567 | An Unbiased Review of FFXV

เล่นจบแล้ว จริงๆ จบตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แต่ยังไม่มีเวลาเขียนซะที งวดนี้จะตั้งใจเขียน อาจจะไม่ฮาเท่าไหร่
Final Fantasy XV เดิมนั้นคือ Final Fantasy Versus หนึ่งใน Title ของ Fabula Nova Crystal ของ Final Fantasy XIII ที่ตั้งใจจะทำเป็นจักรวาลหากิน แต่รถไฟตกรางเนื่องจาก FFXIII โดนด่ากระจุย โปรเจ็คอะไรๆ ก็ไปคนละทิศละทางกันหมด ภาค Versus ที่ไม่เสร็จสักทีจู่ๆ ก็โดนรีแบรนด์กลายเป็น Final Fantasy XV ย้ายจาก PS3 เป็น PS4 เปลี่ยนไดเร็คเตอร์จาก โนมุระ เป็น ทาบาตะ ก็เป็นหนึ่งในโครงการฟื้นฟูแบรนด์ Final Fantasy ที่เสียหายจากคำวิจารณ์ด้านลบจากภาค XIII และ XIV (1.0)
นับตั้งแต่เห็นดีไซน์แรกจนกระทั่งวางขาย บ่น(และด่า)ตั้งแต่วันแรกก็คือในปาร์ตี้มีแต่หนุ่มๆ ใส่ชุดดำ เก๊กกันไปเก๊กกันมา อยากให้มีสาวๆ เพิ่ม แต่จนแล้วจนรอด FFXV ก็ยังคงคอนเซ็ปเดิมคือสี่หนุ่มขับรถเล่นโดยไม่เสียความตั้งใจแม้แต่น้อย ก็นับเป็นสิ่งที่ต้องชมละมั้ง…. เนื้อเรื่องภาคนี้เป็นชีวิตรันทดของเจ้าชายตกอับ พี่สาวคู่หมั้นก็โดนกีดกัน พ่อก็ตาย ประเทศก็โดนยึด สตางค์ก็ไม่มี มีแต่ลูกน้องสามคนกับรถหนึ่งคัน แม้จะไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรแต่พยายามเดินทางไปหาคู่หมั้น พอไปถึงสาวก็โดนแทงตายห่าโดยบรรพบุรุษ ก็เลยจะไปล้างแค้น แต่กลายเป็นว่าโดนคริสตัลดูดหลับไปสิบปีชาร์จพลัง ตื่นมาโลกก็ล่มสลายไปแล้ว ก็เลยไปสู้กับบรรพบุรุษอีกรอบ ก็ตายห่าสูญสิ้นทั้งตระกูลและพลังและแหวน โลกสงบสุข แต่ไปอยู่กับสุดที่รักในปรโลกแทน
เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ? คือมันเยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลย ฮ่าๆ
ผมจะเขียนในมุมว่าคนอ่านเล่นเกมมาแล้วนะ
ณ เวลาที่เขียนนี้ ผมเล่นจบแบบไม่ทำ Side Quest เลย เล่นแบบตรงไปผ่านแต่เนื้อเรื่องล้วนๆ เพราะจากประสบการณ์ไม่เคยเล่น Final Fantasy รอบแรกด้วยวิธีนี้เลย ก็เลยลองดูหน่อยละกัน บอสอะไรก็ยากนิดหน่อย แต่ไม่ได้ยากมาก ใช้เวลาไป 22 ชั่วโมง ถ้าไม่เสียเวลาตรงลีเวียธานกับจับนายพล แล้วก็ Chapter 13 นี่อาจจะจบเร็วกว่า 20 ชั่วโมงได้
ความรู้สึกรวมๆ คือ ก็เป็นเกมที่ดูดี สวยมาก ถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีต มีความคิดสร้างสรรค์และความเป็นไปได้ที่จะเป็นเกมที่ดีสูง แต่กลับไปไม่ถึงจุดนั้นแทบจะทุกอย่าง เนื้อเรื่องไม่ปะติดปะต่อ ระบบการต่อสู้แปลกใหม่แต่กลับไม่ลื่นไหลและสมดุลย์ โอเพนเวิลด์ที่กว้างแต่ไม่มีสาระ ตัวละครที่ดูน่าสนใจกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แทบทุกอย่างเหมือนจะดูดี แต่กลับไปไม่ถึงความคาดหวังที่เกิดขึ้นเลยสักอย่าง

ระบบการต่อสู้
ใน FFXV นั้นออกแบบระบบการต่อสู้ขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยที่ไม่อิงพื้นฐานภาคไหนเลย คล้ายจะเป็น action แต่ก็ไม่เชิง action เกมให้เรากดวงกลมเพื่อเป็น auto attack ท่าต่างๆ จะออกมาเรื่อยๆ ตามลำดับ ถ้าเราปล่อยปุ่มวงกลมก็สามารถเดินไปเดินมาได้ หรือกดสี่เหลี่ยมก็จะเป็นการหลบ ดังนั้นเกมนี้จึงไม่ใช่การกดปุ่มโจมตีรัวๆ แต่เหมือนการกด play ให้การต่อสู้ดำเนินแล้วระหว่างนั้นเราก็สามารถหลบหรือเดินได้ การโจมตีของตัวละครอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่ใจนึก บางครั้งอาจจะฟันไม่ถึง เดินอ้อม หรือทำอะไรบางอย่างที่ไม่ได้อย่างใจ แม้จะน่าหงุดหงิดบ้างแต่สำหรับผม จุดนั้นถือเป็นข้อดีนะ
แต่กลับกัน ด้วยความที่เราทำได้แค่กด play หรือหลบ (หรือปาดาบ) ก็ทำให้ระบบการต่อสู้มันแคบกว่าภาคอื่นๆ เราไม่มีทางเลือกอะไรมากนักในการต่อสู้ ระบบเวทมนตร์ก็แคบมาก (แว้บแรกที่เกมแนะนำเวทมนตร์ ผมถึงกับสบถว่า Spell พ่องสิ บ้านกุเรียกระเบิดมือ) ระบบ Ascension ที่เอาไว้พัฒนาตัวละครก็จืดมาก ไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือเฝ้ารอเลยเวลาอัพเอบิลิตี้ ระหว่างเล่น มุมกล้องแย่มาก และจะกลายเป็นเหี้ยที่สุดทันทีที่เราปาดาบ บ่อยครั้งที่มองไม่เห็นเลยว่าทำอะไรอยู่ มีแต่ใบไม้ (แน่นอนว่าใบไม้สวยมาก ฮา) แม้จะมองไม่เห็นอะไรแต่เราก็ยังกดยังปาดาบไปเรื่อยๆ….

ที่แย่มากอีกอย่างก็คือเพื่อนเราทั้งสามคนนั้นมี AI ที่ห่วยมาก คุณเพื่อนทั้งสามของเราแม่งไม่เคยหลบ AoE เป็น ถ้าเจอห้องแคบๆ นี่ไม่ต้องถามเลย ศัตรูปั่นสองทีแม่งนอนกันหมด โดยเฉพาะพรอมโต้ โดนกอบลินถุยน้ำลายใส่ก็ตายแล้ว เวลาสู้กับบอส 90% ของสถานการณ์คือน๊อคติสโซโล่บอสคนเดียว เพื่อนๆ นอนแดกดินตั้งแต่ต้นจนจบ… การที่สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่เจอบอส มันชวนให้สงสัยว่าเกมต้องการให้เราเล่นอะไรกันแน่

แต่ที่แย่ที่สุดคือการปั๊มยา เนื่องจากระบบการต่อสู้นั้นจูนมาอีหลักเหลื่อ ไม่มีความสมดุลย์ บางที(บ่อย)ก็โดนตบทีเดียวดื้นๆ ระบบต่อสู้จึงถูกครอบไว้ด้วยไอเท็ม ถึงเรา HP เหลือ 0 เราก็ยังกดใช้ไอเท็มใส่ตัวเองได้ แล้วก็จะกลับมาสู้ต่อ โดยมี Penalty คือการลด HP Max ลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเรามีไอเท็มอยู่ เราก็สามารถฟื้นได้อยู่ดี ตราบใดที่เรายังหน้าด้าน เราก็กดไอเท็มแล้วสู้ต่อไปได้เรื่อยๆ (ส่วนสู้เสร็จจะถังแตกมั้ยก็อีกเรื่องนึง) เกมโอเวอร์คือการที่เราทนหน้าด้านต่อไปไม่ไหวจนต้องปล่อยตาย (หรือผลาญไอเท็มไปเยอะเกินจนรับไม่ได้) เกมจึงไม่รู้สึกกดดันเลยเวลาเจอกับตัวอะไรที่เก่งๆ เวลาสู้ไม่ได้จะออกแนวน่ารำคาญมากกว่า สารภาพว่า HP Max ของน๊อคติสระหว่างเล่นแทบไม่เคยเกิน 50% เลย….ซึ่งเค้าก็ยังยังมีชีวิตอยู่ได้ สู้บอสได้ ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายไปได้จนจบ
เนื้อเรื่อง
ส่วนที่คนด่ามากที่สุดก็คงจะเป็นเนื้อเรื่อง ส่วนตัวแล้วผมพอใจกับคอนเซ็ปเรื่องอยู่ แต่สิ่งที่ไม่ดีเลยคือการเล่าเรื่อง เราไม่มีความรู้สึกร่วมกับตัวเอกเลย ความเครียดความกดดัน ความโศกเศร้าอะไรส่งมาไม่ถึงคนเล่น คนเล่นไม่เข้าใจถึงอารมณ์ตัวละครเลย ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ นอกจากบทสนทนาบนรถที่คอยบอกเล่นเรื่องต่างๆ เกมใช้วิธี “แทรกคัทซีน” บอกเล่าเหตุการณ์สำคัญของเนื้อเรื่อง แต่ส่วนมากกลับเกลายป็นการพร่ำเพ้อของพระเอกนางเอกอยู่ดี ทั้งสองคนก็ใส่อารมณ์ ร้องไห้ ซาบซึ้ง กันไป….
การเล่าเรื่องเหมือนหยิบโน่นหยิบนี่มาปะติดปะต่อกัน ไม่มีความต่อเนื่อง เสียเวลาไปกับส่วนที่ไม่ใช้เนื้อเรื่องหลัก (แต่เป็นเนื้อเรื่องหลัก) ใครที่ดู King Glaive มา บอกเลยว่าเนื้อเรื่องใน King Glaive นั้นต่อเนื่องและลื่นไหลกว่า FFXV ทั้งเกมเสียอีก รายละเอียดต่างๆ ในเกมจริงๆ ถูกกำหนดไว้ค่อนข้างละเอียด แต่คนเล่นไม่สามารถรู้หรือสัมผัสได้ผ่านการเล่นเกม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผิดในการเป็นเกม RPG แน่นอน
เลเวล/map ดีไซน์
ในภาคนี้ จุดขายที่ถูกหยิบมาอวดตลอดเวลาคือความเป็น Open World โลกใน FFXV ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจ กว้าง สวย รายละเอียดสูง engine แสดงผลออกมายอดเยี่ยม การนั่งรถชมวิวทำได้สมราคาคุยจริง แต่กระนั้นเลย ไซด์เควสต์ในเกมนี้เนื้อหาว่างเปล่ามาก เดินไปหยิบโน่นให้หน่อย เดินไปฆ่าไอ้นี่ให้หน่อย ไม่มีสาระอะไรเลย ไม่มีเควสต์อลังการต่อเนื่องให้ลุ้นเนื้อเรื่อง มีแต่เดินไปเดินมา ขี่โบะไปขี่โบะมา เควสต์ไม่ได้เปิดกว้างให้เรามีอิสระในการทำมากนัก Object ก็จะซ้ำๆ กันไปหมด ถ้าไม่ได้ World ที่ออกมาสวยคงจะน่าเบื่อกว่านี้หลายเท่า
แต่ผมไม่ค่อยพอใจการออกแบบดันเจี้ยนเท่าไหร่ แม้ว่าบรรยากาศจะดูอึมครึมดี แต่ดันเจี้ยนแต่ละอันไม่มีเอกลักษณ์ ไม่มี Landmark ที่โดดเด่นให้จดจำ อย่างในภาคเก่าๆ เราจะมีภาพฝังใจของดันเจี้ยนบางอัน แต่ในภาคนี้ ทุกสถานที่ดูมึดๆ อึมครึมเหมือนกันไปหมด แต่ผมชอบเมืองอัลทิเชียนะ เมืองสวยมาก แสงเงา บ้านเรือนสวยจริงๆ
ที่แย่อีกอย่างก็คือก็คือ User Interface ในเกม UI เกมนี้ดูเผินๆ จะเท่ เฉียบคม แต่ใช้งานจริงกลับไม่ลื่นไหล มีอะไรโง่ๆ งี่เง่าๆ เยอะไปหมด อย่าง Quest Tracking หรือ Priority ที่ช่วยในการทำเควสต์นั้นห่วยแตกมาก แย่กว่าเกมมือถือสมัยนี้เสียอีก แผนที่ก็ดูเข้าใจยาก เกมที่สนุก ส่วนสำคัญคือ UI ที่ลื่นไหล ให้เราทำอะไรที่อยากทำได้ง่าย ถ้าอะไรมันยุ่งยาก ลำบาก อารมณ์เบื่อมันก็จะคอยคุกคามอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างคือ Map เกมนี้ในดันเจี้ยน แผนที่จะถูกเขียนขึ้นในส่วนที่เราเดินไปแล้ว แต่เกมจะเขียนเฉพาะจุดที่เราเหยียบเท่านั้น บางทีเราต้องวิ่งไปแตะกำแพงที่รู้ว่าไม่มีอะไรอยู่ เพียงเพื่อให้บันทึกในแผนที่ แล้วดันเจี้ยนในเกมนี้ค่อนข้างซับซ้อน(แบบไม่มีสาระ) การเปิดแผนที่ดูเป็นสิ่งจำเป็น แต่พอเปิดขึ้นมากลับดูไม่รู้เรื่องเพราะเกมวาดแผนที่ให้แบบส่งๆ….

Zegnautus Keep
และเหี้ยที่สุดในเกม ขอยกให้กับ Chapter 13 ด่าน Zegnautus Keep ไม่ทราบว่า Developer คิดอย่างไรจึงออกแบบมาเช่นนี้ ต้องการให้คนเล่นจะสนุกกับสิ่งเหล่านี้จริงหรือ ใน Chaper 13 น๊อคติสไม่สามารถใช้อาวุธได้ เพื่อนก็หายหมด แต่จะมีแหวนเมพให้ใช้แทน ซึ่งแหวนเนี่ยในเนื้อเรื่องจะเทพมากๆ พอใช้จริงกลับกากสิ้นดี ท่าดูดวิญญาณให้ตัวผอมลง มีท่าหลบแล้วตบกบาล แล้วก็ท่าดูดมิติ ทีนี้ดันเจี้ยนจะถูกออกแบบมาให้เราหลบซ่อนศัตรู มีหลืบมีซอกให้หลบ แต่มุมกล้องไม่อำนวยและทางเดินแคบมาก คนเล่นก็จะขี้เกียจหลบจนต้องใช้แหวนสู้กับศัตรู ทีนี้เวลาใช้ท่าตบกบาล(AKA Holy) น๊อคติสจะเอี้ยวตัวหลบแล้วตบกบาลเข้าให้ 1 โชะ พร้อมกับซูมกล้องอย่างเท่ ทีนี้มันเบาไง ศัตรู 1 ตัวต้องตบกบาลประมาณ 10 ครั้งถึงจะตาย กล้องก็ซูมเข้าซูมออก 10 ครั้ง ศัตรูมา 4 ตัวก็ 40 ครั้ง ทางเดินก็แสนแคบ (ให้นึกว่าเล่น Bio Hazard) พอตบกบาลไปสัก 100 ทีก็จะเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวล่ะ กูจะอ้วก เราต้องหนีศัตรูหัวซุกหัวซุนเพราะตบกบาลมันไม่ไหวแล้ว ถ้าตบมากกว่านี้ต้องอ้วกแตกคาจอยแน่ๆ แหวนช่างอันตรายจริงๆ Effect บีบคั้นคนเล่นได้ถึงนอกจอ
ด่านนี้จะให้เราวิ่งเอาคีย์การ์ดไปอัพเดทเพิ่มเลเวลไปเรื่อยๆ แล้วฉากมันโคตรจะซ้ำซากเลย วิ่งไปทางยาวๆ ตบหัวศัตรู วิ่งต่อ อัพเดทการ์ด วิ่งกลับ ขึ้นชั้นใหม่ หลงทาง เปิดแผนที่ → ดูไม่รู้เรื่อง (อ่านเหตุผลในย่อหน้าก่อน) ศัตรูมา → ตบหัว → ดูแผนที่ไม่รู้เรื่อง → อ้วกจะแตก ไม่เคยเล่นเกมแล้วเหมือนโดนทรมานกลั่นแกล้งเท่านี้มาก่อน Try Coil of Bahamut Turn 2 ที่เป็นห้องแคบๆ มืดๆ เป็นวันๆ ยังไม่เครียดเท่าดันเจี้ยนนี้ แค้นยิ่งกว่าโดนบังคับเล่น Gears of War ใครออกแบบดันเจี้ยนนี้ ขอสาปแช่งให้ตายอย่างเชื่องช้าและทรมานที่สุด
สำหรับตอนจบของเกม ผมก็ค่อนข้างพอใจอยู่ดีนะ แม้จะเล่าเรื่องข้ามๆ ไปหลายอย่าง แต่ก็ยังชอบสิ่งที่พยายามนำเสนอ การเดินทางด้วยรถไฟ บรรยากาศของรถไฟ กล้าที่จะให้ผ่านไป 10 ปีแล้วโลกล่มสลาย (แต่เสือกไม่ต่อยอดรายละเอียดอะไรเลย) รวมถึงบทสรุปของเรื่อง ถ้าดีไซน์ด่านสุดท้ายให้ดีๆ หน่อยจะดีมาก ไม่ใช่ขึ้นลิฟท์ทีเดียวถึงยอด ให้เป็นค่อยๆ ขึ้นไปทีละชั้น เจอบอส เจอรองบอส เจอป๋าร่างจิตมาร เจอเสด็จปู่อะไรยัดๆเข้าไป บิวด์ให้มันพีคๆ หน่อย บอสใหญ่ไฟท์ไม่ค่อยสนุก ไม่รู้สึกถึงการต่อสู้หรือความเป็น Last Boss เลย

จากภาพรวมทั้งหมด สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ที่สุดคือปัจจัยหลายๆอย่างในเกมรู้สึกได้เลยว่าควรจะดีกว่านี้ ทั้งเนื้อเรื่อง บอส ระบบ อย่างที่บอกไว้ตอนแรก เกมดูมีความเป็นไปได้ที่เป็นเกมที่ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายกลับไปไม่ถึงจุดนั้น เพิ่มไอเดียง่ายๆ แบบ เอาอาราเนียกับอิริสเข้าปาร์ตี้ถาวร เพิ่ม Skill ให้คนละอย่าง, โลก 10 ปีผ่านไปก็ให้เดินไปให้ทั่วได้ ก็เพิ่ม Content ได้มหาศาล, ทำเควสต์สู้กับ The Six ด้วยร่างซุปเปอร์น๊อคติส มีอะไรให้ใส่ลงไปได้อีกมากมาย…(แต่เพื่อนบอกว่าดันเจี้ยน Pitioss เหี้ยมาก(ชม)นะ ผมยังไม่ได้ลอง) แม้เกมพยายามจะอัพเดทหลายๆ อย่างหลังจากวางขาย แต่มันไม่ใช่เรื่องที่คนเล่นจะต้องรอและเป็นสิ่งให้อภัยไม่ได้ Season Pass กำหนดไว้ว่าจะมีเนื้อเรื่องเพื่อนทั้งสามคนและระบบมัลติเพลย์ แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีรายละเอียดอะไรเลย โดยเฉพาะมัลติเพลย์ที่มีลางสังหรณ์ว่าจะต้องห่วยแตกแน่ๆ
เรื่องตลกอีกอย่างคือในไทยมีกระแส Hater จิกแขวะเยอะมาก (และผมก็อาจจะโดนรวมอยู่ในนั้น) เห็นชัดๆ ก็ตามเว็บข่าวที่นำเสนอข่าวด้านลบของเกม แน่นอนว่าเกมมีข้อบกพร่องหลายอย่าง แต่ถ้าลองเล่นดูจะพบว่าเกมนี้ไม่ได้ถูกทำมาอย่างลวกๆ แฟนบอยมักจะมาแก้ตัวว่าเกมทำไม่ทัน เวลาพัฒนาไม่พอ (นับจากที่ทาบาตะมาคุม) แต่การทำไม่ทันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนเล่นจะต้องรับรู้เลย เกมควรจะทำได้ดีกว่านี้แต่กลับทำไม่ได้เองจริงๆ อีกอย่างก็คือในฝั่งต่างประเทศ เสียงตอบรับนั้นดีกว่าที่คิด แม้จะไม่ได้ Hype สุดลิ่ม แต่ไม่ได้ด่ากันเท่าคนไทย ค่อนข้างชมด้วยซ้ำ จุดนี้เองก็ค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว
สรุปสั้นว่า FFXV เป็นเกมที่เกือบดี ดีกว่านี้ได้อีกเยอะ แต่ไปไม่ถึงเอง
แต่ใครที่อยากเล่นก็เล่นได้เลย ไม่เสียดายตังหรอก ไม่ต้องสนที่เขาด่าๆ กัน
ปล. แถม
บังเอิญได้ไปอ่านกระทู้ใน 4ch จากคนที่อ้างว่าเป็นหนึ่งในทีมงานสร้างของภาคนี้และได้ตอบคำถามในกระทู้หลายอย่าง ไม่รู้ว่าเค้าพูดจริงหรือไม่ แต่มีคำตอบนึงน่าสนใจ เขาได้พูดถึงถึงเนื้อเรื่องและคอนเซ็ปคร่าวๆ ของ Final Fantasy Versus ของโนมุระ ใน Versus เกมจะเล่นกับภาพหลอนและความฝัน น๊อคติสจะฆ่านางเอก(สเตลล่า)ไปตั้งแต่ก่อนเกมจะเริ่ม แต่เจ้าตัวกลับจำไม่ได้ อาร์ดินเป็นบรรพบุรุษของน๊อคติสและต้องการจะทำลายคริสตัลไปจากโลก โดยคริสตัลของลูซิสเป็นอันสุดท้าย เรกิสพ่อของน๊อคติสตายเพราะลูกน้องทรยศ ตัวเกมไม่ได้โฟกัสเรื่องมนต์อสูรนักแต่ก็ยังมีอยู่ ราวุสต้องการจะฆ่าน๊อคติสเพื่อล้างแค้นให้น้องสาว เกมจบด้วยการไปสู่โลกหลังความตาย(ตายกันหมด?)
จากเรื่องย่อ จะเห็นได้ว่าแก่นของ Versus นั้นคือ Trailer ที่ชื่อ Final Fantasy XV: Omen เนื้อเรื่องใน Omen ไม่มีใน FFXV หลัก (แต่โผล่มาในฝันนิดนึง) เทรลเลอร์ Omen นี่อาจจะเป็นการแสดงความเคารพต่อ Versus ก็ได้
โดยรวมแล้วหลายๆ อย่างใน Versus ก็ยังอยู่ใน XV โดยแยกย้ายไปตาม Media โน้นนี้ จะต่างกันตรงจุดยืนนางเอกที่กลับตาลปัตรไปเลย ด้วยความที่เคยเล่นเกมของโนมุระมา (Kingdom Hearts และ World End with You) ก็พอจินตนาการอารมณ์ที่โนมุระจะนำเสนอออกมาได้ ความเพ้อๆ มึนๆ ลวงๆ เป็นสิ่งที่โนมุระถนัดอยู่แล้ว เสียใจที่เปลี่ยนไดเร็คเตอร์เหมือนกัน เพราะรู้สึกว่าโนมุระจะต้องเล่าเรื่องแบบที่ไม่รู้เรื่องกว่าแต่ว่าได้อารมณ์มากกว่าแน่นอน
แถม#2

3 thoughts on “567 | An Unbiased Review of FFXV”

  1. ความตั้งใจไปลงกับ End game content เยอะมากกก ลองเล่นดูจะรู้ ซึ่งกว่าจะได้สัมผัสก็ต้องผ่านเควสอะไรไม่รู้เต็มไปหมด (เควสจับกบชวนนึกถึงหา mog ใน 14 ตลอดเวลา)
    ไปอ่านมาเกี่ยวกับ dev ในทีมที่ออกมาให้ข่าวเหมือนกัน จากที่ดูคือเสียเวลาไปกับ content ที่ไม่ได้ใช้ และเนื้อเรื่องที่แก้ตลอด
    ตอนนี้ก็คิดเสมอว่า ถ้ายังอยู่ในมือโนมูระ คุณภาพก็คงดีกว่านี้มาก อย่างน้อยเนื้อเรื่องและคัตซีนก็คงไม่เผาขนาดนี้

    1. ไปอ่านเจอ หลายๆ อย่างที่บ่นถึงก็โดนตัดทิ้งนั่นแหละ
      Q: Tell us what changed. Exactly, in detail, as much as you can remember.
      A: Well, the first stop after Altissia had an (smaller) open world area and you could drive the car alone.
      There was a level leading up to when you encounter the Shiva statue.
      The dark world section of the game featured more enviroments, you encountered each party member in different locations and you could explore part of Lestallum.
      The final boss (which was another Ardyn form) got cut early this year.
      The Tenebrae invasion happened after the protagonist entered the city and you got to explore a very small section of the city and Luna’s chamber.
      Scenes that featured Luna got cut because they were considered to be problematic.
      Cor got written out of the last half of the story since it made no sense for him to show up (he was Noctis companion during the small open area after Altissia).
      เสียเวลาไปกับการทำเดโม คลิปโปรโมท โฆษณา เยอะมากด้วย

    2. เกลียดเควสต์หาของฉิบ นรกกว่ามูเกิลอีก นอกจากหายากแล้วยังกลัวค่ำอีก
      ออกมาถึงจุดเควสต์บ่ายๆจนทุ่มแล้วยังหากบไม่ครบ สุดท้ายต้องเปิดยูทูปดูต่ำแหน่งเอา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *