338 | 告白 (confessions)

ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่า ข้างล่างนี้ไปจะเป็นเรื่องย่อของหนังเรื่อง Kokuhaku แบบละเอียด และถ้าอ่านจนจบก่อนได้ดูละก็ จะทำให้เสียอรรถรสในการรับชมอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากที่จะเสียอรรถรสนั้นไป ถึงกระนั้นเลยผมก็จะเขียนเรื่องย่ออยู่ดี ถ้าใครยังลังเลและจะมีคำถามถามผมว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ขอให้ดูหนังตัวอย่างด้านล่างก่อน ส่วนความเห็นของผมก็คือ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ไปหามาดูก่อนค่อยมาอ่าน entry นี้ก็ได้

告白 (Kokuhaku, Confession, คำสารภาพ)

ยูโกะ โมริงุจิ ครูประจำชั้นมัธยมต้นแห่งนึง ในชั่วโมงโฮมรูมที่แสนวุ่นวาย เธอประกาศว่าเธอกำลังจะลาออกจากการเป็นครู และโฮมรูมครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเธอ โมรุงุจิได้เล่าถึงทัศนคติของเธอต่อเด็กนักเรียนสมัยนี้ ความไว้วางใจต่างๆ ที่เธอแทบไม่เคยมีต่อนักเรียน เธอได้เล่าถึงครอบครัวของเธอ โมริงุจิได้ตั้งท้องกับนักเขียนชื่อดังคนนึง แต่ว่าเกิดตรวจพบว่าชายคนนั้นติดเชื้อ HIV ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะไม่แต่งงานกัน เธอและเด็กในท้องนั้นไม่ได้ติดเชื้อ HIV มาด้วย เธอจึงต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แต่แล้ววันนึงลูกสาวของเธอก็เกิดเสียชีวิต ตำรวจแจ้งว่าพลัดตกน้ำตาย แต่ครูโมริงุจิเชื่อว่ามันเป็นการฆาตกรรม และฆาตกรก็อยู่ในห้องเรียนนี้

โมริงุจิเชื่อว่ามีตัวการทั้งหมดสองคน เธอขอเรียกว่า ผู้ต้องหา A และ ผู้ต้องหา B เธอเริ่มเล่าว่าผู้ต้องหา A นั้นเป็นเด็กฉลาด แต่มีพฤติกรรมประหลาด ชอบแอบฆ่าหมาแมวด้วยอุปกรณ์ที่ประดิษฐ์เองแล้วโพสต์รูปขึ้นเว็บไซต์ เขาสร้างกระเป๋าสตางค์ช๊อตไฟฟ้าและได้รับรางวัล เด็กชาย A นั้นต้องการให้โลกหันมามองเขา แต่เวลาที่โลกกำลังจะหันมามองเขา ก็เกิดคดีสะเทือนขวัญที่ชื่อ Lunacy ขึ้น ทำให้ไม่มีใครสนใจในรางวัลที่เขาได้รับ เขาจึงคิดจะทำอะไรที่มันร้ายแรงยิ่งกว่า ส่วนผู้ต้องหา B นั้นเป็นเด็กธรรมดา ไม่มีใครสนใจ ไม่มีเพื่อน ค่อนข้างเป็นคนน่าสงสาร ผู้ต้องหา A หลังจากที่คิดจะทำอะไรที่ร้ายแรงขึ้น เขาจำเป็นต้องมีคนช่วย และเขาก็เห็นว่าผู้ต้องหา B นั้นเหมาะสมพอดี ผู้ต้องหา A เข้าตีสนิทผู้ต้องหา B และปรึกษาถึงเหยื่อ ผู้ต้องหา B ที่เคยโกรธแค้นครูโมริงุจิที่ไม่ยอมไปช่วยเขาตอนถูกตำรวจจับแต่กลับส่งอาจารย์คนอื่นไปแทน ก็เลยแนะนำให้เลือกลูกสาวของครูเป็นเหยื่อ ผู้ต้องหา A จึงใช้กระเป๋าสตางค์ช๊อตไฟฟ้าใส่สูกสาวของครูจนเสียชีวิตไป ผู้ต้องหา A ต้องการให้ผู้ต้องหา B ไปฟ้องคนอื่นว่าผู้ต้องหา A ฆ่าคน เพราะเขาต้องการเป็นข่าว แต่ผู้ต้องหา B กลับเกรงกลัวความผิดและโยนร่างของลูกสาวอาจารย์ลงสระน้ำไปเพื่อกลบเกลื่อนสาเหตุการฆ่า แล้วปากระเป๋าสตางค์ช๊อตไฟฟ้าทิ้งไป ตำรวจจึงสรุปสาเหตุการตายว่าเป็นการจมน้ำตาย

ครูโมริงุจิค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว และสอบถามจากผู้ต้องหา B จนเข้าใจเรื่องทั้งหมด ความจริงก็คือประเป๋าสตางค์ช๊อตไฟฟ้านั้นไม่มีแรงไฟฟ้ามากพอจะทำให้ลูกสาวของเธอที่อายุ 4 ขวบเสียชีิวิตได้ ที่จริงแล้วลูกสาวของเธอแค่เพียงหมดสติไป สาเหตุการตายที่แท้จริงก็คือการที่ผู้ต้องหา B โยนลูกสาวของเธอลงในสระน้ำต่างหาก แต่ครูโมริงุจิก็ไม่คิดจะแจ้งเรื่องราวเหล่านี้ต่อตำรวจ เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นมีกฏหมายคุ้มครองเยาวชนอยู่ เยาวชนที่อายุไม่เกิน 15 ปีจะไม่ได้รับการดำเนินคดีตามกฏหมาย และได้รับการบำบัดโดยไม่ได้รับความเจ็บปวด เธอคิดว่าแค่นั้นมันคงไม่สาสม เธอจึงบอกว่าเธอได้ฉีดเลือดของสามีเธอที่ติดเชื่อ HIV ลงในกล่องนมที่นักเรียนสองคนนั้นดื่มไป มีเวลา 4 เดือนจึงจะทราบว่าติดเชื้อหรือไม่ และถ้าหากติดเชื้อก็จะใช้เวลา 5-10 ปีในการเพาะตัว และเวลานั้นคงมากพอให้พวกเธอสำนึกตัว ท่ามกลางความโกลาหลของนักเรียน โมริงุจิ ยูโกะ อวยพรให้ปิดเทอมฤดูใบไม้ผลินั้นเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของนักเรียนทุกคน ทั้งหมดนี้คือคำสารภาพของเธอ

ในเทอมถัดไป ผู้ต้องหา B หรือนาโอกินั้นเลิกมาโรงเรียนและกลายเป็นฮิกกี้อยู่บ้าน ส่วนผู้ต้องหา A หรือชูยะนั้นยังมาโรงเรียนตามปกติ ครูประจำชั้นคนใหม่เป็นครูไฟแรงที่พยายามอย่างมากที่จะเข้าใจจิตใจของนักเรียน เขาพยายามจะเรียกร้องให้ทุกคนในห้องไปให้กำลังใจผู้ต้องหา B ให้มาโรงเรียน ความอีหลักอีเหลื่อเกิดขึ้นจบลงด้วยที่นักเรียนในห้องทุกคนทำเป็นไฟแรงตามที่อาจารย์ต้องการ แต่ข้างในกลับคิดตรงกันข้าม นาโอกินั้นยิ่งถูกเรียกร้องให้มาโรงเรียนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเสียสติมากเท่านั้น

ส่วนชูยะที่มาเรียนนั้นถูกเพื่อนในห้องกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง เขาตอบโต้ใช้วิธีกรีดเลือดของตัวเองป้ายคนอื่น และจูบปากนักเรียนชาย เหล่านักเรียนในห้องกลัวที่จะติดเชื้อ ก็เลยเลิกแกล้งเขาไป ชูยะได้สนิทกับนักเรียนหญิงคนนึงที่ชื่อมิสึกิ เธอชื่นชมหญิงสาวในคดี Lunacy ที่ช่วงชิงความสนใจจากสังคมไปจากชูยะมาก ถึงขนาดบอกว่าตนเองนั้นเป็นอีกด้านนึงของ Lunacy และเลียนแบบการกระทำต่างๆ ชูยะที่จริงแล้วต้องการที่จะให้แม่ของเขาที่หย่ากับพ่อไปหลายปีก่อนหันมาสนใจเขาเท่านั้น ชูยะมักจะคิดว่าคนอื่นรอบๆตัวเขานั้นโง่ เขาให้มิสึกิดูผลการตรวจเลือดว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้ติดเชื้อ ซึ่งเขาเสียใจมาก เพราะว่าเขาคิดว่าถ้าเขาติดเชื้อละก็ แม่ของเขาต้องหันมาสนใจเขา ทางด้านนาโอกินั้นไม่เคยมาโรงเรียนเลย ความจริงก็ค่อยๆเผยว่าแท้ที่จริงแล้ว ตอนที่เขาโยนร่างของมานามิลูกสาวครูลงสระน้ำนั้น เขารู้ว่ามานามิยังไม่ตาย และเขาโยนร่างของเธอลงไปโดยเจตนา เพื่อแสดงให้รู้ว่าสิ่งที่ชูยะทำไม่สำเร็จ เขานั้นทำได้สำเร็จ เมื่อแม่ของนาโอกิรู้เข้าและด้วยแรงกดดันหลายอย่างทำให้แม่ของเขาคิดจะฆ่านาโอกิและฆ่าตัวตายตาม แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น…. นาโอกิชิงมีดจากมือและฆ่าแม่ของเขาแทน

ชูยะถูกมิสึกิตอกย้ำเรื่องแม่ของเขาจนทำให้พลั้งมือฆ่าไป ชูยะเอาศพของมิสึกิใส่ตู้เย็นไว้ และเขาคิดว่าจะต้องทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่สักครั้ง เขาคิดจะวางระเบิดโรงยิมหลังจากการปราศัยในพิธีการจบการศึกษา นักเรียนจำนวนมากจะต้องตาย ก่อนหน้าที่มิสึกิจะตาย เธอได้พบครูโมริงุจิในร้านอาหารโดยบังเอิญ หลังจากที่คุยกันเธอก็รู้ความจริงที่ว่าครูโมริงุจินั้นเป็นคนหลอกใช้ให้ครูประจำชั้นคนใหม่(เวเธอร์)ไปกดดันนาโอกิเรื่อยๆ มิสึกิพลั้งปากไปว่าที่ชูยะทำทุกอย่างไปนั้นก็เพื่อแม่ของเขา ในวันพิธีจบการศึกษา หลังจากชูยะกล่าวปราศัยจบเขาก็กดสวิทช์ระเบิด แต่ว่าระเบิดกลับไม่ทำงาน ครูโมริงุจิโทรศัพท์เข้าไปหาชูยะแล้วบอกว่าเธอได้ย้ายระเบิดไปที่ห้องทำงานของแม่เขาแทน และอธิบายว่าที่จริงชูยะไม่ได้คิดจะทำอะไรยิ่งใหญ่เลย เขาแค่ค้นพบความจริงว่าแม่เขาแต่งงานใหม่ไปแล้ว และไม่สนใจในตัวตนของเขาเลยแม้แต่น้อย ด้วยความผิดหวังชูยะจึงคิดจะตายไปจากโลกนี้ และเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย เขาจึงคิดจะพาคนไปด้วยให้มากที่สุดเท่านั้น โมริงุจิปรากฏตัวที่งานจบการศึกษาต่อหน้าชูยะที่หมดสิ้นทุกอย่างและไม่มีความกล้าพอที่จบชีวิตตัวเอง โมริงุจิบอกว่าเธอต้องมีชีวิตต่อไป และนี่คือการแก้แค้นของเธอ

อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่าพอเวลาผ่านไป ผมมักจะลืมรายละเอียดเสมอ ผมก็เลยพยายามบันทึกรายละเอียดของเรื่องไว้ซะเยอะเลย สงสัยว่าเรื่องย่อคราวนี้จะยาวกว่าความเห็นนะเนี่ย…. สำหรับหนังเรื่อง โคคุฮาคุ นี้ เป็นหนังญี่ปุ่นที่ฉายในปีที่แล้ว (2010) และทำรายได้อย่างมหาศาลถึง 2,500 ล้านเยน (ฮารุฮิ Movie ทำได้ 600 ล้านเยน) ทั้งๆที่มีเนื้อรุนแรงมาก แถมยังได้รางวัลในประเทศญี่ปุ่นมากมาย ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาหนังต่างประเทศด้วย แต่ไม่ผ่าน 5 เรื่องสุดท้าย (ออสการ์มักจะไม่ให้รางวัลกับหนังที่นำเสนอด้านมืดของมนุษย์ และมักจะใจดีกับความพยายามของมนุษย์ หรือเรื่องราวของคนไม่สมประกอบสู้ชีวิตมากกว่า) คนญี่ปุ่นเองก็มีคำถามว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นมีอิสระเสรีมากเกินไปหรือเปล่าที่ให้รางวัลกับหนังอย่างนี้มากมาย หนังอย่างโคคุฮาคุนั้นได้รับรางวัลมากพอๆกับโอคุริบิโตะ(Departure) ทั้งๆที่เนื้อหาตรงข้ามโลกกันเลย

ก่อนอื่นก็ต้องเล่าก่อนว่าทำไมผมถึงคิดจะดูหนังเรื่องนี้ แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ยังไม่ได้ฉายที่ประเทศไทย และก็คงยากที่จะได้ฉาย สาเหตุที่ผมรู้จัหนังเรื่องนี้ก็คือวันนึง ระหว่างที่ผมกำลังเปิดพันทิปห้องเฉลิมไทยตามปกติ แล้วผมก็บังเอิญไปเจอกระทู้นึง ซึ่งเป็นกระทู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้และบอกว่ามันส์มาก แต่กลับไม่มีคนตอบเลย ผมแทบไม่รู้ว่าเลยว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร วินาทีนั้นสิ่งที่ผมรู้มีเพียงว่า 1) หนังเรื่องนี้มันส์มาก 2)หนังเรื่องนี้โรคจิต 3)เรื่องนี้แทบไม่มีคนรู้จัก ผมจึงเริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติม และได้ดูตัวอย่างหนังอันแสนบรรเจิด และค่อนข้างสนใจ ก็เลยตัดสินใจไปหามาดูในเย็นวันนั้นเอง มันไม่ยากเลยในการหาหนังเรื่องนึง ที่ได้มาเป็นซับไทยที่คุณภาพใช้ได้เสียด้วย

หลังจากดูจบ ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกอย่างไร….
ผมรู้สึกเหมือนอ่านเล่มสองของ “กระสุนลูกกวาดในโลกสีเทา” นานสองชั่วโมง
หนังเต็มไปด้วยความกดดัน ความหวาดผวา หลอน และตอกย้ำเสมอๆว่า “แน่ใจแล้วเหรอว่านี่มันเลวร้ายที่สุด? หันมาทางนี้สิจ๊ะ” แล้วผมก็โดนถีบร่วงลงไปในหลุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนังเปิดเรื่องด้วยฉากในห้องเรียนนาน 30 นาทีเต็ม ไม่มีการเดินเรื่องที่ฉากอื่น ตัวละครที่มีบทพูดหลักมีเพียงคนเดียว ก็คือ มัตสึ ทาคาโกะ ในบท โมรุงิจิ ยูโกะ ครูประจำชั้นของห้อง หนังเล่าเรื่องได้เท่มาก บทพูดแม้จะต่อเนื่องยาวนาน แต่ก็เฉียบคมและตื่นเต้นน่าระทึก กลับกันก็คือกลับกลายเป็นว่าเราต่างห่างที่รู้สึกว่าหนังปูพื้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด สถานการณ์ทั้งหมด ปมทั้งหมดในเวลาไม่ถึงครึ่งนึงของเรื่องแทน และด้วยความที่มันพรั่งพรูเรื่องราวสุดโต่งออกมาไม่หยุดจนทำให้ผมต้องสบถว่า “เหยดดดดดดดด” ออกมาเป็นระยะๆ ผมไม่รู้จะอธิบายปมของเรื่องง่ายๆยังไง ผมขออธิบายตามตัวละครที่สารภาพในหนังก็แล้วกัน

โมริงุจิ ยูโกะ
ในสามสิบนาทีแรกของหนัง เราถูก มัตสึ ทาคาโกะ ตรึงไว้จนอยู่หมัด ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เขียนจดหมายพร้อมบทไปหามัตสึ ทาคาโกะ โดยตรง และบอกว่าถ้าเธอไม่รับเล่นหนังเรื่องนี้ เขาก็จะไม่สร้างมันขึ้นมา แล้วเธอก็ตกลง… และหนังก็พิสูจน์ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ไร้ที่ติ สายตาของเธอสื่ออารมณ์ได้อย่างน่ากลัว ปมแรกของหนังที่โยนใส่เราก็คือความสำคัญของมานามิลูกสาวของโมริงุจิ สามีของเธอเป็นคนดี เป็นคนมีชื่อเสียง แต่บังเอิญติดเชื้อจากต่างประเทศ ไม่มีรายละเอียดตรงนี้ว่าติดมาได้อย่างไร (เฮียแกอาจจะมาฟันสาวไทยไม่ใส่ถุงก็ได้) แต่ผลลัพธ์ที่ออกก็คือ มานามินั้นเป็นราวกับปาฏิหารย์ ไม่ติดเชื้อมาด้วยความโชคดี แม่เลี้ยงเธอมาอย่างเอาใจใส่ นานามิน่ารักน่าเอ็นดู และมานามิได้ตายไปโดยไร้ความผิดใดๆ จึงทำให้เรารู้สึกว่าการกระทำของครูโมริงุจินั้นมีเหตุผลมากพอ การเอาเลือดที่ติดเชื้อ HIV ฉีดเข้าไปในนมแล้วให้นักเรียนกินนั้น เป็นอะไรที่วิปริตเกินกว่าจะคาดคิดจริงๆ

วาตานาเบะ ชูยะ
ชูยะเป็นเด็กที่โดนแม่ยัดเยียดความคาดหวังให้ตั้งแต่ก่อนจะจำความได้ แต่พอมันไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แม่เขาก็ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี เขาเลยโตขึ้นมาแบบบิดเบี้ยว ชูยะคิดว่าคนอื่นนั้นโง่ เพื่อนในห้องทุกคน พ่อของเขา เมียใหม่ของพ่อ ลูกกับเมียใหม่ รวมไปถึงครูโมริงุจิ นอกจากแม่เขาแล้วทุกๆคนในโลกล้วนโง่งม เขาพยายามทำให้โลกรับรู้ว่าเขาเหนือกว่าคนอื่น และเพื่อให้แม่เขาหันกลับมามองเขา แต่แล้วเขาก็กลับพ่ายแพ้ต่อใครก็ไม่รู้ที่ทำเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่เขาคิดว่าก็เป็นเรื่องโง่ๆเหมือนกัน เขาจึงคิดจะเอาชนะด้วยการทำเรื่องโง่ๆที่เหนือกว่าเรื่องโง่ๆนั้น แต่ชูยะไม่เคยรู้ตัวเลยว่าแท้ที่จริงแล้วเขานั้นเองนี่หล่ะที่ใจเสาะ กลัว กลัวไม่กล้าแม้แต่จะไปหาแม่เขาเอง เอาแต่อ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อกระทำเรื่องราวที่ทำให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่กล้าที่จะฆ่าคน ไม่กล้าแม้แต่จะฆ่าตัวเอง และพ่ายแพ้ให้กับคนที่เขามองว่าโง่แสนโง่และไร้ความสามารถ

ชิโมมุระ นาโอกิ
นาโอกิเป็นตัวแทนเด็กทั่วไป เป็นเด็กธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไป ไม่มีความสามารถโดดเด่น มีแม่คอยปกป้องตลอดเวลา ในคำสารภาพของนาโอกินั้นที่น่ากลัวกลับกลายเป็นแม่เขา แม่ของนาโอกิปกป้องลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร แม่เขาก็จะเข้าข้างนาโอกิตลอด จะหามุมที่ทำให้นาโอกิไม่มีความผิดได้เสมอโดยไม่สนใจผลกระทบ ความรู้สึกของคนอื่นหรือความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย คำพูดอย่าง “นาโอกิเป็นคนที่ถ้าพยายามก็จะทำได้” หรือ “เขาแค่ถูกเพื่อนไม่ดีหลอกเอา” นั้นทิ่มแทงได้อย่างเจ็บปวด และที่สำคัญที่สุดก็คือคนแบบแม่ของนาโอกินั้นพบเห็นได้มากมายเหลือเกิน

คิตาฮาระ มิสึกิ
มิสึกินั้นเป็นตัวละครที่อยู่วงนอกแต่กลับถูกดึงเข้าร่วมในวงด้วย ตัวบุคลิกของมิสึกินั้นไม่มีอะไรพิเศษ(นอกจากน่ารัก) แต่ตัวเรื่องจะมีมุมสะท้อนภาพการกลั่นแกล้งกันในสังคมญี่ปุ่นออกมาชัดเจนซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยมีในสังคมไทยเท่าไหร่ การกลั่นแกล้งในวัยเรียนของญี่ปุ่นนั้นจะเริ่มต้นจากการให้ “ใครคนนึง” กลายเป็นคนเลวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ และการเหยียบย่ำคนเลวคนนั้น จะกลายเป็นความดีแทน อ้างว่าเป็นการทำเพื่อสังคมส่วนรวม ทำเพื่อใครสักคน หรือเหตุผลต่างๆที่ทำให้คนกระทำนั้นมีความรู้สึกผิดน้อยลงเรื่อยๆ และยังกระจายความผิดออกไปเพื่อให้ทุกคนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแทนที่จะเป็นพยาน สุดท้ายก็จะปกป้องความผิดกันเองแทน ในห้องเรียน ชูยะและนาโอกิ ถูกยัดเยียดความผิดลงไปว่าเป็นฆาตกร การกลั่นแกล้งสองคนนี้จะเปลี่ยนสถานภาพพวกเขาจะให้เป็นผู้ลงโทษแทนสังคม ยิ่งกลั่นแกล้งเท่าไหร่ ยิ่งสองคนนี้ทุกข์ทรมานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นเรื่องถูกต้องที่จะกระทำ (จริงๆปมนี้ก็คล้ายๆปมบางอย่างในประเทศไทยเหมือนกันนะ แต่คนละมุมกัน)

ตัวละครที่กัดอย่างเจ็บแสบอีกคนนึงคือครูประจำชั้นคนใหม่ ในเรื่องถูกเรียกว่าเวเธอร์ เวเธอร์นี้เป็นตัวละครประชดสังคมที่ผมชอบที่สุด ในประเทศญี่ปุ่นนั้นมักจะมีละคร หนัง หนังสือ เกี่ยวกับคุณครูที่พยายามทำเพื่อนักเรียน ทุ่มเท อุตสาหะ ซึ้งกินใจ มากมายเต็มไปหมด ซึ่งด้วยสื่อต่างๆเหล่านี้ก็ได้สร้างครูที่พยายายามจนเกินเหตุขึ้นมาด้วยเช่นกัน แท้ที่จริงแล้วการพยายามจนมากเกินไปเป็นเพียงมุมมองเพียงด้านเดียวเท่านั้น เหมือนคลื่นที่ส่งออกไปแรงแต่จูนไม่ติดเลยแม้แต่น้อย ความพยายามที่ดูมุ่งมั่นก็กลายเป็นเรื่องขัดบรรยากาศ (KY) แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน

เรื่องโคคุฮาคุนี้สิ่งที่ต้องชมเป็นอย่างยิ่งก็คือบทของเรื่อง บทแน่น เฉียบคม ลุ่มลึก และรู้สึกได้เลยว่ากลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์ชีวิตที่ทับถมจำนวนมาก แต่ผู้แต่งเรื่อง Kanae Minato นั้นเป็นเพียงนักเขียนสมัครเล่นคนนึง และมีอาชีพหลักเป็นแม่บ้าน…(เพิ่มเติม จริงๆแล้วผู้เขียนมีความตั้งใจในการเขียนหนังสืออยู่แล้ว แต่ก็เป็นแม่บ้านไปด้วย) ที่ต้องชมไม่แพ้กันก็คือวิธีเล่าเรื่อง เรื่องนี้กำกับโดย เท็ตสึยะ นาคาชิม่า ที่มีสไตล์การเล่าเรื่องเหนือจริง ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนชินโบที่มักจะหยิบอะไรเกี่ยวกับบทพูดแทรกๆเข้ามาระหว่างพูด คอยช่วยให้คนดูเข้าใจ แต่ต่างกันที่เท็ตสึยะนั้นเล่นกับอารมณ์ตรงกันข้ามด้วย บางครั้งบางจังหวะเวลา การหัวเราะออกมาดังๆทำให้เย็นเฉียบไปถึงกระดูกสันหลังได้ยิ่งกว่าการกรีดร้องโหยหวนเสียอีก

บรรยากาศในเรื่องถูกนำเสนอด้วยภาพแบบ Super Realistic เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แทนอารมณ์ความรู้สึกที่ต้องการจะสื่อออกมามากกว่าภาพที่สมจริง และยิ่งพอมาเล่นกับอารมณ์กดดันก็ยิ่งขับให้เครียดกว่าเดิมเข้าไปอีก ฝีมือการแสดงของ มัตสึ ทาคาโกะ นั้นยอดเยี่ยมมาก (สมัยก่อนผมก็ชอบอยู่เหมือนนะ เจ๊ทาคาโกะ) 30 นาทีแรกของเรื่อง เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเป็นนักแสดงมืออาชีพเพียงใด ผมขนลุกเกรียวในฉากที่มิสึกิคุยกับโมริงุจิในร้านแฟมิเรส มิสึกิพยายามพูดให้ครูเข้าใจ แต่เธอกลับหัวเราะออกมา ไม่มีความหมายใดๆกับเสียงหัวเราะนั้น แต่มันกลับดังก้องอยู่ในหัวใจนานแสนนาน

จริงอยู่ว่าพอเรื่องมันเริ่มไปไกลจนเกินจะถอยหลังกลับ หนังหลายๆจะประสบปัญหาของการหาทางลง โคคุฮาคุก็เช่นกัน แต่โคคุฮาคุนั้นหาทางลงได้สวย และมีฉากสรุปอารมณ์ได้เจ๋งโคตร ภาพระเบิดในห้องของแม่ชูยะนั้นเหมือนระเบิดอารมณ์คนดูออกมา แม้ว่ามันจะเว่อๆและดูไม่สมจริง แต่มันก็ถูกที่ถูกเวลาเป็นอย่างมาก ณ ช่วงนั้น เวลานั้น สิ่งที่คนดูต้องการคือการระเบิดอารมณ์ออกมาให้สุดแรงมากกว่าจะมาเฉลยอะไรงี่เง่าเล็กๆน้อยๆ หรือปลอบประโลมด้วยคำสอนปัญญานิ่ม ฉากที่มัตสึ ทาคาโกะ พูดว่า “ตูม!” นั้นทำเอาผมเยี่ยวแทบเล็ดเลยทีเดียว

อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเรื่องนี้อาจจะหาดูในโรงคงจะเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเป็นแผ่นก็พอจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เวลานี้ยังไม่มีใครซื้อมาขายอย่างถูกต้อง ถ้าอยากลองดูละก็ หาเอาเองครับ ไม่ยากหรอกแป๊บเดียวก็เจอ ใครดูแล้วก็มาช่วยบรรยายความหลอนเป็นเพื่อนหน่อย

4 thoughts on “338 | 告白 (confessions)”

  1. ค่ะ
    ก็เรื่่องนี้ก็ดูจบไปแล้วเหมือนกันค่า
    อ.โมริกุจิน่ากลัวมากจริง ๆ ตอนที่ดูตอนแรก ๆ ก็นึกกลัวอ.โมริกุจิเหมือนกันค่ะ
    หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาที่รุนแรงเลยไม่เอามาฉายที่ไทย =w= เซ็งเลย
    ก็เลยหาดูตามเฮียกูเกิ้ล ปรากฏว่าเจอแบบซับอังกฤษ ดู ๆ ไปแล้วก็สนุกดีค่ะ มีฉากโหด ๆ ตรึมเลย โดยเฉพาะตอนแรก ๆ อ.โมริกุจิ แก้แค้นด้วยวิธีที่พิสดารมาก 5555 ตอนดูแรก ๆ คิด ๆ ไปว่า อ.โมริกุจิไม่น่าออกเลยเสียดาย =w= ที่อยากจะบอกมากก็คือเรื่องฉากของหนัง ฉากหนัง ภาพสวยเกินบรรยายค่ะ แม้เพลงตอนแรก ๆ จะดูน่ารัก แต่พอมาฟังแล้วดูหนังเรื่องนี้แล้ว มันขัดกันสุด ๆ ส่วนชูยะนั้นตอนสุดท้าย รับกรรมหนักสุด >w< โดนอ.โมริกุจิแก้แค้นเละเทะเลย นาโอกิก็เป็นโรคประสาทเพราะคิดมากเรื่องโรคเอดส์ เกือบโดนแม่ฆ่า -w- นั่งลุ้น แต่นาโอกิดันไม่โดนฆ่า กลายเป็นแม่ตัวเองที่โดนนาโอกิฆ่า
    ปล.กรี๊ดตรงที่ชูยะพี่แกกดโฮชิโนะ 55555 (เลือดสาววายเยอะ =w=)
    ปล.เขียนยาวมากเลยค่ะ จขกท.อย่าว่ากันนะคะ =w=

  2. ดูหลายรอบ ดูแล้วดูอีก อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังลุ้นและตั้งหน้าตั้งตาดูเหมือนตอนแรก อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออารมณ์อะไรเหมือนกัน ชอบมากเลยค่ะเรื่องนี้

  3. ดูหนังแล้วรู้สึกว่าชูยะเป็นคนไม่สนอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่ทำลงไปก็ไม่ได้สำนึกอะไร คิดแค่อยากให้แม่ตัวเองหันมาหาตัวเอง สิ่งที่ครูโมริงูจิทำลงไปก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร การที่โดนแกล้งก็คงชอบในที่ตกอยู่ในสภาพนั้น เพราะอย่างน้อยก็คงจะดังขึ้นมาได้ ขนาดมิสึกิมาดีด้วย ตอนแรกนึกว่าจะช่วยทำให้จิตใจชูยะดีขึ้น แต่บทหนังกลับมาเฉลยว่า ชูยะไม่ได้สนใจอะไรมิสึกิเอง (ถ้าสนก็คงเข้าพล็อตหนังทั่วไป ที่คนร้ายกลับใจเพราะเจอคนที่รักเค้าจริง) เท่าที่ดูไม่คิดว่าพลั้งมือ เพราะตอนฆ่านิ่งมาก แล้วก็ยังบีบคอให้ตายสนิท แถมยังบอกว่าตัวยังอุ่นๆอยู่น่าขยะแขยง แสดงว่าชูยะไม่เคยมองเห็นคุณค่าของคนอื่นเลยแต่แรก การแก้แค้นของครูโมริงุจิที่ผ่านมา ไม่ทำให้ชูยะระแคะระคายเลย จนตอนจบที่โมริกุจิ ได้ข้อมูลจุดอ่อนของชูยะ เลยทำให้แผนสำเร็จได้ รู้สึกได้ว่านี่แหละคือการแก้แค้นของจริง ที่ทำให้สองคนรู้ถึงความสูญเสียคนรักไป

  4. คนที่แสดงเป็นชูยะน่ารักมากก >< (ชื่อYukito Nishii) ปล.ฉากที่จูบกับผู้ชายฟินมาก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *