333 | Negative


เขียนแต่เรื่องภายนอกมาเยอะแล้ว วันนี้เขียนจากภายในมั่ง โดยปกติแล้วคนที่พยายามบอกว่าตัวเองไม่ปกติ ไม่เหมือนคนอื่น นั้นจะเป็นคนปกติ คนที่ไม่ปกติต่างหากที่มักจะพยายามบอกว่าตัวเองเป็นคนปกติแทน โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าผมไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ แสดงว่าผมเป็นคนปกติสินะ? แต่ถ้ามันชัดเจนถึงขนาดแตกต่างจากคนหมู่มากอย่างสุดกู่ มันก็คงต้องยอมรับว่าแตกต่างแล้วหล่ะ วันนี้ผมจะมาเล่าถึงแนวคิดของผมที่สวนทางกับคนส่วนใหญ่ในสังคมให้ฟัง

  • อนุรักษ์ธรรมชาติ-

ผมเป็นคนไม่อนุรักษ์ครับ ทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเรามันจะคอยข่มขู่กดดันเราให้อนุรักษ์ธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวน้ำแข็งขั้วโลกละลายมั่งหล่ะ แผ่นดินไหวน้ำท่วมมั่งหล่ะ โลกร้อนขึ้นมั่งหล่ะ พยายามกรอกหูกันว่าถ้าเราไม่อนุรักษ์ธรรมชาติ รักษาสิ่งแวดล้อม โลกเราต้องฉิบหายวายป่วยเป็นแน่แท้ และความฉิบหายมันกำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะวินาที ดังนั้นขอพวกท่านจงใช้หลอดประหยัดพลังงาน ถุงผ้าช๊อปปิ้ง บลาๆๆ อีกมากมายที่เหล่าห้างร้านทั้งหลายจะจัดแคมเปญที่ทำให้กูเป็นคนดีออกมา ผมถามจริงๆเหอะว่าทุกวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานว่าการที่มนุษย์ทำตัวโสมม เผาผลาญทรัพยากรโลก นั้นมีผลกระทบอะไรจริงๆมั่ง โอเคมลภาวะเป็นพิษนี่แน่นอน แต่พวกโลกร้อน แผ่นดินไหว น้ำท่วม นี่มันเกี่ยวจริงๆเหรอ? หรือมันก็เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ประโคมข่าวกันเข้าไปให้ตื่นตระหนกกันแน่ แล้วแคมเปญลดโลกร้อนที่จัดๆกันทั้งหลายมันช่วยอะไรได้จริงเหรอ หรือเป็นแค่ผักชีที่ช่วยให้มนุษย์รู้สึกดีกันแน่
สมมติว่าความฉิบหายทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี่เป็นฝีมือมนุษย์จริงๆ เป็นเพราะพวกเราเผาผลาญพลังงานสร้างมลภาวะจริงๆ เราทำยังไงถึงจะช่วยโลกได้? การที่เราประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลาสติกเนี่ย ทำๆกันแล้วมันช่วยได้ขนาดไหน? ทุกวันนี้มนุษย์กำลังตั้งหน้าตั้งตาเผาผลาญทรัพยากรกันอย่างเมามัน การลดการใช้พลังงานที่เกิดจากการรณรงค์นั้นช่วยลดการใช้พลังงานได้ไม่ถึง 0.1% และในทางตรงกันข้าม ความต้องการพลังงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนส่วนที่ลดไปนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์ก็ยังต้องบริโภค แล้วก็จะเผาผลาญทรัพยากรและพลังงานไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ทางเดียวที่จะหยุดได้ก็คือ…. ลดจำนวนมนุษย์ลงครับ
และถ้ามองกันอีกมุมนึง คำว่า “อนุรักษ์โลก” เนี่ยหมายถึงอะไร โลกแบบไหนถึงจะเรียกว่าโลกที่ดี? ถ้าถามคนทั่วๆไป ก็คงบอกว่าโลกที่มีแต่ธรรมชาติ น้ำใส ฟ้าสะอาด สัตว์ป่ามากมาย แล้วสรุปว่ามันเป็นโลกแบบไหนกัน? มันก็คือโลกที่ไม่มีมนุษย์ไงล่ะ และถ้าถามต่ออีกว่า “รักษาโลก” คืออะไร ประหยัดพลังงาน อนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วโลกจะมีความสุข? มนุษย์รู้ได้อย่างไรว่าถ้าโลกเป็นสีเขียวเต็มไปด้วยธรรมชาติแล้วโลกจะมีความสุช นั่นเป็นมุมมองของมนุษย์ต่างหากที่บอกว่าโลกมีความสุข มันคือโลกที่ทำให้มนุษย์มีความสุข ต่างหาก จริงๆแล้วโลกอาจจะไม่เดือดร้อนอะไรเลยก็ได้กับการที่มนุษย์กำลังทำให้โลกสกปรก และโลกอาจจะรังเกียจเดียดฉันท์เหล่าต้นไม้ที่ขึ้นมาปกคลุม โลกอาจจะอยากมีสีตุ่นๆ แห้งผากและเงียบสงบเหมือนดาวดวงอื่นๆหลายล้านดวงก็ได้ และน้ำแข็งจะละลายหรือไม่ แผ่นดินจะไหวยังไง โลกก็ยังคงอยู่ของมันไปเรื่อยๆ มนุษย์ต่างหากที่เป็นคนกำหนดว่าอย่างนี้อย่างนั้นก็เพื่อตัวของตัวเองทั้งนั้น

  • ทำบุญ-บริจาค

ผมเป็นคนไม่ทำบุญครับ และไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ รวมไปถึงการให้ทานหรือบริจาคด้วย ผมไม่ทำทานขอทานเพราะว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย ในสายตายผมนั้นการทำทานขอทานนั้นก็เป็นการซื้อขายอย่างนึง สิ่งที่เราซื้อก็ความรู้สึกว่าได้ช่วยเหลือคนอื่น ยิ่งขอทานทำท่าทางลำบากยากแค้นขนาดไหน เราก็จะยิ่งรู้สึกคุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้นอกจากการให้ขอทานที่ดูเป็นเรื่องปกติที่คนจำนวนมากจะไม่ทำกัน ผมยังไม่บริจาคด้วยครับ พวกช่วยเหลือภัยโน่นภัยนี่ ช่วยเหลือคนพิการ ช่วยเหลือสัตว์จรจัดหรือแผ่นดินไหวญี่ปุ่นอะไรพวกนี้ ผมก็ไม่ทำและไม่คิดจะทำเด็ดขาด ผมไม่เถียงว่ามันมีคนลำบากจริงๆ และมันเป็นสิ่งที่เขาผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่บริจาคอยู่ดี ผมไม่คิดว่าสิ่งที่ผมให้ไปจะไปช่วยอะไรพวกเขาได้ หรือถ้าช่วยได้ก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน สิ่งสำคัญกว่าคือจิตใจที่เข้มแข็งต่างหาก ผมรังเกียจวัฒนธรรมบ้าบุญของคนไทย ถามจริงๆว่าบริจาคๆกันเนี่ยเคยถามตัวเองว่าบริจาคไปทำไมมั่งหรือเปล่า? ทำตามกระแส? ทำตามเพื่อน? อยากได้ความรู้สึกที่เหนือกว่า? ตอกย้ำตำแหน่งของตนเองทางสังคม? แล้วบริจาคๆกันไปเนี่ย เงินมันไปถึงคนที่ลำบากจริงๆหรือเปล่า หรือตกหล่นถูกฉวยโอกาสระหว่างทางไปเท่าไหร่ มีคนจำนวนมากที่ใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมตรงนี้มากมายเหลือเกิน

  • -ศาสนา-

ผมเป็นคนไม่มีศาสนาในใจครับ แต่ในทางสังคมผมก็นับถือศาสนาพุทธนะ แม้ว่าผมไม่เคยไหว้พระมานานมากแล้ว ผมคิดว่าศาสนาก็เป็นความเชื่อรูปแบบนึง ซึ่งถูกสั่งสมกันจนเกินจริง โอเคผมชื่นชมศาสนาทั้งหลายในแง่การสรรค์สร้างที่สามารถเเป็นศูนย์รวมจิตใจจนสร้างงานศิลปะหรือวัฒนธรรมขึ้นมามากมาย แต่ผมไม่ยึดถือในคำสอน ศาสนามันก็สอนโน่นสอนนี่ เวลาผมคุยกับพวกบ้าศาสนา พอผมเถียงอย่างนึง เขาก็จะไปยกอย่างนึงมา พอผมไปเถียงทางนั้น เขาก็จะบอกว่ามึงไม่เข้าใจหรอก ซึ่งเพื่ออะไร? ถ้ามันกว้างขนาดนั้นจนตีความอย่างไรก็ได้ มันก็เป็นเรื่องแนวคิดธรรมดา ไม่จำเป็นต้องมีคำว่าศาสนามาคุ้มครอบอีกทีเลย ยิ่งพวกบ้ามากๆเนี่ย มันจะเลยคำสอนไปหล่ะ มันจะเริ่มมีปาฏิหารย์ มีญาณวิเศษ มีพลังเหนือธรรมชาติ ช่วงนี้ผมรู้สึกสมเพชเสมอที่ศาสนามักจะพยายามข่มคำว่าวิทยาศาสตร์อยู่ตลอดเวลา เหมือนเป็นศัตรูกันแต่ชาติปางก่อน ผมเคยเห็นคนที่บ้าศาสนาดูถูกคนไม่มีศาสนาว่าพวกไม่มีศาสนาก็แค่คิดความเชื่อขึ้นมาเองโดยไม่รู้ว่ามันเป็นคำสอนที่เขาสอนกันมานานแล้ว ผมจำคำพูดละเอียดไม่ได้ แต่ราวๆว่าดูถูกพวกที่ไม่มีศาสนาเชื่อแต่ตัวเองว่าสุดท้ายก็อยู่ใต้กรอบของศาสนา(ของกู)ล่ะวะ ถ้าศาสนาของพวกมึงสามารถคิดได้โดยกู ก็มิเท่ากับว่ากูอยู่ระดับเดียวกับศาสดามึงหรือ?

  • -สัมมาคารวะ-

อันนี้สามารถมองได้ว่าผมผิดเองเต็มๆ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่รู้สึกว่าผมเป็นฝ่ายผิด….. ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าผมเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะ จนกระทั่งวันนึงผมก็พบว่าคำคำนี้นี่เองที่เป็นคำจำกัดความสิ่งที่ผมกระทำอยู่ได้อย่างชัดเจนยิ่ง!
ผมเป็นคนไม่มีครู ไม่มีฮีโร่ ไม่มีแบบอย่างในชีวิต ผมไม่เคยชื่นชมคนคนนึงจนมองข้ามขอเสียของเขาไป (แต่บ่อยครั้งผมเหยียดหยามคนจากข้อเสียจนมองข้ามข้อดีไป) โดยปกติแล้วผมก็ไม่ใช่ว่าด่ามันไปทุกอย่างนะ…. ไอ้ที่ดีผมก็ชม ไอ้ที่ไม่ดีผมก็ไม่ชม เพียงแต่ว่าผมจะไม่ให้เครดิทจากวัยวุฒิ คือไม่ใช่ว่าแก่ ว่าอยู่นาน แล้วต้องก้มหัวให้ คุณต้องพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้อยู่มานานเปล่าๆปลี้ๆ ไม่ใช่ว่าเห็นหน้าครั้งแรก พออายุมากกว่าแล้วผมต้องยกมือไหว้ (แต่เอ…เอาเข้าจริงกุก็ไม่เคยไหว้ใครเลยนี่หว่า จะแก่ จะพระ อะไรก็ไม่เคย…) แล้วคำว่าไม่มีสัมมาคารวะนี่จะพอจำกัดความความเลวร้ายของผมมั้ยเนี่ย….

  • เรื่องที่พูดไม่ได้

เรื่องนี้พูดไม่ได้ครับ ฮะฮะฮะ
เอนทรี่นี้กลัวนิดหน่อยว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยจากโลกปกติแห่กันมารุมด่า หรืออาจจะมีแฟนบล๊อกสิ้นศรัทธาในตัวผม (มีด้วยเรอะ!)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *