419 | กินข้าวนอกบ้าน

บอกก่อนเลยว่าผมเองก็ไม่ได้มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์อะไรสักนิดเดียว และก็ไม่ได้มีความรู้ทางด้านจิตวิทยาอะไรเช่นกัน ทุกอยากที่ที่กำลังจะเขียนเป็นข้อสันนิษฐานที่คิดเล่นๆเท่านั้น ถ้าใครมีอะไรจะชี้ช่อง ชี้แจงก็เชิญได้เลย
E419-light
เริ่มต้นจาก ใครที่อยู่กทม.น่าจะรู้สึกแบบผมว่าตอนนี้ร้านอาหารระดับ กลาง-สูง เปิดใหม่เยอะมาก ร้านแบบที่มีแบรนด์หน่อย ตั้งในห้างสรรพสินค้าหรือห้างขนาดเล็ก(มันเรียกอะไรหว่า อย่าง T21 หรือ The Nine อะไรแบบนี้)ส่วนมากจะเป็นอาหารญี่ปุ่น ปิ้ง ย่าง หรือบุฟเฟท์ที่สามารถกินกันได้หลายๆคน ไปกับครอบครัวได้ ราคาก็จะแพงนิดหน่อยจนถึงแพงมาก กินปกติๆราคาน่าจะราวๆ 300+ ต่อหัว สิ่งที่ผมเอะใจก็คือมันเปิดใหม่เยอะมาก แทบจะชนกันตาย ห้างทุกห้างต้องมีโซนแบบนี้เพิ่มมา บางห้างถึงกับมีแต่โซนแบบนี้ด้วยซ้ำ ผมสงสัยมากว่าทำไมถึงเปิดกันมากมายขนาดนี้ คนกทม.เยอะขึ้น? ชนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้น? มีการให้ความสำคัญกับการทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น? ทุกข้อที่ยกมาน่าจะถูกทุกข้อ แต่ถามว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ผมมีประเด็นน่าสนใจที่คิดขึ้นมาเองอย่างนึง
แน่นอนว่าคิดเอาเอง ไม่มีอะไรรับรองทั้งนั้น ผมคิดว่าตอนนี้ชนชั้นกลาง(ผมขออนุมานพูดถึงชนชั้นกลางเป็นหลักนะ)ให้ความสำคัญกับการทานอาหารในร้านมากขึ้น ยอมจ่ายมากขึ้นที่เพื่อจะกินอะไรที่ดีขึ้น คุณภาพที่ดีขึ้น บรรยากาศที่ดีขึ้น เพราะให้มองว่าการกินอาหารนอกบ้านเป็นการผ่อนคลายรูปแบบนึง นั่นสินะ ไอ้เรื่องแบบนี้ใครๆก็รู้ ไม่เห็นต้องให้ผมมาบอกเลย ประเด็นอยู่ที่ว่า “รูปแบบการผ่อนคลายของชนชั้นกลาง” ต่างหาก ตอนนี้ชนชั้นกลางลดการให้ความสำคัญกับทรัพทย์สินทางปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ เช่นสินค้าประเภทภาพยนตร์ต่างๆ เพลง หนังสือ หรือของสะสมที่มีพื้นฐานทางศิลปะ พูดให้ถูกคือให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้อยู่ (หนัง เพลง หนังสือ) แต่เป็นการให้ความสำคัญแต่เปลือกนอกโดยไม่มีน้ำหนักพอจนยอมจ่ายเงินให้ อย่างภาพยนตร์ต่างๆก็ให้ความสำคัญของภาพที่ชัดจนยอมซื้อจอแพงๆ แต่กลับไม่คิดจะซื้อแผ่นแต่ใช้วิธีดาวน์โหลดมาดูแทน ติดเครื่องเสียงราคาแพงๆเป็นหมื่นเป็นแสน แต่กลับฟัง MP3 ที่ดาวน์โหลดมา หรือยกตัวอย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ คนจำนวนมาก ที่ยินยอมซื้อโทรศัพท์มือถือราคามากกว่า 20,000 บาท แต่กลับไม่ยอมเสียค่า app แม้แต่สลึงเดียว ซื้อ Tablet ราคาหมื่นสองหมื่น แต่กลับไม่ยอมเสียค่าเกมที่จะเอามาลง ซื้อ iPad มาก็คิดจะอ่าน eBook แต่ไม่เคยคิดจะซื้อ eBook และโหลดการ์ตูนฟรีจากเว็บ
พูดง่ายๆคือชนชั้นกลางให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมมากกว่าเนื้อหาที่สามารถก๊อปปี้ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ขับเคลื่อนและสร้างความบันเทิงให้กับเขาเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ แต่เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ต่างหาก เราฟังเพลงเราดูหนังเราเล่นเกม แต่เราไม่สามารถจับต้องสิ่งเหล่านั้นได้เพราะมันอยู่ในรูปแบบดิจิตอล ที่สำคัญคือมันสามารถที่จะ “หลีกเลี่ยงไม่ต้องจ่ายเงิน” ได้ (ประเด็นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเรื่องน่าเบื่อทุกครั้งที่พูดถึง ดังนั้นจึงละไว้เพราะไม่ใช่ประเด็น) โปรดสังเกตว่าไม่ได้ละทิ้งความบันเทิงประเภทนี้นะ ยังต้องการอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าไม่ต้องเสียเงินได้ก็จะเลือกไม่เสียเงิน และปัจจัยอีกอันที่น่าสนใจก็คือคนจะยอมจ่ายเงินถ้าสิ่งเหล่านั้น “โอ้อวด” ได้ อย่างโทรศัพท์นี่คงไม่ต้องถามว่าทำไมต้องโอ้อวด รถยนต์ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ยืนยันถึงความเป็นชนชั้นกลาง เครื่องเสียงในรถราคาแพงที่เวลาเปิดจะต้องเปิดกระจกด้วย และตอนนี้มันก็ลามไปถึงอาหารแล้ว ทุกครั้งหลังสั่งอาหาร อย่าลืมถ่ายรูปอัพขึ้นเฟซบุ๊คนะจ๊ะ
กลับมาเรื่องร้านอาหารหน่อย ในเมื่อชนชั้นกลางผู้ถือ iPhone เดินห้างและจูงลูกที่ก้มหน้าก้มตาเล่น iPad ต่างไม่ยินยอมที่จะเสียเงินให้กับ digital content แม้เพียงเศษเสี้ยวแล้ว เงินที่พวกเขาเหลือจะไปลงที่ไหนกัน เงินส่วนนี้ก็จะนำไปเพิ่มให้กับความบันเทิงประเภทอื่นที่คุ้มค่า ลอกเลียนไม่ได้ เข้ากับไลฟ์สไตล์ และสามารถโอ้อวดได้นั่นเอง เช่นรถยนต์ เสื้อผ้า(แต่ผมไม่เห็นว่าเสื้อผ้ามันขายดีขึ้นเลยนะ) ซึ่งหวยมันก็ออกกับร้านอาหารนี่ด้วย คุ้มค่าเพราะใช้วัตถุดิบแพงๆ (แต่พ่อครัวกากๆ ก็ไม่เป็นไร) ลอกเลียนไม่ได้เพราะคงไม่มีปลาแซลมอนปลอม และยังสามารถเอา iPad iPhone ในมือถ่ายแล้วอัพเข้าเฟซบุ๊คอวดเพื่อนๆใน Social ได้ว่ากูนั้นไปแดกร้านแพงๆ อร่อยเลิศล้ำมาแล้ว ในเมื่อครบทุกข้อตามความต้องการของชนชั้นกลาง ธุรกิจร้านอาหารติดแบรนด์จึงขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนที่ไปกินร้านอาหารแพงๆจะต้องทำเพื่อโอ้อวดทุกคน บางคนอาจะชอบ บางคนอาจจะมีเงิน มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือที่ร้านอาหารมันเปิดเยอะขึ้นเพราะคนให้ความสำคัญกับร้านอาหารมากขึ้น และในเมื่อมีส่วนที่เพิ่มมันก็ต้องมีส่วนที่ลด ชนชั้นกลางให้ความสำคัญการกินอาหารนอกบ้านมากขึ้นก็เบียดเบียนส่งผลให้ลดการให้ความสำคัญกับความบันเทิงประเภทอื่นลงเช่นกัน อย่างเช่นสมัยก่อนแบ่งการใช้งบสิ้นเปลืองเป็น กินข้าวนอกบ้าน 50% งบอื่นๆ 50% แต่ตอนนี้กินข้าวนอกบ้านเพิ่มเป็น 65% และงบอื่นๆอาจจะเหลือ 35% ไปแล้ว ลองดูว่ารายจ่ายของตัวเองอะไรมันเพิ่มขึ้น อะไรมันลดลง ตัวเลขมันไม่เคยโกหกอยู่แล้ว บอกตรงๆนะ เวลาไปกินร้านที่แพงสักหน่อย ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันอร่อยอะไรเป็นพิเศษเลย อาจจะมีดีบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากมาบ่อยๆ เลย
อย่างที่บอกว่าไอ้สมมติฐานที่เขียนมาเนี่ย ผมไม่มีการวิจัย แบบสอบถาม สุ่มตัวอย่าง สถิติอะไรวัดทั้งนั้น มโนเอาเองทั้งสิ้น และไม่ได้บอกว่าธุรกิจร้านอาหารเป็นภัยร้ายคุกคามอย่างไร ธุรกิจร้านอาหารก็มีข้อดีของมัน การไปกินข้าวร้านอาหารกับครอบครัวกับแฟนกับเพื่อนมันก็มีข้อดีของมัน แต่ตอนนี้วงการบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญามันล้มหายตายจากไปนักต่อนักแล้ว ช่วยหันมามองกันหน่อยก็ดี

9 thoughts on “419 | กินข้าวนอกบ้าน”

  1. เรื่องอวดทรัพย์สิน ผมว่ามีส่วน แต่คงไม่ทั้งหมดนะ ถ้าจะกล่าวว่าทำไมไม่ซื้อ…
    ผมว่าสำคัญสุด คือ “ของสิ่งนั้น มีค่าสำหรับเค้า” หรือเปล่าเท่านั้นเอง อย่างอาจจะมีคนที่ยอมซื้อป้ายสวะ ราคา 7k ถึงจะถูกคนทั้งโลกรุมด่าว่าโง่ก็ตาม (มันมีค่าสำหรับเค้า)
    ทีนี้ เพราะอะไร สิ้นค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาถึงถูกละเมิด สำหรับผม ก็เพราะพวกเค้าไม่เห็นค่าของสินค้าที่สามารถขโมยใช้ได้ไง แล้วทำไมถึงขโมย(หรือไม่คิดว่าตัวเองขโมย) อันนี้มีข่าวให้เห็นบ่อยๆ เช่น รถบรรทุกน้ำมัน, ปลา ฯลฯ คว่ำ พี่แกพากันไปโกย น้ำท่วมแทบจะฆ่ากันแย่งของบริจาก ขโมยของยังชีพ บลาๆๆ

    1. เรื่องมีค่าสำหรับเขามั้ย อันนั้นก็เรื่องปกติครับ คนเรามีรายจ่ายไร้สาระ
      ส่วนตัวที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ของไร้สาระของคนอื่นอาจจะมีค่าสำหรับผมก็ได้
      แต่ประเด็นนี้ออกจะเป็นส่วนน้อยมากกว่า มันประเมินภาพรวมยาก
      ชอบที่ว่า “ไม่คิดว่าตัวเองผิด” น่าสนใจดี แถมยังแอบน่ากลัวชอบกล
      จริงๆไม่ใช่ไม่เห็นค่านะ คนที่ละเมิดทุกคนเห็นค่าเสมอ พวกเขาเข้าใจในคุณค่าของมันดี
      พวกนี้ชอบฟังเพลง ชอบดูหนัง ชอบเล่นเกม แต่กลับไม่ยอมจ่ายเงินต่างหาก
      พอไม่จ่ายระบบมันก็ไม่หมุน วงการมันก็เลยไม่เกิด หลายอย่างในเมืองไทย
      ที่มันตัน ที่มันไม่เกิด และที่มันดับ ก็เกิดจากการไม่หมุนนี่หล่ะ
      ทีนี้ทำไมถึงไม่จ่าย? ก็เพราะว่าไม่จ่ายมันก็สามารถบริโภคคอนเทนท์
      ได้เท่าเทียมกับคนที่จ่ายไง ทีนี้ก็เกิดการเปรียบเทียบ เกทับ บลาๆๆๆ
      ประเด็นนี้ยาวอ่ะ โคตรขี้เกียจเขียน ที่อยากเขียนถืงคือ ในเมื่อไม่ยอมจ่ายทางนี้
      แล้วเงินหมุนไปทางไหนมากกว่า

      1. ถ้าประเด็นคือเงินหมุนไปทางไหน
        ก็คงไปหาสิ่งบันเทิงอื่นที่ไม่สามารถขโมยได้แหละครับ
        แต่เรื่องร้านอาหารเปิดเยอะที่เขียนถึงเนี้ย น่าจะไม่เกี่ยวเต็มที่นัก…
        เพราะถ้าจะเอาเงินไปลงทุนอะไรสักอย่าง การเปิดร้านอาหาร คืนทุนเร็วที่สุดแล้วครับ (ความเสี่ยงน้อยกว่าเล่นหุ้นซะอีก) ส่วนพวกเสื้อผ้าถึงจะกำไรต่อชิ้นสูง (100-200%) แต่ตัวแปรเยอะกว่าเสี่ยงกว่า ในขณะที่อาหาร แค่วัตถุดิบดี สะอาด ไม่ต้องจ้างพ่อครัวเก่งๆ ก็กำไรเละได้ (เมิงไปย่าง ไปต้มเอาเอง)
        แต่พอเยอะไปเดี๋ยวก็พากันเจ๊งเองล่ะครับ (ถ้าเงินฝืดเมื่อไหร่ ปัจจัยฟุ่มเฟือยที่จะโดนตัดทิ้งอันดับแรกคือการกินหรูเนี้ยแหละครับ)

        1. จะว่าไปธุรกิจร้านอาหารมันก็เป็นธุรกิจพื้นฐานอยู่แล้วนี่นะ
          มาเร็วเคลมเร็ว แป๊บเดียวรวย แป๊บเดียวเจ๊ง

  2. ทำไมผมคิดได้แค่ว่า (วัตถุนิยม) เท่านั้นเองนะ…

  3. ผมว่าตอนนี้มันก็ฟองสบู่อยู่นะ คือคนมีกำลังใช้สอยมาก แต่จริงๆ แล้วไม่มี
    ผมไม่อยู่ไทยเลยไม่แน่ใจอะไรมาก
    แต่เห็นมีอะไรที่ดูท่าทางฟุ่มเฟือยแบบได้ยินแล้ว เฮ้ยมิงเอาจริงเหรอ เยอะมาก
    ตัวอย่างก็เช่นไอ้โครงการรถคันแรกอะไรนั่น เป็นโครงการที่ฟังดูน่ากลัวมาก
    ประมาณว่าตอนนี้คนไทยรู้สึกว่า กรูมีตัง ก็เลยใช้ฟุ่มเฟือยกันมากๆ การกินหรูเลยเป็นเรื่องปกติไป แล้วพอมี demand ก็มี supply ตามมา
    แต่ดูสถานการณ์ไปแล้วก็เหมือนประคับประคองฟองสบู่ก้อนนี้กันได้อยู่เรื่อยๆนะ
    ถ้ามีอะไรซักอย่างมากระตุ้นซักทีก็คงเละกันถ้วนหน้า

  4. เรื่องซอฟแวร์ โปรแกรม หนังแผ่น ทั้งหลายนี่คิดว่าไม่เกี่ยวกับชนชั้นกลางหรอก มันก็แค่คนไทยหลายๆคนไม่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญา
    คนรู้จักบางคนรวยก็จริงแต่ก็ไม่คิดจะซื้อหนังแท้ โปรแกรมแท้เลย บางทีเราซื้อแท้ยังโดนด่ากลายๆว่าจะซื้อไปทำไมแท้ ก็อปก็ดูได้เหมือนกัน เปลืองเงิน

  5. คิดว่าตอนนี้ชนชั้นกลางกำลังซื้อสูงขึ้นนะ ทั้งสูงขึ้นจริงๆ
    และให้ความสำคัญกับการกินข้านในร้านอาหารมากขึ้นด้วย
    เจอเยอะนะ รวย ใช้ของหรู แต่ไม่ถ้าพวกหนังพวกเพลงสักบาทก็ไม่กระเด็น
    หนำซ้ำเห็นคนอื่นซื้อยังออกอาการดูถูกแถม

  6. ตังค์ออก เพิ่งพาลูกน้องไปทานข้าวมา
    พาเข้าเอ็มเค จ่ายหัวละหลายร้อยอยู่ ;;
    เรื่องของเรื่องคือ ผมไม่มีความรู้เรื่องโปรฯ รายการอาหารร้านอาหารแบบนี้เลย พวกลูกน้องรู้หมด แม้กระทั่งรสชาต แถมหลุดว่ากินทุกอาทิตย์… นึกในใจว่า มันเบิกเงินกลางเดือน + กู้ ( ให้ตรูเซ็นรับรองให้ด้วย ) ลูกน้องกินหรูกว่าตูอีก ;-;

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *