กิจกรรมของผมที่ทำเป็นประจำเกือบทุกวันก็คือการเดินไปร้านเช่าหนังสือ ร้านเช่าหนังสือร้านนี้ผมเกือบทำสถิติเช่าติดต่อกันไม่เว้นติดต่อกันปีครึ่งได้ แต่บังเอิญว่ามีวันนึงผมเอาหนังสือไปคืนแล้วไม่สามารถเช่าต่อได้ เพราะไฟดับทำให้คอมพิวเตอร์ที่ใช้บันทึกเปิดไม่ได้ ผมก็เลยเสียสถิติเช่าติดต่อกันไปในที่สุด ติดต่อกันนี่คือเช่าไม่เว้น รวมวันที่ไม่ได้แวะไปแต่ก็ยังเก็บหนังสือไว้ไม่คืนจนโดนปรับ นับง่ายๆก็คือทุกครั้งที่เอาไปคืนจะต้องมีเล่มใหม่ติดมือมาด้วย ผมโดนปรับค่อนข้างบ่อยด้วยหลายๆเหตุผล บางครั้งถ้ามีธุระไม่ว่างจริงๆ ก็จะตั้งใจไม่คืนและยอมเสียค่าปรับไปเลย หรือกรณีอื่นก็ลืมบ้าง ทิ้งไว้ในส้วมบ้าง วางไว้ไหนไม่รู้บ้าง ที่เลวร้ายที่สุดคือทำหล่นไว้ในรถแล้วขี้เกียจไปหยิบ เลยยอมเสียค่าปรับแล้วไปคืนวันถัดไปแทน
เกือบทุกวันผมจะจอดรถหลังตลาดใหม่ ตลาดใหม่เนี่ยชื่อก็บอกว่าตลาดใหม่ แสดงว่ามันต้องมีตลาดเก่าสินะ ใช่ครับ มันมีตลาดเก่าด้วย และตลาดเก่านั้นได้รับความนิยมล้นหลาม ตลาดใหม่ทำยังไงก็ไม่สามารถดึงคนมาได้เลย ทำให้เงียบเหงามาก ซึ่งมันก็ถูกใจผมที่ชอบคนน้อยๆอยู่แล้ว ทุกวันตอนเย็นถ้าผมไม่กลับดึกมาก ผมจะจอดรถที่หลังตลาดใหม่ ซึ่งมีที่จอดรถมากมายเพราะมันไม่มีคน แล้วก็เดินไปเรื่อยผ่านร้านขายน้ำปั่น ร้านขายข้าว ร้านขายหนังสือ ร้านสัตวแพทย์ เซเว่นอีเลเว่น ธนาคาร(แต่มืดแล้วมันก็ปิดหมด) เรื่อย เรื่อยจนไปถึงร้านหนังสือที่เพื่อนผมทำงานอยู่ ผมเคยลองนับก้าวเดินดูก็ประมาณ 500 ก้าว นับเส้นทางจริงก็ราวๆ 300-400 เมตร ไปกลับก็ 700 เมตรได้ เมื่อก่อนผมเช่าอีกร้านนึงใกล้กว่า แต่มันปิดไว สองทุ่มครึ่ง สามทุ่ม นี่ปิดแล้วบางทีไปไม่ทัน พอมาเจอเพื่อนมันทำอีกร้าน แถมมันปิดสี่ทุ่ม ผมก็เลยบ๊ายบายร้านเก่า มาเช่าร้านเพื่อนแทน ไม่ได้มีส่วนลดอะไรแต่อย่างไร แต่หนังสือมันเยอะกว่า แถมเพื่อนกันคุยกันรู้เรื่อง ถ้าวันไหนกลับดึกมากๆผมก็จะไปจอดรถหน้าร้านเช่าหนังสือเลย ไม่ต้องเดิน แต่ไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่ เพราะอยากเดินผ่านแผงหนังสือด้วยแล้วก็หน้าร้านเช่าไม่ค่อยมีที่ว่างจอดด้วย
ผมเดินอย่างนี้เป็นประจำแทบทุกวัน ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่แถวนั้นไปเรื่อย เช่นเวลาตลาดใหม่พยายามดึงคนก็จะเอาตลาดนัดมาลง แต่คนก็มากระปริดกระปรอย พอหมดตลาดนัดคนก็หายหมดเหมือนเดิม ร้านรวงปรับแผนการตลาดมาตั้งรวมกัน พอตั้งติดกันมาก ไปๆมาๆเลยแข่งกันเองเจ๊งอีก ก็พี่เล่นมีร้านอาหารตามสั่งเรียงติดกันสามร้าน แล้วก็มีร้านสัตวแพทย์ไม่มีลูกค้าจนต้องย้ายร้านไปทำเลใหม่ ผมเคยพาแมวไปหนนึง ก็พอเข้าใจว่าทำไมไม่มีลูกค้า พอถึงช่วงเลือกตั้งก็มีพรรคการเมืองมาจับจองพื้นที่ทำป้ายหาเสียงโครมคราม ไม่ใช่น้อยๆนะครับ มันซ้อนกันสูงเหนือหัวผมไปอีกยาวเรียงกันเป็นแถวเกือบ 20 เมตร หรือมีสเต๊กลุงหนวดมาเปิดใหม่ คนในหมู่บ้านก็จะแห่ไปกินอย่างกับว่าเป็นของอร่อยสุดยอดแจกฟรี หนึ่งในจักรวาล ผมลองกินดูแล้วก็พบว่าแม่งรสชาติไม่ได้เรื่องอย่างแรง ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงมีคนไปกินเยอะแยะมากมายขนาดนั้น ผมสงสัยว่าคนใหนหมู่บ้านจะเป็นพวกเห่อของใหม่ หรืออยากดูดีมีระดับชวนครอบครัวออกไปนั่งกินสเต็กให้ฟังดูโก้หรูมั้ง
กิจกรรมที่ผมชอบที่สุดในการเดินบำเพ็ญเพียรประจำวัน (ตั้งชื่อกันสดๆ) ก็คือการดักเล่นกับแมวครับ เนื่องจากแถวบ้านผมมีอิสลามเยอะมาก ทำให้นิยมเลี้ยงแมวกันมากกว่าหมา ในตลาดจะเต็มไปด้วยแมวจรจัดมั่งไม่จรจัดมั่ง มีคนเลี้ยงมั่งไม่มีคนเลี้ยงมั่ง ผมจะสนุกสนานกับการทำความรู้จักกับแมวทุกตัว ตัวนี้กลัวคนก็ค่อยๆหลอกล่อ ตัวนี้ชอบให้เล่นด้วย ตัวนี้ขี้โมโห ตัวนี้ซึนเดเระ บางตัวมีคนเอามาปล่อยก็เลยอยู่แถวนั้น บางตัวอ้วนมาก(มาก) บางตัวก็ท้องอยู่ ไม่กี่สัปดาห์ต่อมามันก็คลอด ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นคนที่สังเกตปฏิกิริยาตอบโต้แมวได้เก่ง ผมรู้ว่าตัวไหนพอจะมีโอกาสหลอกล่อมาเล่นได้ ตัวไหนจับไม่ได้เลยก็ต้องค่อยๆทำความรู้จัก ทีละวันๆ ค่อยๆเพิ่มค่าความสัมพันธ์จนชวนออกเดทพาไปเกาพุงได้ ตัวไหนจับเล่นได้ก็จะถ่ายรูปไว้ เป็นที่สนุกสนาน
ประเด็นที่จะเล่าถึงจริงๆไม่ใช่เรื่องพวกนี้หรอก แต่บังเอิญต้องเกริ่นเสียก่อน เรื่องมันก็มีอยู่ว่าเกือบทุกวัน ผมจะเจอชายคนนึงรูปร่างเล็ก อายุประมาณ 35 ปี หน้าตาเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ไม่ดูแก่ขนาดที่จะเรียกว่าลุงได้ แต่ก็อายุไม่น้อย เขาเป็นคนขาไม่ดี คือเดินกะเผลกๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอะไร แต่เวลาเดินเขาจะใช้ไม้เท้าอันนึงคอยค้ำไว้ แล้วค่อยๆเดินไปช้าๆ หน้าตาเขาก็ยิ้มแย้มดีนะ จุดสังเกตสำคัญก็คือมือข้างนึงของเขาจะหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรังไว้ด้วย แรกๆผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่พอเห็นบ่อยครั้งเข้าก็พบว่ามันคือขยะที่เขาเก็บไปขาย เพราะเขาจะหยุดตามที่ทิ้งขยะแล้วก็คุ้ยๆหาขวดนมขวดน้ำเก็บไป ยังไงก็คงไม่มีใครคุ้ยเขยะไปเก็บสะสมเป็นงานอดิเรกหรอก มันก็หมายความนั่นเป็นสิ่งที่ทำเพื่อหาเลี้ยงชีพเขาต่างหาก
เส้นทางเดินของเขาจะเดินมาจากไหนไม่รู้ แต่ผมเคยเห็นไกลสุดคือเลยตลาดไปส้กสามซอย(คนละด้านกับร้านเช่าหนังสือ) เขาก็เดินมาจนถึงตลาดใหม่ เลยไปจนถึงเซเว่นอีเลเว่น ผมไม่เคยเห็นเขาเดินไปไกลกว่าเซเว่นอีเลเว่น และทุกวันเขาจะต้องแวะเซเว่นอีเลเว่น ซึ่งบางครั้งผมก็เข้าไปเจอเขาในร้านด้วย ผมไม่รู้ว่าเขาจำหน้าผมได้มั้ยนะ แต่ผมจำหน้าเขาได้แม่นเลย แอบมองจากในเซเว่นก็เคย เขาจะค่อยๆเดินแล้วเอาถุงพลาสติกพะรุงพะรังวางไว้หน้าเซเว่นก่อนแล้วค่อยเข้ามา ไม่มีใครไปขโมยขยะแกที่วางไว้หรอก หรือถ้ามีก็คงจะเป็นคนเลวร้ายเหลือใจ
บางวันผมก็สนใจว่าเขาเข้ามาเซเว่นเนี่ยจะซื้ออะไร ก็แอบไปด้อมๆมองๆ เขาจะเป็นคนทำอะไรช้ามากๆ ผมแอบรอดูว่าเขาจะซื้ออะไรอยู่นานสองนานก็ไม่ซื้อสักที จนขี้เกียจรอจ่ายตังออกไปเสียก่อน แต่พอเจอในเซเว่นหลายๆครั้งเข้า มันก็มีจังหวะที่ไปเจอเขาจ่ายเงินพอดี ผมก็แอบย่องไปดู พบว่าเขาซื้อโยเกิร์ตสองถ้วย และโอวัลตินกล่องนึง บางวันก็ซื้อซาลาเปาไส้หมู ทำให้ผมสงสัยว่าถ้าเขาไม่มีเงินจริงๆ เขาจะเลือกซื้อโยเกิร์ทหรือซาลาเปาทำไม ทั้งสองอย่างถึงจะไม่แพงเท่าใหร่ แต่เชื่อได้ว่าเงินจำนวนเท่ากันนั่งกินผัดไทร้านหน้าเซเว่นจะอิ่มท้องกว่ามากมาย แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นคนเดินกะเผลกๆ แต่เนื้อตัวเขาค่อนข้างสะอาด เสื้อผ้าก็ไม่มอมแมมเหมือนคนจรจัดทั่วไป รองเท้าที่เข้าใส่ก็ดูค่อนข้างมีราคา มองๆไปก็น่าจะแพงกว่ารองเท้าผมเสียอีก และเขาก็น่าจะมีบ้านอยู่ แต่อยู่แถวไหนผมก็ไม่แน่ใจ เพราะภาพสุดท้ายที่ผมพบมักจะเป็นภาพเขายืนคุ้ยขยะอยู่หน้าเซเว่น ไม่ก็ยืนเฉยๆจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
ผมไม่รุ้ว่าหลังจากเขาเสร็จธุระที่เซเว่นอีเว่นแล้วเส้นทางถัดไปของเขาจะเป็นทางไหน หน้าเซเว่นนั้นจะมีซอยเข้าไปหมู่บ้านใหม่ 1 ซอย ฝั่งตรงข้ามก็มีซอยเข้าไปหมู่บ้านอีก 1 ซอย ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะข้ามถนนได้ง่ายๆ เพราะความเร็วในการเดินของเขาต่ำมาก หากจะข้ามถนนก็ต้องใช้ความพยายามอย่างสูง สิ่งที่ผมคิดก็คือเขาคงจะเดินกลับทางเดิม หรือเดินเข้าซอยแถวนั้นไป หรือไม่ห้องพักเขาก็อาจจะอยู่ตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ จากการพบเจอกันบ่อยครั้งเข้า เส้นทางประจำวันที่ทาบทับผ่านกัน ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเอง “รู้จัก” ผู้ชายคนนี้พอสมควร และบางครั้งก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา ทางระยะเพียง 50 เมตร เขาใช้เวลาเดินพอๆกับเวลาผมเดินจากที่จอดรถไปร้านหนังสือแล้ววกกลับมา ผมจจะฟังดูเว่อไปนิดหน่อยเพราะว่านับรวมเวลาที่เขาคุ้ยขยะไปด้วย แต่ยืนยันว่าเขาใช้เวลาในการเดินทางนานมาก
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาสังเกตเห็นผมบ้างหรือเปล่า เขาอาจจะรอผมเดินมาทุกวันๆก็ได้ วันนี้ถือหนังสือมาสามเล่ม วันนี้ถือมาสี่เล่ม ผมโดนจับตามองอยู่ไม่แตกต่างกับที่ผมจับตามองเขา สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีก็คือ พักหลังๆนี้เขาดูสกปรกขึ้นมาก หน้าตาแม้จะไม่มีหนวดเคราแต่ก็มีริ้วรอยชัดเจนขึ้น เสื้อผ้าไม่ถึงกับขาดแต่ก็ไม่ใหม่เท่าวันแรกๆที่เห็น รองเท้ายังดีเหมือนเดิม ไม้เท้าก็ดูเป็นของดีแข็งแรง แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ดูแย่ลงเล็กน้อยทำให้ผมคิดไปต่างๆนานๆ เช่นเขาซื้อโยเกิร์ทกินเนี่ยไม่ใช่ว่าเขาชอบกินหรอก แต่เขาอาจจะป่วยเป็นโรค กระเพาะรับอาหารหนักๆไม่ได้เลยต้องกินโยเกิร์ทแทน มีอยู่วันนึงผมจ่ายสตางค์ที่เซเว่นอีเลเว่นพร้อมๆกับเขา เขาสั่งซาลาเปาสองลูกกับอะไรสักอย่างอีกอันนึง รวมแล้วเป็นเงินห้าสิบกว่าบาท แต่เขาไม่มีเงินจ่าย เขามีอยู่เท่าใหร่ไม่รู้ แต่มันคงพอดีกับราคาที่เขาคิดในตอนแรก ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดกับโปรโมชั่นซาลาเปาอะไรสักอย่าง ทำให้พอคิดเงินแล้วราคามันเกินกว่าเกินที่เขามี เขาก็บอกพนักงาน แล้วก็เปลี่ยนเป็นซาลาเปาที่มันถูกลง วินาทีนั้นผมรู้สึกอยากจะพูดออกไปว่า “ผมออกให้ครับ” ขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าทำไมไม่พูดออกไป อาจจะเป็นกลัวว่ากลายเป็นการดูถูก หรือกลัวว่าท้ายแล้วจะเป็นภาระต่อตัวเองแทน หรืออะไรสักอย่างที่ผมเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่
แต่จากการที่ผมได้พบเจอกับเขาบ่อยๆ (บ่อยพอๆกับแมวหลายๆตัวที่ผมทักทายทุกวัน) ทำให้อดไม่ได้ที่รู้สึกเหมือนเป็นคนรู้จักทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันสักประโยค จริงๆก็ยังมีอีกหลายคนที่ผมเจอทุกวันโดยไม่เคยพูดคุย พวกแม่ค้า หรือวัยรุ่นแถวๆนั้นผมคิดว่าเขาก็จำหน้าผมได้บ้างอยู่ แต่สำหรับชายคนนี้ผมออกไปทางเป็นห่วงมากกว่า เปรียบเทียบก็ประมาณแมวสักตัวนึงที่กำลังไม่สบายอยู่ อยากพาไปหาหมออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องทำจริงๆ ยกเว้นว่าถึงที่สุดแล้วก็จะลงทุนพาไปหาหมอจริงๆ ผมไม่รู้ว่าชายคนนี้มีครอบครัวยังไง เขาอาจจะมีลูก อาจจะมีแม่ แต่นั่นมันก็ไม่ไม่ใช่กงการอะไรที่ผมจะต้องไปรู้หรือสนใจ สิ่งที่ผมพบก็คือชายคนนี้เท่านั้น ไม่ได้รวมไปถึงตัวพ่วงอื่นๆ เขาก็ต้องพยายามดูแลตัวเอง ผมถึงจะมีโอกาสมากว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องมารับผิดชอบอะไรคนที่โอกาสน้อยกว่า และคนที่โอกาสมากกว่าผมก็ไม่เห็นจะมาสนใจอะไรผมเหมือนกัน ภาพนึงที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยก็คือ ทุกวันหลังจากเขาซื้อของในเซเว่นเสร็จแล้ว เขาจะดูดบุหรี่อย่างปลอดโปร่งอยู่หน้าเซเว่น อย่างน้อยเขาก็มีเวลาผ่อนคลายด้วยการทำลายร่างกายตัวเองด้วยวิธีการที่เรียกว่าสูบบุหรี่อัดมะเร็ง ก็เลยทำให้ผมคิดว่าเขาคงไม่ได้ป่วยอะไรมาก เพราะไม่งั้นต้องงดสูบบุหรี่ไปแล้ว
จากนี้ไปจะเป็นอย่างไรต่อผมก็ไม่รู้ ไม่คิดว่าอาการขากะเผลกของเขามันจะหายหรอก เป็นมาเป็นปีแล้ว แต่ถ้าให้เดาสักวันเขาก็คงหายไป หายไปไหนผมก็คงไม่รู้ และไม่ถึงขนาดต้องค้นหาว่าหายไปไหน เหมือนแมวตัวนึงที่เจอทุกวันแล้วจู่ๆมันก็หายไป ผมก็คงไม่ออกตามหาหรอกว่ามันหายไปไหน หรือไม่ผมก็อาจจะเปลี่ยนเส้นทางจนไม่ได้เจอเขาอีก ซึ่งเป็นไปได้ยากอยู่ เพราะร้านเช่าหนังสือลูกค้าเยอะมาก ไม่เจ๊งง่ายๆหรอก และเย็นนี้เองผมก็อาจจะได้พบกับเขาอีก สักวันผมอาจจะเลี้ยงโยเกิร์ทกับซาลาเปาเขาสักชุดโดยไม่บอกเหตุผลว่าทำไม หรือถ้าเขากินได้ก็อาจจะเป็นเบียร์เย็นๆในเซเว่นอิเลเว่นสักกระป๋อง
ปล. เขียนโอดินอยู่ แต่เขียนไม่ค่อยออกแฮะ
อยากรู้ว่าบ้านเค้าอยู่ไหน แอบตามไปเลยดิ อ่านการ์ตูนไปด้วย จบเล่มเดี๋ยวก็ถึง อิอิ 55
ผมเคยให้กระดาษกล่องกับคนหาขยะไปขายด้วยแหละ ทั้งที่ตัวเองเก็บไว้ขายเอง -_-”
กลัวรู้แล้วไปคิดมากอ่ะครับ
จีบแมวไปวันๆเหมือนเดิมดีกว่า
เข้าใจความรู้สึกนะ
เป็นห่วง อยากช่วย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากช่วย จะด้วยไม่กล้า กลัวทำให้เขาเสียเกียรติ หรือเกรงเรื่องอื่น ๆ ก็แล้วแต่ แต่บางทีเวลาไปพบเห็นอะไรนอกบ้าน ก็จะมีความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมา
ปละปัญหาใหญ่ก็คือ คนน่ะไม่เหมือนหมาหรือแมว ที่เราสามารถสังเกตได้จากความผอมโซหรือสายตาที่พวกมันมองมา ว่ามันกำลังหิว หรือต้องการขออาหาร กับสัตว์แล้วดูจะรับมือได้ง่ายกว่าเยอะ เพราะสัตว์ที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรานั้น ถ้าเราอยากช่วยมันเป็นครั้งเป็นคราวไป ก็ช่วยได้ง่าย ๆ ด้วยการให้อาหาร หรือบางทีถึงไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือมาให้มัน แค่แวะทักทาย เล่น ลูบตัวมัน หรือเกาคางให้นาน ๆ ครั้ง ก็รู้สึกว่า “พอใจ” และ “เหมาะสม” แล้ว
แต่กับคน….
ไม่รู้จริง ๆ นะว่าจะรับมือยังไง เพราะสิ่งที่เราต้องการจะให้เพื่อช่วยจุนเจือเขานั้น บางทีเขาอาจจะไม่ได้ต้องการ หรือไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้ก็ได้