ผมเป็นคนที่เชื่อว่าศาสนาเป็นเรื่องของที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ถ้าหากเรามีจิตใจที่เข้มแข็งพอ หรือสติตั้งมั่นในการตัดสินใจ ศาสนาก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่าใหร่ ตามทะเบียนบ้านแล้ว ผมนับถือศาสนาพุทธ แต่ในทางปฏิบัติแล้วผมนั้นไม่มีศาสนา ไม่ประกอบกิจกรรมทางศาสนา ไม่ไหว้พระถ้าไม่จำเป็น ผมคิดว่าพระก็เป็นคนธรรมดาที่ถูกปกคลุมด้วยคำว่าศาสนา คนนั้นอาจจะชั่วช้าและไร้เหตุผลยิ่งกว่าคนที่คุณเกลียด แล้วคุณจะไหว้เขาทำไมในเมื่อตัวตนข้างในคุณยังไม่รู้จักเลย ผมเคยได้ยินว่าตอนเราไปทำบัตรประชาชนนั้น เราสามารถเลือกศาสนาได้ หรือแม้แต่ว่าไม่เลือกเลยก็ยังได้ บางคนนั้นเขียนลงไปว่านับถือ Pastafarian เป็นศาสนาได้ด้วย ทางเขตก็ไม่ว่าอะไร (หรือว่าไม่รู้เรื่องอะไร!?) ผมว่าถ้าไปทำบัตรคราวหน้าจะเปลี่ยนเป็น Altana ดูสักรอบ
แต่มันก็มีเหตุการณ์บางอย่่างมาทำให้ผมเริ่มสับสน ได้มีอุบัติเหตุเล็กน้อยทำให้แมวที่บ้านผมตาย ผมก็เสียใจ ความคิดแรกที่ปลอบประโลมให้กับตัวเองนั้นกลับเป็น “ชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่” ถ้าไม่คิดอะไรมันก็คงเป็นเรื่องปกติทั่วไป ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นความเชื่อส่วนนึงของศาสนาพุทธ ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล หรือเรื่องไร้สาระ แต่ผมไม่ได้คิดอะไรเลยกับความคิดแบบนี้ ไม่เก็บใส่หัวไปคิดว่ามันจะผิดหรือถูกด้วยซ้ำ แต่ในยามที่อ่อนแอ จิตใต้สำนึกผมกลับปลอบประโลมตัวเองด้วยความเชื่อที่ตัวเองไม่เชื่อ อาจจะเป็นเพราะผมเองก็อยู่ในระบบสังคมมาหลายปี ความเชื่อทางศาสนาก็เข้าฝังอยู่ในสมองบ้าง จึงทำให้ถูกขุดขึ้นมาใช้งานยามที่จิตใจอ่อนแอ
จริงๆผมก็รู้สึกแบบนี้หลายครั้งแล้ว เช่นเวลาขับรถแล้วเห็นหมาหรือแมวตายข้างถนน แว๊บแรกที่จะคิดขึ้นจะเป็น “แผ่เมตตา” หรือ ความเชื่อเกี่ยวกับชาติหน้าเพื่อให้ไม่พบกับจุดจบที่สร้างความเจ็บปวดให้กับจิตใจ แต่พอผมรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรที่ขัดกับความเชื่อของตัวเอง มันก็ทำให้ผมไม่รู้ว่าความคิดด้านใหนกันแน่ที่มีน้ำหนักมากกว่ากัน ถ้าเกิดยามที่ผมอ่อนแอมากกว่านี้ พบเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมากกว่านี้ หลายสิบ หลายร้อยเท่า จิตใต้สำนึกผมจะโหยหาที่พึ่งทางจิตใจเช่นไร ถ้าวันนึงผมล้มแล้วสิ่งที่ผมดูแคลนได้เข้ามาค้ำจุนจิตใจ ผมจะกลายเป็นสาวกของสิ่งนั้นหรือเปล่า ตัวผมในตอนนั้นจะรับได้กับตัวผมในตอนนี้หรือเปล่า แต่แน่นอน ตัวผมในตอนนี้ไม่สามารถรับได้แน่นอนว่าถ้าความเชื่อของตัวเองจะต้องแปรเปลี่ยนไปในอนาคต
ดังนั้น ผมจึงพยายามหาข้อสรุปในรูปแบบที่ตัวผมในปัจุบันยอมรับ นั่นก็คือ “ความตายของสิ่งใกล้ชิด” ในเมื่อผมคิดว่าไม่ควรปลอบประโลมจิตใจด้วยการขยายขอบเขตของชีวิตออกไปให้เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ แล้วความตายจะเป็นเช่นไรกัน? ความตายก็คือความตาย ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น ไม่มีการเกิดใหม่ ไม่มีการกลับสู้อ้อมอกพระเจ้า ไม่มีการตกนรก ไม่มีการชดใช้กรรม แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจะปลอบประโลมจิตใจของตนเองว่าอย่างไรดี จะยึดมั่นในอะไรหากวันนึงต้องเผชิญหน้ากับมัน ความเชื่อที่ไม่มีสิ่งใดเลยนั้นจะดูแห้งแล้งหรือไร้จิตใจเกิินไปหรือเปล่า ผมเองในตอนนี้ก็ไม่มีคำตอบอะไรจนกว่าจะได้เผชิญหน้ากับมันจริงๆ ทำได้แต่เพียงเตรียมตัวเตรียมใจ และคงไว้ซึ่งสติเท่านั้น
พระดีๆมีครับ แต่ต้องออกแรงหากันหน่อย
ส่วนศาสนาพุทธ จะเชื่อหรือไม่นั้นก็แล้วแต่ครับ จะไม่คิดอะไรเลยได้
เป็นธรรมดาครับถ้าไม่ได้เห็น หรือสัมผัส จะไม่เชื่อไว้ก่อนก็ไม่แปลก
ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
วิธีที่รวบรัดรวดเร็วก็คือฝึกถอดจิตให้ได้ ก็จะทราบว่าวิญญาณมีจริง ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไม่หายไปไหน ตายแล้วจะมาเกิดใหม่ ตรงตามที่มีในพระธรรมทุกอย่าง
แต่ฝึกถอดจิตให้ได้นั่นยากมากครับ
พระดีๆก็มีครับ แต่มันก็เหมือนอาชีพอย่างอื่น มันก็มีคนดีและไม่ดีเสมอ
ไม่ได้แตกต่างกัน มีคนบอกว่าเราไหว้พระที่ความเป็นพระของเขาเป็นอย่างแรก
ดังนั้น ถึงสันดานคนผู้นั้นจะดีชั่วอย่างไรก็ไม่มีผล อยู่ที่ใจเรา ผมว่ามันก็จริง
และมันก็ดูลักลั่นไปพร้อมๆกัน
ส่วนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ถ้ามีพระคนใหนมาพูดเรื่องนี้โดยพยายามจะ
บอกให้เชื่อโดยวิธีต่างๆ เช่นถอดจิตอะไรอย่างเนี้ย ผมจะถือว่าพระหรือ
คนผู้นั้นออกไปทางไม่มีเหตุผลครับ เพราะคำว่าเวียนว่ายตายเกิดเนี่ย
มันนับกันยังไงล่ะ เกิดเป็นมดก็นับเป็นหนึ่งชาติหรือเปล่า? แล้วถ้าเกิด
เป็นแพลงตอนละจะนับเป็นหนึ่งชาติด้วยใหม? ถ้านับแค่มด ลำพังจำนวน
แมลงก็มากกว่ามนุษย์หลายหมื่นหลายแสนเท่า ดังนั้นโอกาสที่เราจะ
เกิดเป็นแมลงนั้นมากกว่าเกิดเป็นคนมหาศาลนัก แต่ทุกคนที่พูดเรื่อง
เวียนว่ายตายเกิดนั้นจะบอกเสมอว่าชาติที่แล้วของคนที่ถูกสนทนาด้วย
จะเกิดเป็นคนเสมอ ถ้าคิดเป็นอัตราส่วนละก็มันต่ำกว่า 1 ใน แสนอีก
แล้วอะไรมันจะบังเอิญกันได้บ่อยๆ คิดว่าน่าจะเป็นการพูดให้เชื่อโดยเป็น
กุศโลบายมากกว่า
ไม่เคยมีใครตอบข้อกังขานี้ผมได้เลย
ทำให้ผมไม่เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดครับ
ผมเป็นคนไร้ความฝันไปหรือเปล่าเนี่ย!
หรือว่าขายวิญญาณให้กับคำว่าวิทยาศาสตร์ไปแล้ว!