เนื่องด้วยเหตุผลสุดแท้แต่มากมายทำให้เกิดอารมณ์อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเค้ามั่ง แต่ยังไม่สามารถหาแรงจูงใจเป็นชิ้นเป็นอันในการเดินทางไปได้เลย ก่อนหน้านี้มีงาน Gallery Madogatari ที่อยากไปดู แต่ก็หมดไปแล้ว อีกเหตุผลที่ดูมีน้ำหนักที่สุดก็คือการไปจับมือกับโยชิดะ แต่ก็ยังไม่มีมากพอให้เดินทางไปอยู่ดี เพื่อนหลายๆ คนไปกราบกันดั้ม ไปเดินโคมิเกะ ไปโตเกียวเกมโชว์ ไปทัวร์แดกของอร่อย หรือไปเที่ยวตามมาตรฐานการไปท่องเที่ยวตามตำราทัวร์ แต่เรื่องพวกนี้ไม่สามารถดึงดูดใจผมได้มากนัก จนกระทั่งมีเพื่อนคนนึง(หรือกลุ่มนึง)ชอบเอาจักรยานไปปั่นทัวร์ริ่งที่ญี่ปุ่นกัน พอคุยด้วยหลายๆ หนก็เลยเริ่มสนใจขึ้นมานิดๆ
ก่อนอื่นก็ต้องท้าวความ แน่นอนว่าผมแต่เดิมก็เป็นคนโลกฝั่งนี้ที่ขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่ค่อยออกกำลังกาย วันๆ ใช้ชีวิตแต่ในร่ม อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่ากีฬาอะไรก็ไม่เคยเล่น! กิจกรรมที่ใช้พลังงานที่สุดคือการเดินไปหาอะไรกินตอนกลางวัน จนกระทั่งราวๆ 2 ปีก่อนที่แถวบ้านเริ่มทำถนน ทำให้รถติดมาก ผมเป็นคนเกลียดรถติดมาก มากที่สุด และมากของมากที่สุด รถติดแต่ละวันทำให้ผมหงุดหงิด เซ็ง เบื่อ เช้าวันไหนรถติดมากๆ จะทำให้ผมเซ็งไปทั้งวัน ทำงานทั้งวันยังไม่เหนื่อยเท่าขับรถกลับบ้านจนบางทีรู้สึกขี้เกียจกลับบ้านด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้วความชอบนั้นมีน้ำหนักน้อยกว่าความเกลียด ความเกลียดรถติดนั้นทำให้ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่ต้องเผชิญกับรถติด
ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ใช่คนชอบปั่นจักรยาน แต่ก็ไม่ได้เกลียดการปั่นจักรยาน ผมเลยตัดสินใจปั่นจักรยานไปทำงานแทนการขับรถ ในช่วงแรกนั้นก็เหนื่อยสัส แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัวไปจนเริ่มชินและพบว่ามันดีกว่าที่คิดมาก ผมเริ่มมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ออกกำลังมากที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้ (วันละเกือบ 2 ชั่วโมง) เพราะปั่นจักรยาน ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแนวทางการแต่งตัวไปด้วย เพราะเสื้อเชิ้ตมันไม่เหมาะ ทำให้เริ่มแต่งตัวหลากหลายกว่าเดิม เพราะว่าใส่หมวกกันน๊อคแล้วร้อน ก็เลยต้องตัดผมสั้น การเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างเริ่มต้นเพราะว่าเกลียดรถติด… และแน่นอน…ปั่นจักรยานมาก เดิมก็ดำอยู่แล้ว ตอนนี้ดำกว่าเดิมอีก!
กลับมาเรื่องญี่ปุ่นต่อ เนื่องจากผมไม่ชอบขับรถ ก็เลยพาลกลัวๆ การขึ้นรถประจำทางหรือรถไฟในญี่ปุ่น การขนจักรยานไปปั่นเองก็เป็นทางเลือกใหม่ไปในตัว ผมใช้วิธีประเมินระยะทางแล้วเทียบกับที่ปั่นทุกวัน ถ้าระยะทางต่ำกว่า 15 กิโลผมจะถือว่าเป็นระยะทำการปกติ บวกกับเพื่อนมันไปปั่นตั้งหลายครั้งก็ดูไม่น่าจะยาก(มั้ง) ก็เลยเริ่มหาข้อมูลเพิ่ม… เอ เราจะไปไหนดี ความรู้แทบจะเป็นศูนย์ ตอนแรกก็เอาอนิเมเป็นแรงจูงใจด้วยการลองหาข้อมูลที่โทยาม่า (แรงบันดาลใจจาก true tears) ก็ดูเป็นเมืองเงียบๆ ดี เส้นทางลำบากนิดนึง ระยะประมาณ 250 กิโลเมตร ถ้าหลายๆ วันก็น่าจะพอไหวมั้ง แต่ก็ยังหาที่อื่นไปพร้อมกันด้วย
จนกระทั่งไอ้เพื่อนคนเดิมที่แหละ พูดถึงหลายครั้งเราควรจะ tag เขาได้แล้วเนอะ กูรูท่านนี้แนะนำ Shimanami Kaido ที่เป็นเส้นทางข้ามเกาะ 6 เกาะ ถนนดีเลิศ ระยะไม่เว่อ (70-80 กิโล) มือใหม่ปั่นได้ และถือเป็นที่สุดที่คนปั่นจักรยานห้ามพลาด ด้วยคีย์เวิร์ด “ถนนดี” และ “มือใหม่ปั่นได้” รวมกับ “ที่สุด” ก็เป็นอีกครั้งที่ผมก็เสียท่านักขายท่านนี้….
ตอนแรกก็หาข้อมูลก่อน มีจักรยานให้เช่า แต่แน่นอน เช่าเอามันไม่ถึงใจ ขนไปเองสิแน่นอนกว่า! อันจักรยานฟูจิคู่ใจคันนี้ (ไม่ได้ตั้งชื่ออะไรเป็นพิเศษ เราควรตั้งชื่ออลังการเช่น ยูนิคอร์น หรือ ไวท์แลนเนอร์ เพื่อความฮึกเหิมหรือเปล่า?) ก็ไม่ใช่จักรยานที่มีราคาอะไร คุณภาพระดับกลางๆ นักปั่นชั้นอ๋องก็ไม่ค่อยเล่นยี่ห้อนี้กันด้วย ครั้งนึงเคยหมดรักขนาดที่ว่าถ้าจอดไว้หายไปก็ไม่เสียใจ แต่หลังจากได้รับการสั่งสอนจากเฮียร้านจักรยานว่า “จักรยานน่ะต้องดูแลนะเว้ย” ก็พบว่ามันยังขี่ได้ดีกว่าที่คิดมาก และไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องเปลืองเงินซื้อคันใหม่ ก็เลยคิดว่าจะเอาคันนี้ไปแหละ
เตรียมตัวอยู่สักพักก็เริ่มรู้สึกล่ะ เชี่ย ขนไปแม่งก็ลำบากจังวุ้ย แต่เดินสายนี้แล้วก็ต้องให้สุด หากระเป๋าเบาๆ หายางเบาๆ มันก็พอไหว(ละมั้ง) จัดคิวสักพักก็ออกมาเป็นทัวร์ชิมานามิสามวัน เกียวโตสองวัน โอซาก้าสองวัน มีช่วงเดินทางทางข้ามจังหวัดคั่นนิดหน่อย ที่อยากไปเกียวโตก็เพราะ Ore Guile ที่พวกฮาจิมันไปทัศนศึกษาที่อาราชิยามะ และก็อยากเอาจักรยานไปจอดหน้าเกียวอนิแล้วถ่ายรูปมาเย้ยแฟนบอยด้วย ตอนหาข้อมูลก็พบว่าเมืองโอโนะมิจิก็เป็นโลเคชั่นของเรื่องคามิจูอีก ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นโอตะทริปไปแล้ว…