214 | ef – a tale of melodies. | 10. reunion (no picture)

อามามิยะ ยูโกะ กำลังถักผ้าพันคอใหมพรมอยู่ในโบสถ์แห่งนึง มีเสียงผีเท้าเดินเข้ามา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงเดินเข้ามาในโบสถ์คนเดียว ยูโกะเห็นเข้าจึงเอ่ยปากทักทาย เด็กคนนั้นพอได้ยินเสียงของยูโกะกลับสะดุ้งโหยงและมีท่าทางหวาดกลัว จากนั้นก็หันหลังกลับวิ่งออกจากโบสถ์ไปในทันที
ยูเสก็ตภาพหุ่นปูนปั้นอยู่ในห้องชมรมศิลปะ นางิพเห็นภาพของยูก็บอกว่ายังต้องฝึกอีกมาก น้องชายของเธอยังวาดได้ดีกว่าเลย ยูตกใจเพราะว่าน้องของนางิเพิ่งอยู่ชั้นประถมเอง อย่าล้อเล่นน่า แต่นางิกลับพูดจริงจังว่าคิดว่าเธอโกหกเหรอ ยูจึงต้องยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ยูนั้นถนัดวาดภาพทิวทัศน์มากกว่า แต่นางิบอกว่านักออกแบบที่ดีต้องวาดภาพได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง รูปปั้น หรือสิ่งมีชีวิต ยูนั้นบ่นว่ายากเหมือนกันนะเนี่ย รูปปั้นกับสิ่งมีชีวิตจริงๆมันแตกต่างกันอยู่ นางิจึงเสนอว่าถ้าไม่อยากวาดรูปั้นงั้นจะวาดภาพนู้ดแทนใหม แล้วนางิก็ทำท่าเหมือนกำลังจะถอดเสื้อผ้าออก ยูเลยรีบบอกว่างั้นวาดรูปปั้นไปก็ได้ ยูกล่าวขอโทษนางิที่เหมือนบังคับให้มาสอนเขาวาดรูป -****-**- บอกว่าสอนยูมันก็สนุกดีเหมือนกัน ยูขอโทษอีกครั้ง นางิเลยดุว่าถ้าจะเอาแต่ขอโทษก็ไปฝึกให้เก่งขึ้นดีกว่า ไม่งั้นจะให้วาดรูปนู้ดแทนนะ
10. reunion
ยูนั้นอาศัยอยู่ด้วยกันกับยูโกะที่ห้องเช่าของเขา ยูกลับมาบ้านก็พบยูโกะที่กำลังรออยู่พร้อมกับอาหารเย็นเป็นข้าวห่อไข่ ยูกินเข้าไปแล้วก็บอกว่าอร่อยดี ยูโกะบอกว่าได้ไข่มาจากผู้ดูแลบ้านเช่าซึ่งเลี้ยงไก่เอาไว้ หลานสาวฝาแฝดเป็นคนเอามาให้ เคย์จัง กับ จิฮิโระจัง นั้นน่ารักและเหมือนกันเด๊ะเลย ยูโกะอยากจะมีลูกแบบนั้นมั่งจัง ยูทำท่าเชิดแล้วบอกว่าก็น่ารักแค่ตอนนี้หล่ะ เดี๋ยวพอโตขึ้นก็ซนแล้วก็ดื้อเอง ยูโกะดุยูว่าไม่มีกาละเทศะเลยนะ ยูบอกว่ามีแต่กาละเทศะน่ะอยู่ไม่ได้หรอก ยูโกะจึงพูดว่าสมัยนี้น่ะ ถ้าไม่มีไหวพริบหน่อยก็หางานไม่ได้หรอกนะ ยูจึงเล่าให้ยูโกะฟังว่าผู้จัดการร้านบอกเขาว่าถ้าเรียนจบแล้วจะทำงานต่อไปเลยก็ได้นะ แต่ยูยังไม่ได้ตัดสินใจ ขอคิดดูก่อน ยูโกะบอกว่ายูนั้นเป็นคนที่มุ่งมั่นจะประสปความสำเร็จนี่นา ยูปฏิเสธว่าไม่หรอก เขาเลิกคิดแบบนั้นแล้ว เป้าหมายของเขาไม่ใช่มุ่งไปให้สูงอีกแล้ว แต่เป็นมุ่งไปยังข้างข้างหน้าต่างหาก ยูเอื้อมมือของเขาไปข้างหน้า ไปทางยูโกะ ยูถามยูโกะว่าตอนนี้มีความสุขใหม ยูโกะพอได้ยินก็ประหลาดใจและยอมรับว่ามีความสุข ได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุด และตอนนี้ก็ได้อยู่กับยู คนที่รักที่สุด ถ้าบอกว่าลืมบาดแผลในอดีตไปแล้วก็คงจะเป็นการโกหก แต่บาดแผลเหล่านั้นได้รับการยอมรับโดยยู ยูที่ช่วยเหลือทุกอย่าง เมื่อได้ยินดังนั้นยูจึงตอบว่าเป้าหมายของเขาคือปกป้องปัจุบัน ปกป้องความสุขที่ได้อยู่ร่วมกันในตอนนี้…ตลอดไป นั่นจึงทำให้การไข่วคว้าหาจุดสูงสุดไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่สนใจในชัยชนะอีกต่อไป ขอเพียงได้ต่อสู้ไปข้างหน้ากับยูโกะก็พอ แล้วทั้งสองก็จับมือกัน แต่จู่ๆที่อีกด้านของโบสถ์กลับมีเสียงผิดปกติดังขึ้น พอไปดูก็ได้พบกับเด็กผู้หญิงคนนึงแอบอยู่ ยุโกะเอื้อมมือของเธอไปแต่เด็กคนนั้นกลับมีท่าทีหวาดกลัว ยูคิดว่าคงเป็นเด็กของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ยูโกะถามเด็กคนนั้นว่าชื่ออะไร และก็แนะนำตัวเองก่อนว่าชื่ออามามิยะ ยูโกะ เด็กคนนั้นค่อยๆบอกว่าเธอชื่อมิกิ เขียนว่า “มิไร (อนาคต)” แต่อ่านว่ามิกิ ยูนั้นจะไปเรียกคนที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามารับ แต่มิกิกลับห้ามไว้ ห้ามไม่ให้เรียกใครสักคน
หลังจากส่งเด็กคนนั้นแลิวยูก็กลับไปที่ห้องกับยูโกะ ระหว่างทางยูอธิบายว่าเด็กที่เพิ่งเข้ามาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามักจะเป็นแบบนั้น ยังปรับตัวไม่ถูก ยูโกะบอกว่าไม่ใช่หรอก เด็กคนนั้นอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาครึ่งปีแล้ว พ่อแม่ของมิกิวางแผนจะฆ่าตัวตายพร้อมกัน หลังจากถูกพ่อแม่ของตัวเองพยายามฆ่าแล้ว มิกิจึงไม่ไว้ใจใครอีกเลย ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็พยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อผู้คนหรือสถานที่มีคนเยอะๆ เวลากินก็กินคนเดียว จึงทำให้ไม่มีคนรับเธอไปเลี้ยง…. ยูโกะเปรยว่าโลกนี้ไม่มีพระเจ้าจริงๆสินะ เพราะว่าไม่มีพระเจ้า โลกนึ้จึงเต็มไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด ถ้ามีพระเจ้าอยู่จริงฉันอยากให้ท่านสร้างโลกที่งดงามกว่านี้ ขจัดความทุกข์และทำให้ผู้คนมีจิตใจงดงาม และสร้างโลกที่ไม่มีใครถูกทอดทิ้ง ยูพอได้ยินก็บอกว่าถ้าสร้างดินแดนในอุดมคติแบบนั้นขึ้นมาได้ก็คงจะดีสินะ
007 : die
“ถ้าสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมาได้” คนนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของยู ยูขมักเขม้นวาดรูปอยู่ในห้องศิลปะ นางิที่เข้ามา พอเห็นรูปของยูก็บอกว่าทำได้ดีขึ้นนะเนี่ย มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ ลายเส้นมันแตกต่างจากปกติ ยูสงสัยว่าแตกต่างยังไง ดีขึ้นหรือว่าแย่ลง นางิอธิบายว่าในลายเส้นของยูไม่มีความลังเลแล้ว ยูพัฒนาขึ้น แต่มันยังดีไม่พอหรอกน่า พูดจบแล้วนางิก็ยิ้ม ยูเสก็ตภาพไปเรื่อยๆก็ถามนางิว่าถ้าวาดรูปนู้ดผู้หญิงแล้วจะเก่งขึ้นใช่ใหม นางิบอกแล้วแต่ ยังไงก็ควรจะลองดูสักครั้ง ยูทำท่าครุ่นคิดแล้วหันมามองนางิ “ถ้างั้นช่วยถอดเสื้อผ้าหน่อยสิ” ยูขอร้องนางิตรงๆ นางินิ่งไปพักนึง แล้วตอบว่า “ไม่” ยูถามว่าทำไมล่ะ เพราะว่าปกติก็ถอดเสื้อผ้าโชว์เป็นประจำอยู่แล้วนี่ นางิตอบว่าพอโดนถามตรงๆก็เขินเหมือนกันนี่นา พร้อมมีสีหน้าเขินอายนิดหน่อย แล้วนางิก็ยกกระจกมาให้ยูว่าเอาอันนี้ไปแทนละกัน นางิพูดต่อว่าถ้าอยากวาดคนจริงๆไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงก็ได้ และฉันเองก็อยากจะลองวาดดูเหมือนกัน นางิยกเฟรมและเก้าอี้มาตั้งเรียบร้อยแล้วบอกให้ยูถอดเสื้อผ้าออกสิ ไม่มีใครสนใจหรอกน่า ยูถึงกับทำอะไรไม่ถูก
ยูโกะกำลังสวดภาวนาอยู่ในโบสถ์ มิกิได้เดินเข้ามาที่อีกด้านนึง พอเห็นยูโกะมิกิก็ทำท่าจะวิ่งหนี แต่ว่ายูโกะก็เรียกเอาไว้ ยูโกะรู้วิธีจะดึงดูดความสนใจของเด็กได้เป็นอย่างดี และเรียกมิกิเข้ามาเพราะว่ามีเรื่องจะขอร้อง ยูโกะบอกว่าตอนนี้เธอเหงามากเลย คนสำคัญของเธอนั้นกำลังทำงานยุ่งอยู่ จะไม่ได้พบกันจนกว่าจะตอนกลางคืน มิกิพูดแทรกขึ้นมาว่า “อ่อนแอ” ถ้าเขากลับมาก็ไม่เหงาแล้วนี่นา ยูโกะจึงบอกว่ามิกินั้นเข้มแข็งสินะ เธอนั้นอ่อนแอ จึงได้รู้สึกเหงา จึงทำให้อยากขอร้องว่า “งั้นเรามาเป็นเพื่อนกันมั้ย?” มิกิที่มีสีหน้าขึงขังตลอดเวลาลังเลเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้าตอบ…
ยูโกะถามมิกิว่าเพื่อนของหนูอยู่ที่ใหน มิกิตอบว่าไม่มีหรอก ไม่จำเป็นต้องมี ยูโกะบอกว่าเวลาอยู่กับเพื่อนน่ะสนุกดีนะ แต่มิกิก็ยังบอกว่าไม่ต้องการอยู่ดี ยูโกะจึงพูดขึ้นว่าเหงาจังเลยน้า มิกิจังสงสัยว่าทำไม ยูโกะบอกว่าก็นึกว่าเราจะได้เป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา…ได้มั้ยจ๊ะ มิกิเงียบอยู่ครู่นึงแล้วตอบว่าไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอก ยูโกะจึงบอกว่าจริงนะ ถ้างั้นก็จับมือกันหน่อย แล้วยูโกะก็ยื่นมืออกมา แต่มิกิยังมีทีท่าลังเลว่าจะจับดีใหม ยูโกะพอเห็นอย่างนั้นก็พูดว่าช่วยฉันด้วยขึ้นมาเสียงดัง ทำให้มิกิตกใจ แล้วจับมือของยูโกะเอาไว้ ยูโกะใช้สองมือกุมมือของมิกิ แล้วกล่าวขอบคุณ “ไม่เหงาแล้วใช่่ใหม” มิกิถามยูโกะ ยูโกะตอบว่าไม่เหงาอีกแล้วหล่ะ
ยูโกะนั่งถักผ้าพันคอรอยูอยู่ในโบสถ์ เมื่อยูกลับมาก็มารับยูโกะ แต่ยูโกะทำท่าบอกให้ยูเงียบหน่อย เพราะว่ามิกิกำลังหลับอยู่บนตักของยูโกะ ยูบอกว่านอนตรงนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก แล้วก็เอาเสื้อคลุมให้มิกิ ยูโกะบอกว่าเหมือนกับว่ายูได้กอดมิกิไว้เลย แต่ยูก็ทำท่าไม่เข้าใจ มิกิที่หลับอยู่มีท่าทีกระวนกระวาย พอตื่นมาก็บอกยูโกะว่าเธอฝันร้าย ยูโกะจับมือของมิกิไว้แล้วให้กำลังใจว่าไม่เป็นไรหรอก แล้วมิกิก็หลับไปอีกครั้งนึงทั้งที่จับมือของยูโกะไว้
011 : Starke,
ที่ห้องของยู ยูโกะและยูนอนบนฟูกเรียงถัดกันเหมือนเมื่อครั้งที่ยูเคยนอนกับอากาเนะ น้องสาวของเขา ยูโกะถามยูว่าหลับไปหรือยัง เธออยากจะไปนอนใกล้ๆกับยู พอยูโกะมุดเข้าไปในผ้าห่มของยู ยูก็หันหลังให้ ยูบอกว่าด้านหลังของคนมันอุ่นกว่า เมื่อยูโกะได้ยินจึงหันเอาหลังชนกับหลังของยูเช่นกัน ยูเล่าให้ยูโกะฟังว่าเมื่อก่อนเขาก็เคยนอนกับอากาเนะแบบนี้ ยูโกะได้ยินก็ยิ้ม ยูโกะคุยกับยูว่ารู้ใหมที่ออสเตรเลียนั้นคริสมาสนั้นอยู่ในฤดูร้อนนะ และมันก็จะร้อนมากเลย ยูโกะอยากเห็นคริสมาสในฤดูร้อน ยูไม่มีท่าทีสนใจคำพูดของยูโกะเป็นพิเศษ ยูโกะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะปาฏิหารย์ทำให้มีคริสมาสในฤดูร้อน ยูตอบด้วยคติประจำตัวของเขา “โลกนี้ไม่มีปาฏิหารย์หรอก มีแต่สิ่งไม่คาดคิดหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเท่านั้น” ยูโกะบอกว่ายูคุงช่างไร้ความฝันจัง ยูตอบห้วนๆว่าถ้าอยากฝันก็นอนหลับสิ ยูโกะงอนนิดหน่อยแล้วทั้งคู่ก็กล่าวราตรีสัวสดิ์กัน
012 : Die
มิกินั่งแอบอยู่คนเดียวในโบสถ์ ยูโกะก็มาเล่นด้วยเหมือนเคย ทันทีที่มิกิเห็นยูโกะ สีหน้าก็ดูมีความสุขเป็นอย่างมาก มิกิเล่าให้ฟังว่าเธอเคยฝันร้าย แต่ตั้งแต่พบกับยูโกะก็ไม่เคยฝันอีก ยูโกะบอกมิกิว่าก็เพราะเราจับมือกันไว้ไง ยูโกะจับมือของมิกิไว้ “ไม่เป็นไรแล้วนะจ๊ะ” ยูโกะบอกกับมิกิ มิกิถามว่าแล้วพรุ่งนี้เราจะจับมือกันอีกใหม ยูโกะยิ้มแล้วตอบว่า “อื้อ”
ยูโกะฮัมเพลงขึ้นมาเพลงนึง “ความกล้าที่จะมีชีวิต ความฝันในหัวใจของพวกเรา….” ยูโกะบอกกับมิกิว่า นี่เป็นท่วงทำนองของเพื่อนของเธอ ยามที่เธอสิ้นหวังและเจ็บปวด พอได้ยินเพลงนี้ก็ถูกดูดกลืนไปในความงดงาม และเริ่มคิดว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่เธอชอบอยู่ และหัวใจก็จะเริ่มสั่นใหว เมื่อก่อนนั้นเคยอยู่ในความเจ็บปวดอันโหดร้าย แต่ตอนนี้ก็หลุดพ้นมาแล้ว ในตอนนี้เธอก็เลยลองแต่งเนื้อเพลงขึ้นมาดู แต่ว่ายังไม่เสร็จหรอกนะ มิกิบอกให้ยูโกะร้องให้ฟังอีกครั้ง แล้วทั้งคู่ก็ร้องเพลงกัน
ยูโกะกำลังเดินอยู่กับมิกิ และได้มาเจอกับยู ยูบอกว่ายูโกะอยู่กับเด็กคนนั้นอีกแล้วเหรอ มิกิทำท่าโมโหและบอกว่าเธอก็มีชื่อนะ ชื่อมิกิ ยูโกะขอมือของยุหน่อย แล้วทั้งสามคนก็เดินจับมือกันไป “ถ้าจับมือกันไว้อย่างนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เป็นไร” ยูโกะพูดกับมิสึกิ ยูโกะถามมิกิอีกครั้งว่ายังรู้สึกเหมือนกับว่าจะร้องไห้อีกใหม มิกิตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน ยูโกะสอนมิกิว่าเด็กผู้หญิงต้องมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลานะ ถ้าทำหน้าเศร้าแล้วเรื่องเศร้าๆก็จะเกิดขึ้น แต่ถ้ายิ้มแย้มเอาไว้ก็จะมีความสุขและความเศร้าก็จะจางหายไป มิกิพอได้ยินก็บอกว่าจะไม่ร้องไห้แล้ว ยูพอเห็นสภาพเมืองที่ยังคงมีร่องรอยความเสียหายของแผ่นดินไหวก็พูดขึ้นว่า เขาอยากจะสร้างเมือง ไม่ใช่แค่ตกแต่งซ่อมแซม ตึกรามบ้านช่องที่เสียหาย อยากจะสร้างเมืองที่งดงามอย่างแท้จริง เมืองที่ทุกคนจิตใจงดงาม และไม่มีใครถูกทอดทิ้ง เมืองที่สว่างไสว เชื่อมต่อไปยังอนาคต เมื่อยูโกะได้ยินเธอก็ยิ้มและบอกว่ายูต้องทำได้แน่นอน
พอทั้งคู่กลับมาถึงห้องเช่าก็ได้พบกับจดหมายจากคุเซะ ยูจึงแกะออกอ่าน คุเซะเล่าว่าผู้หญิงเยอรมันสุดยอด และก็บอกว่าจะกลับมาตอนช่วงคริสมาส แต่ว่าต้องไปเดทกับสาวสาว เลยไม่คิดว่าจะมีเวลามาพบพวกยูหรอก ยูโกะซบใหล่ยูแล้วถามว่าคริสมาสนี้จะไปใหนหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้…..(แสด ยูโกะแม่งออเซาะมาก) ยูรู้ว่ายูโกะจะพูดอะไรจึงพูดตัดบทว่าเขามีงานในช่วงเช้าวันคริสมาส จึงต้องไปเตรียมตัวก่อนใคร พอยูโกะได้ยินก็มีสีหน้าเศร้าลง ยูพูดต่อว่าเพื่อเป็นการชดเชย เขาก็เลยขอกลับก่อน ยูยิ้มให้ยูโกะแล้วบอกว่าเราไปเที่ยวด้วยกันดีกว่า ยูบอกให้ยูโกะรอที่โบสถ์ที่ไปเป็นประจำ ยูโกะบอกว่าจะรอนะ อย่ามาช้าล่ะ
วันคริสมาส บ้านช่องต่างประดับประดาไปด้วยไฟและต้นคริสมาส ยูถือช่อดอกไม้และกำลังจะไปหายูโกะ แต่ก็ได้เจอกับนางิมาดักรอไว้ นางิเดินไปกับยูและบอกว่าให้ดอกไม้นี่ไม่สมเป็นยูเลยนะ แต่ดอกไม้นั่นเหมาะกับยูโกะจัง(นางิเรียกยูโกะว่ายูโกะจัง) ยูโกะจังกับดอกไม้นั้นดูดีมากเลย อีกด้านนึง ยูโกะที่ถักผ้าพันคอเสร็จแล้วก็ตระเตรียมใส่ถุงเพื่อจะมอบมันให้กับยู
013 : wir
เสียงไวโอลินดังแว่วอยู่ในเมือง มิกิได้ยินก็จำได้ว่าเป็นทำนองเดียวกับเพลงที่ยูโกะร้องให้เธอฟัง มิกิออกวิ่งตามหาที่มาของเสียงดนตรีนั้น เมื่อถึงน้ำพุเธอก็ได้พบกับผู้ชายคนนึงนั่งสีไวโอลินอยู่ ชายคนนั้นทักทายมิกิว่า ไงจ๊ะ (โอโจซามะ) มิกิถามถึงทำนองเพลงเมื่อกี้ ชายคนนั้นตอบว่าชอบเหรอ แล้วจู่ๆก็มีลมพัดมาวูบนึงทำให้ผมของมิกิปลิว ชายคนนั้นคือคุเซะที่กลับมาจากเยอรมัน คุเซะถอดเชือกมัดผมของเขาและมัดมันให้กับมิกิ “เอาหล่ะ อย่างนี้น่ารักกว่านะ” คุเซะพูดกับมิกิ มิกิยิ้มอย่างดีใจและยื่นมือออกมาขอจับมือกับคุเซะ มิกิขอบคุณแล้วก็วิ่งจากไป
078 : Zeiten
ยูโกะรอยูอยู่ที่โบสถ์ตามที่ทั้งสองนัดกันไว้ ยูโกะดูนาฬืกาแล้วคิดว่าเธอคงจะมาเร็วไปหน่อย จู่ๆก็มีลมแรงพัดผ่านมา มีลูกบอลลูกนึงกลิ้งออกไปที่ถนน ยูโกะเห็นลูกบอลนั้นก็นึกถึงยูกับเธอเมื่อตอนเด็กๆ ยูโกะเดินไปเพื่อจะหยิบลูกบอลลูกนั้น จู่ๆก็มีแสงสว่างของไฟรถขึ้นมาวูบนึงพร้อมกับเสียงแตร แสงนั้นพุ่งเข้ามาหายูโกะและเกิดเสียงกระแทกขึ้นดังลั่น…..
ยูที่กำลังจะไปตามที่นัดกับยูโกะไว้ นางิก็ได้ตามมาด้วย ยูถามนางิว่าจะตามไปถึงใหน นางิบอกว่าเธออยากรู้ว่าตอนที่ให้ดอกไม้กับยูโกะนั้นยูจะพูดว่าอะไร ยูทำท่าเซ็งๆ นางิบอกว่าเธอล้อเล่น เธอไม่ไปเป็นตัวเกะกะของการเดทหรอก ยูเจอกับมิกิระหว่างทางพอดี มิกิวิ่งมาหายูและชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า มีแสงลอดผ่านเมฆลงมาเป็นชั้นๆ “บันใดนางฟ้านี่” นางิพูดขึ้น ยูสงสัยว่ามันคืออะไร นางิบอกว่านางฟ้าลงมาบนโลกมนุษย์ด้วยแสงนั้น…
ยูโกะที่โดนรถชนอยู่ในสภาพเลือดท่วม คร่ำครวญถึงสิ่งต่างที่ยังคงค้างคาใจ เธอยังมีหลายสิ่งที่อยากจะบอกกับยู ยังมีหลายอย่างที่อยากจะให้ยูเข้าใจ ยูโกะจึงร้องเพลงนั้นของเธออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ****** มือของยูโกะหมดแรงร่วงหล่นลงบนพื้น “อยากพบกับยูคุงอีกสักครั้ง” คือความปราถนาสุดท้ายของเธอ มิกิกับยูนั้นกำลังไปยังโบสถ์ที่นัดกับยูโกะไว้ มิกิสังเกตเห็นลูกบอลที่พื้น เมื่อมองไปข้างหน้าก็พบภาพน่ากลัวที่เกิดขึ้น ดอกไม้ในมือของยูหล่นลงบนพื้น เขาวิ่งตรงไปยังยูโกะที่พิงอยู่กับต้นไม้ มีบาดแผลเต็มตัว ไร้ซึ่งสติ ยูเขย่าตัวยูโกะและร้องเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบอะไรทั้งนั้น หิมะได้ร่วงหล่นลงมา
ยูยืนอยู่คนเดียวที่ดาดฟ้าของโอโตวะ สีหน้าของเขาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ในมือนั้นมีกุญแจอยู่ดอกนึง ภาพของยูโกะในช่วงเวลาความทรงจำต่างๆผุดขึ้นมาในหัวของเขามากมาย ภาพยูโกะกับเขายืนบนดาดฟ้าชัดเจนขึ้น ยูโกะบอกว่ายูว่าเธอรู้สึกว่าการได้พบกับยูที่นี่ช่างรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วเหลือเกิน ยูมองไปบนท้องฟ้า เขาก็รู้สึกเช่นด้วยเดียวกัน ยูโกะมอบกุญแจของดาดฟ้าให้กับยู ที่นี่เป็นสถานที่ที่เอาไว้เวลาอยากอยู่คนเดียว สถานที่ที่สามารถร้องไห้ได้โดยไม่มีใครเห็น แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว และจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว เธอจึงอยากจะปลดปล่อยมันไป ไม่อยากจะย้อนกลับมา ดังนั้นจงมอบมันให้กับคนที่จำเป็นต้องใช้มัน…. “ฉันจะเก็บมันไว้ให้เอง” ยูตอบยูโกะ
ef – a tale of melodies. ก็มาถึงตอนที่ 10 แล้ว ก็เป็นอย่างคิดไว้ตั้งแต่แรกว่าน่าจะมีสักตอนนึงที่ย้อนความให้มิสึกิเต็มๆตอน เพราะจากในเกม เนื้อเรื่องของมิสึกิตอนเด็กนั้นก็เยอะอยู่พอสมควร แล้วก็เป็นอีกบทที่แยกจากกันไปเลย ในตอนนี้นั้นภาพของทั้งตอนถูกนำเสนอเป็นโมโนโทนที่มีสีอื่นแทรกนิดหน่อย (อยู่ลักษณะของ Gradient) มีคำโปรยด้านบนด้วยนะ ว่าตอนนี้ทั้งตอนจะเป็นโมโนโทน กลัวคนดูจะเข้าใจผิดคิดว่าทีวีพัง
มิสึกิในตอนเด็กนั้นมีชื่อว่ามิกิ พ่อแม่ของเธอพยายามฆ่าตัวตายพร้อมกันกับเธอ แต่ว่ามิกิกลับรอดมาได้ และถูกส่งมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่โอโตวะ ทางด้านของยูกับยูโกะ หลังจากที่ อามามิยะ อากิระ เสียชีวิตแล้ว ยูโกะได้มาอยู่ที่ห้องเช่าของยูแทน ชีวิตของทั้งสองคนมีความสุขอย่างเพียบพร้อม (แต่ผมสงสัยว่าอามามิยะมันออกจะรวย ได้เงินประกันมั่งใหม ได้สมบัติมั่งใหม ทำไมมาอยู่ห้องเช่ารูหนู) ยูเริ่มกลับมาวาดรูปและให้นางิช่วยสอน นางิก็สอนให้ด้วยเจตนาที่ดี ไม่มีความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง และก็ดูเหมือนว่านางิจะไม่รังเกียจยูโกะเท่าใหร่แล้ว ออกจะชอบที่น่ารักด้วยซ้ำ (ยูโกะนั้นไม่แน่ใจว่าออกจากโรงเรียนหรือเปล่า แต่บางฉากก็เหมือนว่ายังใส่ชุดนักเรียน แต่นักเรียนหญิงอยู่กันก่อนแต่งตั้งแต่มัธยมปลาย ประเทศญี่ปุ่นนี่ยอดไปเลย) ยูหัดวาดรูปจนต้องกลับบ้านช้า ทำให้ยูโกะต้องเฝ้ารอทุกวัน ยูโกะได้พบกับมิกิที่โบสถ์ ยูโกะนั้นค่อยๆเปิดใจของมิกิที่ปิดอยู่ที่ละนิด จนทำให้มิกิกลับมาเป็นเด็กร่าเริงได้ ทั้งสองคนเล่นด้วยกันทุกวันระหว่างที่รอยูกลับมา วันนึง ทั้งสองได้รับจดหมายจากคุเซะว่าจะกลับมาช่วงคริสมาส แต่ก็คงมาเยี่ยมไม่ได้เพราะว่ามีเดทกับสาวๆ ในวันคริสมาส ยูสัญญากับยูโกะว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน ระหว่างที่ยูโกะรอยูอยู่ที่น้ำพุใกล้โบสถ์ ยูโกะเห็นลูกบอลลูกนึงกลิ้งมา พอเธอเดินไปเก็บก็กลับโดนรถชน ยูที่เจอกับมิกิระหว่างทางพอมาถึงก็พบเพียงร่างไร้วิญญาณของยูโกะ
นี่เป็นการสรุปเรื่องราวย่ออีกครั้ง บรรยากาศในตอนนี้หากไม่นับเรื่องสีและตอนท้ายแล้วถือว่ามีความอิ่มเอมมาก ทุกคนมีความสุข หลุดพ้นจากความทุกข์ที่ฉุดรั้ง ยูได้อยู่กับยูโกะ ยูโกะได้อยู่กับยู ไม่มีอามามิยะมาหลอกหลอน ไม่มีการกดขี่ทางเพศในครอบครัว นางิเลิกยึดติดในตัวยู และก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน มิกิที่ดูปิดกั้น ก็ได้ยูโกะมาแง้มหัวใจจนทำให้มีความสุขได้อีกครั้ง คุเซะได้พบกับมิกิเพื่อปูทางไปสู่บทสรุปในตอนถัดไป และทุกอย่างก็จบลงในตอนท้าย ยูโกะตายด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน สารภาพตามตรงว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าใหร่ ภาพตอนที่ดอกไม้หล่นแล้วเพลง ebullient future ดังขึ้นก็สะเทือนใจอยู่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะประทับใจกว่านี้ มันยังมีหลายๆอย่างที่ขัดใจอยู่
อย่างแรกก็คือจุดแตกต่างระหว่างเกมและอนิเม จริงอยู่ที่แม้มันจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่ก็ควรจะลองเปรียบเทียบกันดู ในอนิเมะนั้นมีหลายช่วงที่เสริมเข้ามา และก็มีหลายช่วงที่โดนตัดไปเช่นกัน รายละเอียดเล็กน้อยจะขอข้ามไปเลย จุดเด่นๆที่แตกต่างอย่างแรกก็คือคุเซะที่กลับมาในช่วงคริสมาส และได้พบกับมิกิโดยบังเอิญ คุเซะยังได้มัดผมให้กับมิกิอีกด้วย จุดนี้นั้นไม่มีในเกม ความเห็นส่วนตัวของผมนั้นฉากนี้จะไม่มีก็ได้ เพราะส่วนสำคัญของเนื้อหาคือการได้พบกับยูโกะมากกว่า พอได้พบกับคุเซะด้วยทำให้รู้สึกเหมือนโดนยัดเยียดมากไป เพราะหลายๆอย่างนั้นเหมือนกับว่าพยายามยัดเข้าไปเพื่อให้เป็นปมจนเกินพอดี
อีกจุดสำคัญก็คือฉากรถชน ในเกมนั้นยูโกะช่วยมิกิไว้จึงถูกรถชน แต่ในอนิเมนั้นถูกชนเฉยๆแบบไม่มีใครรู้ใครเห็นเลย ถ้าถูกชนเพราะว่าช่วยมิกิไว้นั้นจะดูมีความหมายมากกว่าในแง่ของความรู้สึก พอถูกชนเพราะว่าอุบัติเหตุเฉยๆก็เลยให้มันดูลอยๆ เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย แม้ว่าจริงๆแล้วอุบัติเหตุมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากนัก เพราะมันคืออุบัติเหตุ แต่ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นมันมีผลกระทบต่ออย่างอื่น เช่นช่วยชีวิตของมิกิไว้ มันก็ทำให้ผู้ชมมความรู้สึกร่วมมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร การขมวดปมเรื่องด้วยอุบัติเหตุรถชน เป็นเรื่องที่ตกยุคเป็นอย่างยิ่ง จริงอยู่ว่ามันเกิดได้จริง แต่ว่ามันเป็นการขมวดปมของเรื่องที่น่าเบื่อเป็นที่สุด
หลังจากยูมาพบร่างของยูโกะ เครดิทท้ายตอนเป็นภาพของยูอุ้มยูโกะเดินไปตามทางโดยมีมิสึกิเดินร้องไห้ ถ้ามันเป็นฉากสั้นๆก็ยังพออนุโลม แต่ฉากนี้นั้ยาวทั้งช่วงเพลงจบ อยากจะขอเตือนว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุนั้น กรุณาเรียกรถพยาบาลให้เร็วที่สุด อย่าพยายามเคลื่อนย้ายคนเจ็บ เพราะบางครั้งการเคลื่อนย้ายที่ผิดวิธีนั้นอาจจะทำให้อาการบาดเจ็บหนักกว่าเดิมได้ ก็เลยทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่ายูมันจะอุ้มยูโกะไปใหนวะ ผมตั้งข้อสังเกตว่าที่โอโตวะนั้น หลังจากเหตุการภัยพิบัติ ทำให้สวัสดิการทางด้านสาธารณสุขมีปัญหาขาดแคลน ทำให้ไม่สามารถเรียกรถพยาบาลได้ ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือในเวอร์ชั่นเกม หลังจากยูโกะโดนรถชนเพราะว่าช่วยมิกิไว้ ยูโกะพยายามคลานเข้าไปในโบสถ์เพื่อสวดภาวนา มิกิก็เอาแต่ร้องไห้ จนกระทั่งยูมาพบยูโกะเลือดโทรมกายในโบสถ์ และยังได้สั่งเสียกันอีก นี่ก็เป็นจุดพิสูจน์อีกครั้ง โอโตวะมีปัญหาขาดแคลนโรงพยาบาลจริงๆ ยูโกะมีเวลามากขนาดเข้าโบสถ์ไปภาวนา (หรือไปเซพ?) แต่กลับไม่เรียกรถพยาบาล เพราะอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเรียกไปก็มาไม่ทัน หรือโรงพยาบาลอาจจะเตียงไม่พอ ไม่มีทางรอดอยู่ดี ดังนั้นเมืองที่ตั้งใจจะสร้างขึ้นมานั้น คงจะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโรงพยาบาลเป็นแน่แท้
ก็แซวเล่นๆนะ อย่าจริงจัง ข้อสังเกตอีกอย่างก็คือยูโกะนั้นอาจจะท้องอยู่ด้วย ทั้งในเกมและอนิเม ในเกมจะชัดเจนกว่า แต่ในอนิเมจะไม่พูดถึงเลย แต่ฉากสุดท้ายยูโกะนั้นกุมท้องไว้เล็กน้อย แต่ก็เพียงการคาดเดาเท่านั้น ในอนิเม จากความต้องการสุดท้ายของยูโกะที่อยากจะพบยูอีกครั้ง ทำให้เกิดปาฏิหารย์ในวันคริสมาส ยูโกะได้กลับมาจากสวรรค์(?) เพื่อทำตามความต้องการสุดท้าย นั่นก็คือเฝ้ารอที่จะได้พบกัยยูอีกครั้ง
อย่างที่รู้กันว่ามิสืกิก็คือมิกิ ซึ่งก็เคยพบกับยูโกะมาแล้วในตอนเด็กๆ ถ้าสังเกต ตั้งแต่ภาค memories นั้น มิสึกิไม่เคยได้พบกับยูโกะเลย แต่คนอื่นทุกคนนั้นได้พบแล้ว(นับจากในเกมด้วย) ก็เพราะเป็นปมของมิสึกิที่ทิ้งไว้นั่นเอง มิกิเมื่อหลังจากยูโกะเสียชีวิต เธอได้ถูกรับไปเลี้ยงโดยครอบครัวนึง (ญาติของเรนจิ) และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นมิสึกิเพื่อเป็นตัวแทนของลูกสาวที่ตายไปของครอบครัวนั้น ซึ่งหมายความว่ามิสึกินั้นก็อยู่ในสถานะเดียวกับยูโกะเช่นกัน แต่ว่าเธอไม่ได้โชคร้ายเหมือนยูโกะ มิสึกินั้นเคยพบกับเรนจิแล้ว และดูเหมือนว่าเธอจะเป็นรักแรกของเรนจิด้วย ถ้าวัดกันจริงๆแล้วทั้งเรนจิและมิสึกิก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ว่ามีสถานะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันอยู่เฉยๆ
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นที่อุทิศแด่ยูโกะและมิกิ แต่ตัวละครที่ผมชอบที่สุดกลับเป็นนางิ จะเรียกว่าหลังจากดูมา 10 ตอนแล้ว ตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดก็คือนางิ(ที่หัวไม่เถิก)เลยก็ได้ ในตอนนี้นางิสนิทกับยูแบบเพื่อนได้อย่างน่ารัก สามารถหยอกยูให้หัวปั่นได้ด้วยวิธีประหลาดๆ แถมพอยูขอให้ถอดเสื้อผ้าก็ยังเขินอีกด้วย ในช่วงท้ายตอนเธอก็ยังแสดงสปิริตของผู้หญิงที่ดี ไม่มีริษยายูโกะเลยแม้แต่น้อย ชีวิตจริงจะมีผู้หญิงอย่างงี้ใหมเนี่ย…. อีกช่วงที่ชอบก็คือการหลอกล่อของยูโกะให้มิกิติดกับ ยูโกะเล่นกับเด็กได้น่ารักมาก มีลูกล่อลูชนหลากหลาย แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่มีความสุขของยูโกะได้เป็นอย่างดี
เฉลยออกมาค่อนข้างชัดเจนกับเพลงสุดท้าย moon filled sky (จันทร์กระจ่างฟ้า ฮา) เพลงที่แต่งโดยยูโกะ ทำนองโดยคุเซะ และอุทิศแด่มิสึกิและความรักในโลก เพลงนี้นั้นจะเป็นเพลงที่ดีมาก แต่ด้วยเหตุผลเดิม เพราะว่ามิสึกิเป็นคนร้อง จึงทำให้ความไพเราะของเพลงด้อยลงไปทันที 50% ขอร้องละครับ… อย่าให้เธอร้องเพลงอีกเลย ได้ยินผมบ้างใหม
endcard

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *