่วโมง ความลังเล คลางแคลงใจว่านี่กูมาเที่ยวแบบนี้จะไหวมั้ยเนี่ยมันโล่งไปทันทีที่ปั่นแล้วล้อจักรยานมันหมุนได้ ซาบซึ้งใจถ่ายรูปอยู่พักนึงก็แพ็คกระเป๋าเข้ากับท้ายจักรยาน กดน้ำชามาขวดนึงแล้วก็ออกเดินทางมุ่งสู่โอโนมิจิ ตอนนี้ก็ประมาณ 10 โมงครึ่ง จากที่เคยเช็คเส้นทาง ระยะมันจะประมาณ 15 กิโล ตัวเลขนี้สบายมาก ก่อนไปก็เลยวนรอบปราสาทฟุคุยามะเล่นรอบนึงซะเลย
พอออกจากเมืองฟุคุยามะก็เข้าถนนหลัก ถนนประเทศนี้มีเลนจักรยานตลอดทุกเส้น แต่เลนจักรยานจะทำความเร็วไม่ค่อยได้ เพราะต้องใช้ร่วมกับคนมั่ง ถนนไม่เรียบมั่ง หลบไฟแดงมั่ง แต่ก็ขับขี่ได้อย่างสบายใจระดับนึง พอพ้นเขตเมืองไปเจอกับเนินแรก… เนินอะไรวะอ่อนว่ะ ลุย! และผมก็เพิ่งสำนึกได้ว่านั่นเป็นเนินที่ยาวที่สุดตั้งแต่เคยปั่นจักรยานมาในชีวิตนี่หว่า…. มาได้ราวๆ 3/4 ของเนินก็ปั่นต่อไปไม่ไหวแล้ว ต้องลงมาเข็นเอา หอบหายใจแรงมาก ไอ้ที่มั่นๆ มาตลอดทางหายหมดเกลี้ยงในเนินเดียว เนินชันฉิบหาย ชันแบบไม่เกรงใจแรงงานมนุษย์เลย มิน่าแม่งไม่มีจักรยานคันอื่นเลย ที่สำคัญคือมันไม่ได้มาเนินเดียว มันมาเรื่อยๆ…. โดยเนินจะไม่มีความปราณีแฝงอยู่เหมือนเนินในเมืองหรือในชิมานามิที่กำลังจะไป เนินมันจะตรงๆ ชันๆ จบ… ไม่เอี้ยว ไม่หลบ ไม่หมุน ผมเริ่มเรียนรู้ว่าจักรยานมีหลายๆ เกียร์ไว้ทำไม ระหว่างปั่นมีเสียงเลเวลอัพดังในหัวรัวๆ เลเวลการขึ้นเนินอัพเป็น 2 ท่านเรียนรู้สคิล “เกียร์ต่ำ”, เลเวลการขึ้นเนินอัพเป็น 3 ท่านเรียนรู้การใช้สคิล “เกียร์ต่ำกว่า” และ “ยืนปั่น” แต่แดแด๊ดแด่ดแด๊ดแด…. บางเนินนี่ยังไม่ทันได้ลองไถเลย แค่เห็นก็กระโดดลงแล้ว ให้ปั่นขึ้นนี่เราอาจจะไปไม่ถึงโอโนมิจิได้…
ดูรูปไม่รู้หรอกว่าเหนื่อยขนาดไหน…
นอกจากเนินไร้ปราณีในฟุคุยามะ ระหว่างทางก็มีอะไรแปลกๆ อย่างอื่นด้วย เส้นนี้ตลอดทางจะมีอุโมงค์เยอะมาก อุโมงค์ทะลุภูเขา ในอุโมงค์จะมืดๆ น่ากลัว แต่ยังมีเลนจักรยาน (มีข้างเดียวนะ ข้างไปโอโนมิจิ) เข้าๆ ออกๆ อุโมงค์ก็แปลกดี มืดๆ สว่างๆ ไม่เคยเจอ จนถึงเนินสุดท้ายก่อนถึงโอโนมิจิก็หมดปัญญาจะปั่น ลงเข็นตลอดทั้งเนิน(หรือควรจะเรียกภูเขาดี) ขาลงนี่แทบจะบินตกเขา… ตอนเห็นทะเลลิบๆ นี่แบบฮึดมาก ทะเลทะเลทะเล! แล้วเราก็มาถึงโอโนะมิจิในที่สุด จำเวลาตอนออกเดินทางไม่ได้ค่อยได้ น่าจะสิบเอ็ดโมง ถึงประมาณบ่ายโมงครึ่ง สองชั่วโมงครึ่งกับ 15 กิโล… แหม ไม่เป็นไรเนอะ ไหวนะ… อันดับแรกที่เราต้องทำคือไปหาที่พัก ในคืนแรก(ไม่นับสนามบิน)จองที่พักไว้ที่มิฮาราชิเกสต์เฮาส์ บ้านพักบนเขาวิวสวย ดูแผนที่ในมือถือ พอถึงจุดที่คิดว่าต้องเดินขึ้นไปก็ถึงกับตะลึง สูงฉิบหาย ก็จัดการมัดๆ จักรยานไว้กับแผงกั้นถนนแล้วก็เดินขึ้นไป มันจะเป็นทางบันไดเยอะๆ ยาวๆ เลี้ยวไปเลี้ยวมาได้ ดูแปลกตาน่าสนุกแต่ไม่เป็นมิตรกับขา… ขี้นไปสักพักเมื่อยว่ะ กระเป๋าก็หนัก มี ลุงๆ ป้าๆ เดินสวนมา ทำเอาสงสัยว่าลุงๆ ป้าๆ ขึ้นมาได้ไงวะ ดูแผนที่มันก็ 500 เมตรเอง ทำไมไม่ถึงสักที….
ขึ้นไปถึงบ่ายสองโมง พนักงานบอกเช็คอินสามโมงจ้า แต่ฝากของได้นะ ก็เลยฝากไว้แล้วลงไปปั่นจักรยานสำรวจเมืองเล่นและหาอะไรกิน ย่านการค้าในโอโนมิจิเป็นตลาดแบบเก่าๆ มีร้านริมสองข้างทางดูคลาสสิคหน่อยๆ แต่ร้านราเมงมันยังไม่เปิด ราเมงญี่ปุ่นจะเปิดเป็นรอบๆ วนไปวนมาก็สุดท้ายก็จบที่เซเว่น ได้สปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่ามากิน นั่งกินริมทะเล (มันจะเรียกทะเลได้มั้ย มันก็ทะเลนะ แต่เลยไปนิดเดียวมันก็แผ่นดินแล้ว แถมไม่มีชายหาด) มีโต๊ะเก้าอี้ร่มให้นั่งกินสบายๆ สปาเก็ตตี้เซเว่นเยอะมาก แถมอร่อยโคตร ชีสเป็นชีส เส้นเหนียวนุ่ม ปริมาณล้นจาน ต่างจากสปาเก็ตตี้เซเว่นบ้านเราราวฟ้ากับเหว นับตั้งแต่มาญี่ปุ่นนี่เป็นมื้ออาหารที่อร่อยที่สุด อิ่มด้วย! น้ำตาจะไหลเลยทีเดียว
อร่อย!
รูปนี้ฮิปสเตอร์มั้ย!
เอ้อระเหยเสร็จก็ประมาณสี่โมงเย็น ขึ้นไปบนเกสต์เฮาส์ใหม่ เขาให้เช็คอินล่ะ (อายมาก เขาจดชื่อคนจองว่าชื่อ Henderson Elizabeth…) น้องอะไรไม่รู้ลืมชื่อน่ารักอยู่ (เรารู้ว่าจะมีคนถามหา Screenshot เราจึงวาร์ปให้) มาอธิบายเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ในเกสต์เฮาส์ด้วยภาษาอังกฤษ สำเนียงญี่ปุ่นจ๋าแต่คล่องแคล่วทีเดียว ขึ้นไปถึงห้องพัก ไม่มีใครอยู่เลย คุณน้องบอกว่าวันนี้ไม่มีคนอื่นแล้วมีคมบังซังคนเดียว เพราะเพิ่งหมดโกลเด้นวีคที่วุ่นสุดๆ ตอนนี้เลยว่างสุดๆ แทน ก็ดีดิ ห้องใหญ่อยู่คนเดียวสบ๊ายสบาย วิวก็สวย แล้วก็เลยถามเค้าว่า เรามีจักรยานมาด้วย กุแบกขึ้นมาไม่ไหว ตอนนี้ล๊อคอยู่ริมถนน มีที่จอดแนะนำมั้ย คุณน้องก็คิดสักพักแล้วก็หยิบโบรชัวร์ของเกสต์เฮาส์มาอธิบายว่า ที่นี่มีอีกสาขาอยู่ในย่านการค้าข้างล่าง ชื่ออานาโงะโนะเนโดโกะ (จำยากมาก…) ให้เอาจักรยานไปจอดที่นั่นดู ก็โอเค้…แต่ต้องขึ้นลงอีกรอบใช่มั้ย
มุมบังคับถ่ายรูป
แมวระหว่างทาง
อันนี้รู้สึกจะมีในคามิจู! ด้วย
ก็ลงไปอีกรอบ เอาจักรยานไปฝากเสร็จก็เดินๆ ดูตลาด เล่นกับแมวนิดหน่อย แวะร้านราเมง นั่งกินราเมงที่ญี่ปุ่นแต่ร้านดันเปิดเพลงเถียนมีมี่… ตัวราเมงก็โอเคแหละ แต่อยากได้เครื่องปรุงจัง ไม่คุ้นกับการกินราเมงแบบนี้เลย กินเสร็จก็ปีนบันไดกลับไปที่พัก อาบน้ำแล้วก็นอนจดโน่นจดนี่ เล่นอินเตอร์เน็ท หาข้อมูลเพิ่มเตรียมไปชิมานามิพรุ่งนี้ นอนค่อนข้างไว เพราะนาฬิกาในตัวมันเพี้ยนไปหมดแล้ว
ลิบๆ โน่นล่ะที่จะไป
ดีไม่ใช่ ปุ๊กคุ้ง เกอเกอ
คือหนุอ่านแล้วนั่งหัวเราะหนักมาก
ไม่ได้เขียนเรื่องตลกนะ ; ;
รอรีวิวของกิน ขอแซ่บๆ ฮะ
ไม่รู้สึกว่ากินอะไรแซ่บๆ เลยฮะ… ผมไม่ใช่สายนี้ด้วย
คมบังซัง?