212 | ef – a tale of melodies. | 09. return

ในห้องแห่งนึงที่มีแสงลอดผ่านมาเล็กน้อย บรรยากาศอึมครึม ข้าวของเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายไปทั่ว พู่กันและแปรงตกอยู่บนพื้น บนโต๊ะมีที่เขี่ยบุหรี่ที่อัดแน่นไปด้วยก้นบุหรี่ ชายคนนึงนั่งอยู่ที่นั่น อามามิยะ อากิระ นั่งอยู่ในห้องนั้น รอบๆตัวเขาเต็มไปด้วยภาพวาดเด็กคนนึง ภาพที่วาดยังไม่เสร็จ ใบหน้าของของเด็กในภาพนั้นว่างเปล่า

ที่โรงเรียนโอโตวะเวลาเลิกเรียน เสียงกริ่งดังขึ้น อามามิยะ ยูโกะ กำลังเดินอยู่ที่ระเบียง แต่จู่ๆนางิก็เรียกเธอไว้ แล้วถามถึงยูซึ่งไม่มาโรงเรียนหลายวันแล้ว ที่บ้านก็ไม่อยู่ นางิคิดว่ายูโกะน่าจะรู้บ้างว่ายูอยู่ที่ใหน แต่ยูโกะกลับตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าเธอนั้นไม่รู้เรื่อง นางิเลยบอกว่ายูโกะก็เพิ่งหยุดเรียนไปเหมือนกันนี่ วันเดียวกันกับวันแรกที่ยูหายไป ยูโกะชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังคงบอกว่าไม่รู้และเดินจากไป นางิวิ่งมาดักด้านหน้ายูโกะ แล้วบอกว่าเธอนั้นพูดจาอ้อมค้อมไม่เป็นก็เลย ก็เลยอยากจะพูดตรงๆดีกว่า “อย่าทำให้ยูเสียใจ” เพราะว่ายูโกะเป็นคนเดียวที่จะทำให้เขามีความสุขได้ นางิขอร้องกับยูโกะ

09. return
“รุ่นพี่ฮิมูระกำลังเสียใจ.. นี่ใข่สิ่งที่ฉันต้องการหรือเปล่านะ” ยูโกะถามกับตัวเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่วางแผนไว้ตั้งแตกแรกเหรอ แต่…ทำไมกันนะ… อีกด้านนึง ยูที่ยังคงเก็บตัวอยู่ในอพาร์ทเมนท์คนเดียว ก็กำลังโทษตัวเองที่ไม่ยอมรับยูโกะเป็นน้องสาว “ฉันต้องการจะล้างแค้นกับรุ่นพี่ฮิมุระ” ยูโกะยังถามกับตัวเองอีกครั้ง ทั้งสองต่างเฝ้าถามคำถามกับตัวเอง ต่างฝ่ายต่างโทษตัวเอง ยูโกะต้องการให้ยูที่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ได้ลิ้มลองรับรู้ความเจ็บปวดของเธอบ้าง ยูโกะนั้นเพียงแค่อิจฉายู จึงทำให้เธอเคียดแค้นยู ส่วนยูไม่สามารถรับยูโกะเป็นน้องสาว ก็เพราะเขาไม่สามารถลืมน้องสาวจริงๆของเขาได้ และเพราะเรื่องนั้นจึงนำพาโชคร้ายมาสู่ยูโกะ ในที่สุดทั้งสองก็ได้ตระหนักว่าได้ทำผิดซึ่งกันและกัน และมองหาหนที่ที่จะชำระล้าง แก้ไข ในสิ่งที่เกิดขึ้น ยูต้องการจะช่วยยูโกะ และอยากจะยอมรับในความรู้สึกที่มีต่อยูโกะให้เร็วกว่านี้ และยูโกะก็จะยอมรับความจริงที่เธอนั้นไม่ได้ต้องการจะเป็นน้องสาวของยูหรอก ยูโกะไม่เคยคิดเลยว่าจะรักยูมากขนาดนี้… ยูที่ใตร่ตรองจนรอบคอบแล้วก็ลุกขึ้น ปิดสมุดเสก็ตที่เขาวาดและออกมุ่งหน้าทำตามที่ตัวเองต้องการ

ออกจะเวลาค่ำสักเล็กน้อย ฝนตกพรำๆ ยูโกะกลับมาบ้านช้ากว่าที่เคยเล็กน้อย อามามิยะพี่ชายของเธอก็รอเธออยู่ จังหวะที่ยูโกะเดินผ่าน เขาสังเกตเห็นรอยเลือดบนถุงมือของยูโกะจึงออกปากถามว่ามันคืออะไร เพราะบาดแผลนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหายูโกะและตบหน้าเธอจนล้มลงกับพื้น อามามิยะจิกผมยูโกะกระชากขึ้นมาแล้วถามว่าทำร้ายตัวเองหรือไง คิดจะทำอะไรน่ะ คิดว่าทำผิดบาปต่อหมอนั่นหรือไง ยูโกะขอโทษ แต่อามามิยะก็ตบเธออีกครั้ง แล้วบอกว่าไอ้หมอนั่นน่ะ(ยู)ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเขาเลย อายามิยะกอดยูโกะไว้แล้วปลอบประโลมว่ายูโกะไม่ได้ทำอะไรผิด แผ่นดินไหวนั่นต่างหากที่ผิด แผ่นดินไหวนั่นพรากเอาน้องสาวของเขาไป แต่อามามิยะก็แสดงความโกรธแค้นออกมาใส่ยูโกะ เพราะว่าแต่แล้วทำไมยูโกะถึงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่ดูคล้ายคลึงกันขนาดนั้น แล้วทำไมน้องสาวของเขาถึงต้องเป็นคนที่ตายด้วย ทำไม!

“เพราะว่าโชคร้ายไงหล่ะ”
ยูปรากฏตัวขึ้นขัดขวางอามามิยะที่กำลังทำร้ายยูโกะ เขาบอกว่าที่น้องสาวของอามามิยะและน้องสาวของเขาเองที่ตายไปก็เพราะโชคร้าย มันก็เท่านั้น อามามิยะบอกว่ารู้แล้วน่า แต่ว่าแกน่ะยอมรับมันได้ใหม ยูบอกว่าเขาก็ยอมรับมันไม่ได้เหมือนกัน แต่เราจะทำอะไรได้อีกล่ะนอกจากจะยอมรับมัน อามามิยะปฏิเสธไม่ยอมรับมัน และพูดว่าเราจะต้องถูกพันธนาการด้วยสิ่งนี้ไปจนกว่าจะตาย ยูเถียงว่าไม่ใช่พันธนาการซะหน่อย เราอดทนมันต่างหาก ฉันต้องอดทนต่อการสูญเสียอากานะ(น้องสาว)เพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไป อามามิยะเดินตรงไปหายูแล้วตบหน้าเขาพร้อมกับไล่ให้ออกไป “นายกับฉันมันคนประเภทเดียวกัน” อามามิยะพูดขึ้น ยูที่กำลังจะเถียงกลับโดนหมัดของอามามิยะเข้าเต็มหน้าจนล้มลง ข้าวของในกระเป๋ากระเด็นออกมา อามามิยะกระทืบเขาซ้ำหลายต่อหลายครั้ง ยูโกะพยายามเข้ามาห้าม พร้อมกับหยิบมีดเล่มนั้นของเธอออกมาจากกระเป๋าชี้ไปที่อามามิยะ มือของยูโกะสั่นไหว ยูที่เจ็บอยู่พยายามห้ามยูโกะ อามามิยะหยุดและมองไปที่ยูโกะ เขาสังเกตเห็นสมุดสเก็ตภาพของยูที่กระเด็นออกมาจากกระเป๋า อามามิยะคิดว่ายูไม่วาดภาพอีกแล้ว จึงหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา “มนุษย์น่ะ ไม่ว่าจะพยายามขนาดใหนก็ไม่สามารถล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองต้องการได้หรอก รูปที่นายวาดน่ะเป็นสิ่งพิสูจน์ได้อย่างดี” อามามิยะพูดไปพลาง แล้วเขาก็เปิดดูภาพ แต่อามามิยะกลับกลับมีสีหน้าตื่นตระหนก ทำไมนายวาด… ทำไม อามามิยะพูดซ้ำไปมาด้วยน้ำเสียงสับสน แล้วเขาก็หยิบสมุดเล่มนั้นวิ่งไปยังห้องของเขา ยูและยูโกะตามไปก็พบว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยภาพของเด็กคนนึงที่คล้ายคลึงกับยูโกะ “ใช่แล้วหล่ะ มันเป็นภาพของน้องของเขาที่ตายไป” ยูโกะพูดกับยู เว้นแต่เสียว่าส่วนใบหน้าของทุกภาพนั้นยังไม่ถูกวาดลงไป อามามิยะที่คลุ้มคลั่งกำลังใช้พู่กันวาดรูปลงไปอย่างเร่งรีบ ใบหน้านี้หล่ะ ความรู้สึกนี้หล่ะ อามามิยะพูดซ้ำไปซ้ำมา ยูเดินไปที่ภาพเขียนรูปนึงและกำลังจะหยิบขึ้นดู อามามิยะที่หันหลังให้กลับตวาดเขาด้วยเสียงอันดังและไล่ให้ออกไป ท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำรามราวกับว่าตอบรับความโกรธเกรี้ยวของอามามิยะ

008 : wir :
ยูโกะพายูไปทำแผลที่ห้องของเธอ ยูนึกว่าอามามิยะจะไม่วาดรูปอีกแล้ว ยูโกะบอกว่าไม่ใช่ว่าไม่วาด แต่วาดไม่ได้ต่างหาก อามามิยะไม่สามารถวาดรูปใบหน้าของน้องสาวเขาได้อีกเลยนับตั้งแต่เมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหว เขาจึงล้มเลิกการวาดไป บ่อยครั้งที่เขาขังตัวเองเพื่อวาดรูป แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยเสียงคร่ำครวญของเขาทุกที …เขาเป็นคนที่น่าสงสาร…. ยูโกะเอ่ยถึงพี่ชายของเธอ แต่ยูก็ยังคงคาใจและรับไม่ได้ในสิ่งที่เขาทำกับยูโกะอยู่ดี ยูโกะหันมาถามยูว่าในสมุดสเก็ตภาพเล่มนั้น เขาวาดอะไรลงไป…

อามามิยะราดน้ำมันลงไปทั่วห้องของเขา “อยากพบเธอจังเลย อยากพบเธอจังเลย” อามามิยะคร่ำครวญ ขอโทษนะที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว แต่จากนี้จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วหล่ะ อามามิยะจุดบุหรี่ของเขาขึ้นเหมือนอย่างเคย แต่หลังจากสูบเข้าไปหนึ่งครั้งเขาก็ทิ้งมันใส่น้ำมันที่ราดเอาไว้ ไฟลุกขึ้นมาทันทีและลามไปอย่างรวดเร็ว ยูกับยูโกะที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงผิดปกติจึงรีบออกมาดู พบเพลิงลุกไหม้ทั่วห้อง อามามิยะนั่งกอดภาพวาดอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงร้อนแรง ยูจะตรงเข้าไปหาอามามิยะ แต่ยูโกะรั้งมือของยูไว้ เปลวเพลิงโหมแรงขึ้นเรื่อยๆ อามามิยะก็ยังคงอยู่ตรงนั้นมี สีหน้าของเขาพึงพอใจ ผืนผ้าใบและข้าวของเป็นเชื้อไฟอย่างดี ทำให้เพลิงโหมกระหน่ำ ไม่ว่าจะมีดของยูโกะ หรือนาฬิกาของยู ก็ตกอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น เพลิงที่แผดเผาทุกสิ่ง

ฟันเฟืองของนาฬิกาก็ยังคงทำงานไปเรื่อยๆ วันเวลาผ่านไปไม่รู้ว่าเนิ่นนานขนาดใหนแล้ว คุเซะยังคงอยู่คนเดียว ทุกอย่างก็จัดการไปเรืยบร้อยแล้ว ไม่เหลืออะไรให้จัดการอีกแล้ว ถ้าฉันตายไปก็จะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีใครเสียใจ ไม่มีใครร้องไห้ ไม่มีใครรู้สึกผิด ค่อยๆหายไปจากความทรงจำของทุกอย่างช้าๆ คุเซะพึมพำกับตนเอง ยูก็ไปจากเขาแล้ว นางิก็เช่นกัน แต่คุเซะก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่หรือ ฉันไม่สามารถมอบความสุขให้ใครได้อีกแล้ว จะไม่ยุ่งกับเรื่องที่ตัวเองจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน แค่รอคอยให้ตอนจบมาถึง ไม่มีใครจะไขลานนาฬิกาได้อีก แต่ความเร็วของตุ้มนาฬิกาก็ไม่ได้เร็วขึ้นเลย คุเซะไม่เข้าใจตัวเอง ถึงจะมีเวลาเหลืออยู่อีกไม่มาก แต่การรอคอยก็ราวกับว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด

032 : einpragsame :
มิสึกิที่กำลังเศร้าหมอง นั่งเหม่อลอยอยู่ที่สถานีรถไฟ เธอฮัมจังหวะเพลงไวโอลินของคุเซะในลำคอไปมา แต่จู่ๆเธอก็พลันนึกอะไรขึ้นมา “ความกล้าหาญที่จะมีชีวิต…” มิสึกิร้องขึ้นด้วยจังหวะเดียวกับเพลงไวโอลินของคุเซะ ระหว่างที่มิสึกิกำลังนึกอยู่นั้น ก็มีเสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น “มิสึกิจังใช่ใหมคะ?” จิฮิโระได้โผล่มาพอดีพร้อมกับคำทักทายอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ทั้งมิสึกิและเคย์ต่างก็มาช่วยกันให้กำลังใจกับมิสึกิ เคย์ที่เป็นคนใจร้อนบอกให้พูดไปเลยว่าเกลียดแล้วก็ล้มเลิกไปเลยดีกว่า จิฮิโระแย้งว่ามันยากนะ เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วจิฮิโระก็ไม่สามารถบอกว่า “ฉันเกลียดเธอ” กับเรนจิคุงได้ นั่นเป็นเรื่องโกหกเดียวที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ เคย์จึงได้พอเข้าใจขึ้นมา มิสึกิเหม่อจนไม่ได้ฟังที่ทั้งสองคนพูดเพราะว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จิฮิโระหยิบกุญแจขึ้นมาดอกนึงและมอบมันให้กับมิสึกิ “ถ้าอยากให้ความฝันเป็นจริง เราต้องมีความฝันซะก่อน” เราจะไม่สามารถก้าวไปได้ถ้าเราไม่ยอมรับตวามรู้สึกตัวเองซะก่อน นั่นจึงทำให้เราไม่ยอมแพ้และยังปกปักความรู้สึกในหัวใจไว้ เขาบอกว่านี่เป็นก้าวแรกของการทำให้ความฝันเป้นจริง จิฮิโระท่องสิ่งนี้ทุกเช้าเสมอ จิฮิโระจับมือของมิสึกิและมอบกุญแจให้ นี่เป็นกุญแจของดาดฟ้าโรงเรียนโอโตวะ เครื่องรางคุ้มครองจากรุ่นพี่ฮิมุระ จิฮิโระบอกว่าเธอและเรนจิได้รับพรจากสิ่งนี้มากมาย เคย์พอได้ยินเธอก็หยิบกุญแจขึ้นมาอีกดอกเช่นกัน มันเป็นกุญแจดาดฟ้าโรงเรียนโอโตวะที่ญี่ปุ่น เครื่องรางคุ้มครองทีได้จากรุ่นพี่สึสึมิ เคย์คิดว่าเธอไม่จำเป้นต้องใช้มันแล้วจึงมอบให้มิสึกิอีกอันหนึ่ง มิสึกิหยิบกุญแจสองดอกขึ้นมาเพ่งด้วยสีหน้าสงสัยเล็กน้อยแลถามว่าคนปกติเขาใข้ของแบบนี้เป็นเครื่องรางคุ้มครองกันด้วยเหรอ ทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกัน จิฮิโระบอกว่าแต่อย่างนี้ต้องมีผลเป็นสองเท่าแน่นอน เคย์บอกว่าถึงจะเป็นของมือสองแต่ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่นะ มิสึกิไม่ค่อยเข้าใจเท่าใหร แต่ว่าก็ขอบคุณทั้งสองคน และยังขอกระดาษจากสมุดบันทึกของจิฮิโระมาแผ่นนึง และใช้ดินสอเขียนอะไรลงไปยุกยิกยุกยิก

034 : Wahrscheinlich
คุเซะที่อยู่คนเดียวเพื่อรอคอยความตายยังคนสับสนกับตัวเอง ทำไมถึงกลัวหล่ะ มันออกจะยอดเยี่ยมนี่นา ไม่ใช่ฉันเหรอที่ต้องการทำทุกอย่างให้มันจบ ใช้ความพยายามไปตั้งมากมาย แล้วตอนนี้ยังกลัวอะไรอยู่อีก มือของคุเซะสั่นเทา เสียงนาฬิกาดังขึ้นทำเอาคุเซะตื่นตระหนก หยิบยาออกมามากมาย “ยาที่เอาไว้ยืดชีวิต…ทำไมถึงยังต้องกินมันอยู่อีก” คุเซะจะปายาลงบนพื้น แต่ว่าก็กระทำไม่ได้ สุดท้ายก็กินมันลงไป คุเซะฟุบลงกับอ่างล้างหน้า “ฉันไม่อยากตาย”

ทำไมกัน กลัวอะไรอยู่อีก ทำไมถึงสั่น ไม่ใช่ว่าหนีไปจากทุกอย่างแล้วเหรอ หน้ากากของคุเซะส่งเสียงหลอกหลอนถามเขาวนเวียนไปมา คิดว่าจะหนีไปได้เหรอ คิดว่าจะชนะได้เสมอเหรอ รู้ใหมว่านายน่ะแพ้ไปตั้งแต่ตอนที่คิดเรื่องแพ้ชนะแล้ว คุเซะปฏิเสธภาพหลอนในหัวของเขา เพราะว่ารัก จึงทำให้เศร้าหมองเวลาที่ต้องพรากจากคนที่รัก ถ้าไม่อยากจะเศร้าหมอง ก็จงอย่ามีความรัก นายจะเจ็บปวดถ้าตกหลุมรักใครสักคน แต่จะไม่เจ็บปวดอะไรเลยถ้าคนอื่นตกหลุมรักนาย “ใช่! แล้วมันผิดตรงใหน!?” คุเซะเถียงกลับ ฉันก็มีความสุขกับมันดี ไม่ได้ทำให้ใครเจ็บปวด ไม่มีใครทำให้ฉันต้องเจ็บปวด ทุกอย่างมันก็ไปได้ดี แต่ทำไม…ทำไม…ถึงได้ทรมาน ภาพของมิสึกิแว๊บเข้ามาในหัวของเขา “นี่ฉันแพ้แล้วเหรอ” คุเซะถามกับตัวเอง ฉันได้หนีจากหลายสิ่งหลายอย่าง การอยู่คนเดียวมันไม่ได้ง่ายเลย ฉันกลัว…. ฉันเหงา…. เพลง ไวโอลิน คนที่ฉันรัก ฉันสูญเสียทุกอย่างไป! ไม่เหลือใครอีกแล้ว ฉันกลัว ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว ทันใดนั้นก็มีเสียงออดดังขึ้น คุเซะเดินไปที่ประตู พบจดหมายฉบับนึงเสียงอยู่ตรงซอกประตู จดหมายนั้นจ่าหน้าว่า “จดหมายท้าดวล” คุเซะมีรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แล้วก็เปลี่ยนเป็นน้ำตาใหลออกมา จากนั้นเขาก็หัวเราะ…และร้องไห้ไปพร้อมกันๆ คุเซะทรุดตัวลงและร้องไห้ ประตูบานนั้นกลับเปิดขึ้น….

ระฆังของโบสถ์ดังขึ้น มิสึกิถือดอกไม้ช่อนึงและยืนอยู่หน้ารูปปั้นพระแม่ ยูถามมิสึกิว่าอะไรอีกเหรอ มิสึกิบอกว่าเธอนั้นต้องการความกล้า ยูสงสัย..จากใครรึ มิสึกิเล่นน้ำเสียงและบอกว่าจากใครสักคนที่ยูไม่รู้จัก ยูบอกว่าในเมืองนี้ไม่มีใครที่เขาไม่รู้จัก “ที่จริงเธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก สิ่งนี่สำหรับใครสักคนที่ชื่อว่า อามามิยะ ยูโกะ … จริงๆแล้วต้องมอบให้เธอวันที่ 25 นะเนี่ย” มิสึกิหันมายิ้มกับยู ยูตกตะลึงกับคำพูดของมิสึกิ “เธอ….เธอคือ….”

ef – a tale of melodies. ก็ได้มาถึงตอนที่ 9 แล้ว สำหรับตอนนี้ หลังจากที่ยูและยูโกะได้ใตรตรองจนตัดสินใจได้ ก็เป็นการปิดฉากตัวร้ายสุดวิปริตอย่าง อามามิยะ อากิระ ลงอย่างอลังการ เนื้อหาหลายส่วนได้ถูกดัดแปลงจากเวอร์ชั่นต้นฉบับไป แต่ก็จัดว่ามีความลงตัวในตัวของมันเองอยู่ ในบทของมิสึกิก็ยังเป็นการตอกย้ำความรู้สึกที่แท้จริงของคุเซะต่อมุมมองต่างๆ ส่วนมึสึกิก็ได้รวบรวมความกล้าหาญจากผู้คนรอบด้าน และตัวมืสึกิเองก็ได้รำลึกถึงความทรงจำในอดีตที่หลงลืมไป
ขึ้นมาได้ เธอจึงนำดอกไม้มาเคารพยูโกะที่โบสถ์ของโอโตวะ
ฉากเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ประจำตอนก็คือฉากจุดจบของอามามิยะ หลังจากโชว์เทพจัดการทั้งยูและยูโกะด้วยวิธีที่เหนือชั้น จนเหมือนว่าทุกๆอย่างอยู่ในกำมือแล้ว แต่จู่ๆพอเจอคีย์ไอเท็มจากยูก็กลับกลายเป็นคลุ้มคลั่งทำลายตัวเองไปซะงั้น ยอมรับว่าฉากเพลิงใหม้นั้นทำได้ดี สีหน้าและอารมณ์นั้นมีพลังดี อย่างไรก็ตามหลายๆอย่างในตอนนี้นั้นก็ดูไม่สมเหตุสมผลเท่าใหร่ อย่างแรกก็อามามิยะที่จู่ๆสติแตกเผาบ้านตัวเองแค่เพราะเห็นรูปของยู ก็เข้าใจว่าการที่ยกตัวละครให้ซับซ้อน และร้ายกาจจนทำให้หาทางออกยาก หากใช้วิธีปกติก็ทำให้เสียคุณค่าไป บ้ามาแล้วก็ต้องบ้าให้สุดทางไปเลย ความเข้าใจของผม สาเหตุที่ทำให้อามามิยะเกิดบ้าขึ้นมาก็คือภาพในสมุดของยู ภาพนั้นเป็นภาพของยูโกะที่ยูวาดขึ้นจากการก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดของการสูญเสียน้องสาว อามามิยะที่อยู่ในลักษณะเดียวกัน ก็รู้สึกได้ถึงเหตุผลอันนั้น แม้จะไม่ยอมรับโดยตรง แต่ก็อาศัยพลังที่เกิดขึ้นผลักดันให้ตัวเองเดินหน้าหาจุดจบที่ตัวเองเฝ้าคอย

อีกจุดนึงที่ค่อนข้างคาใจก็คือในเวลาที่อามามิยะนั้นเผาบ้านของตัวเองทิ้ง ก่อนหน้านั้นฉากที่ยูโกะกลับมาบ้านนั้นท้องฟ้าอึมครึมและฝนตกเล็กน้อย (ได้ยินเสียง) และฉากที่อามามิยะตะคอกไล่ยูกลับนั้นฉากหลังก็เป็นท้องฟ้าแปรปรวน แสดงว่าช่วงเวลานั้นหรือก่อนหน้านั้นมีฝนตกลงมา ต่อให้อุปกรณ์วาดภาพจะไวไฟขนาดใหน ถ้าสภาพแวดล้อมอับชื้น ไฟมันก็ลามได้ยาก คงไม่ร้อนแรงแบบในเรื่อง แต่เอาน่า หยวนๆก็แล้วกัน ยังไงฉากไฟใหม้ก็ทำได้เท่และแนวสมเป็น Shaft จริงๆ
ถ้าเปรียบเทียบจุดแตกต่างในตอนนี้ระหว่างเกมต้นฉบับและอนิเม คงจะเรียกได้ว่าแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ในเวอร์ชั่นเกมนั้นอามามิยะไม่ได้ตายด้วยซ้ำ หรือเทียบตั้งแต่ตอนที่แล้วยูโกะก็ไม่เคยหนีไปกับยู ก็หมายความว่าอามามิยะไม่เคยไปตามกลับมา ในเวอร์ชั่นเกม หลังจากที่ยูและยูโกะได้ใตร่ตรองจนรอบคอบแล้วทั้งคู่ก็ตัดสินในเผชิญหน้ากับอามามิยะ สถานที่ก็เป็นในเมืองโอโตวะธรรมดา ไม่ได้คุยกันในบ้านอันใหญ่โต และพอยูโกะรวบรวมความกล้าเผชิญหน้ากับอามามิยะ และหยิบมีดของเธอออกมา อามามิยะก็ยอมรับความจริงและปล่อยยูโกะให้กับยูไป และเรื่องราวก็จบลง อีกจุดที่แตกต่างแต่ว่าไม่สำคัญก็คือมีดของยูโกะ มีดของยูโกะในเกมนั้นเป็นมีดธรรมดา ปลอกทำด้วยไม้ แต่มีดในอนิเมนั้นเป็นเหล็กดัดสวยงามวิจิตร จนไม่รู้ว่าพกไว้ในกระเป๋าได้ไง รูปร่างก็ไม่น่าจะใช้เป็นอาวุธได้เลย
ในที่สุดอนิเมก็เริ่มเปิดเผยถึงที่มาของตัวอักษรคั่นภาษาเยอรมันที่แทรกไว้ในช่วงต่างๆสักที ถ้าอ้างอิงจากแบ็คกราวด์ของเพลงเปิดที่เป็นเพลง Yūkyū no Tsubasa กับ Euphoric Field ที่ถูกแปลเป็นภาษาเยอรมัน ก็คงพอจะเดาได้ว่าตัวอักษรคั่นนี้ก็น่าจะเป็นเพลงอะไรสักเพลง และมันก็ใช่จริงๆ เพลงที่มิสึกิฮัมออกมาในตอนนี้ ความหายตรงกับตัวอักษรคั่นชุดแรก ทั้งหมดนี้จะเป็นเนื้อเพลงที่อยู่ในความทรงจำของมิสึกิ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่อยากให้มิสึกิเป็นคนร้องเลยจริงๆ….
และในที่สุดมันก็มาอีกแล้ว Single เพลงปิดชุดสุดท้ายที่บรรจุเพลง Negai no Kakera (เศษเสี้ยวของคำขอร้อง) ที่ร้องโดย อามามิยะ ยูโกะ (นาคาจิมา ยูมิโกะ) ไว้ ซิงเกิลนี้มีชื่อเต็มว่า ef – a tale of melodies. ENDING THME ~Fine By Amamiya Yuuko ในแผ่นนั้นก็มีอยู่สองเพลง เพลงแรกที่เป็นเพลงปิดนั้นก็ได้ฟังกันไปแล้วในตอนที่ผ่านๆมา สำหรับเพลงเต็มก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันเท่าใหร่ เพลงร้องโดยให้ความรู้สึกเหมือนยูโกะตอนเด็ก มีการดัดเสียงสูง ไม่ได้ไพเราะถูกใจเป็นพิเศษ แต่ว่าก็ไม่ได้แย่ (แย่กว่ามิสึกิก็ไม่ควรร้องเพลงแล้วนะ) ที่รอจริงๆก็คือเพลงที่สอง ebullient future ซึ่งร้องโดยยูโกะต่างหาก ในภาค Memories ผมค่อนข้างพอใจเพลง Yūkyū no Tsubasa ที่ร้องโดยนาคาจิม่า ยูมิโกะ อยู่พอสมควร เพราะจัดว่าเป็นเพลงปิดที่ร้องได้เป็นเพลงที่สุดในเรื่องแล้ว (สามสาวนั้นได้โปรดอย่า…) แต่ ebullient future ในซิงเกิลนี้กลับเป็นการร้องโดยดัดเสียงเป็นยูโกะตอนเด็กอีกแล้ว แถมยังรีมิกส์ให้เป็นเพลงช้าอีกด้วย ก็เลยทำให้ผิดหวังพอสมควร เพราะนึกว่าจะได้ฟังเพลงแรงๆเร็วๆ แบบ Yūkyū no Tsubasa อีกสักครั้ง
กุญแจทั้งสองดอกที่ส่งผ่านกันมา ในที่สุดก็ได้ตกมาถึงมือของมิสึกิ เพื่อรวบรวมพลังและกำลังใจให้เธอ กุญแจดอกแรกซึ่งเป็นกุญแจดาดฟ้าของโอโตวะที่ญี่ปุ่น ยูโกะได้มาจากรุ่นพี่ชมรม ยูโกะเมื่อคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้วก็มอบมันให้กับยู นับจากส่วนนี้ไปผมมีข้อมูลไม่เพียงพอ แต่คิดว่ายูน่าจะมอบกุญแจโอโตวะที่ญี่ปุ่นให้กับนางิอีกที แล้วนางิจึงมอบมันให้กับฮิโระ น้องชายของเธอ แล้วฮิโระก็ส่งต่อให้มิยาโกะ แล้วก็ให้เคียวสุเกะ เคย์ ตามลำดับ จนสุดท้ายก็มาถึงมือของมิสึกิ ส่วนอีกดอกนั้นเป็นกุญแจโอโตวะออสเตรเลีย ยูเป็นผู้ที่มีความสำคัญมากกับโอโตวะที่ออสเตรเลีย (ในไม่ช้าเรื่องราวก็จะบอกเอง หรือจะเดาว่ายูเป็นโอตาคุโอโตวะก็ได้นะ) เขาจึงมีกุญแจดาดฟ้าโอโตวะที่นั่นด้วย และเขาก็ยกมันให้กับจิ​ฮิโระ และจิฮิโระก็ให้กับมิสึกิอีกที ข้อมูลตรงนี้เรียบเรียงตามความเข้าใจ อาจจะมีผิดถูกได้ก็ตามแต่
คุเซะเป็นคนที่ถูกล้อมรอบด้วยความรักเสมอ ในตอนนี้เราก็ได้รู้ว่าเขานอกจากจะไม่ยอมเล่นในเกมที่ไม่ชนะแล้ว เขายังกลัวการผิดหวังอีกด้วย คุเซะไม่ยอมที่จะรักคนอื่นเพราะว่ากลัวที่จะผิดหวังเมื่อสูญเสียความรัก ยอมเพียงแต่ให้คนอื่นรักเขาเท่านั้น เกมที่ไม่มีทางชนะนั้นสำหรับคุเซะก็อาจจะรวมถึงเรื่องความรักด้วย หากไม่เข้าร่วมก็จะไม่มีทางพ่ายแพ้ แต่ในเวลาที่คุเซะกำลังอ่อนแอ มิสึกิได้ปรากฏตัวขึ้นมาในชีวิตของเขา และเขาก็ตกหลุมรักมิสึกิ นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้ต่อความเชื่อของเขาที่เคยยึดชูมา คุเซะไล่ยูและนางิ เพื่อนที่สำคัญที่สุดของชีวิตออกไปด้วยคำพูดทีแดกดัน แต่เมื่ออยู่คนเดียวเขากลับกลัวยิ่งกว่าเดิม อะไรอะไรก็ไม่เป็นไปตามที่เขาคิด และยิ่งสำหรับเรื่องความตายของชีวิตที่คืบคลานเข้ามา ทำให้คุเซะยิ่งขังตัวเอง ปิดกั้นจากทุกสิ่งเข้าไปอีก

ฉากคุเซะถกเถียงกับตัวเอง มีช๊อตนึงพื้นหลังเป็นสีฟ้าแล้วตัวคุเซะเป็นสีดำ ใครที่เคยดูภาค Memories มาแล้วคงจะพอนึกออก กับส่วนหนึ่งของตอนที่กระชากใจที่สุด ช่วงที่เรนจิเริ่มกลัวในความไม่ปกติของจิฮิโระ เขาถามคำถามตัวเองเหมือนกับที่คุเซะถามในตอนนี้ เทคนิคภาพทั้งสองช๊อตนี้เป็นแบบเดียวกัน ต่างกันแค่สีพื้นหลังเท่านั้น
จุดยังเกตอีกจุดนึงก็คือซีนมิสึกิกับจิฮิโระและเคย์ จิฮิโระนั้นเป็นคนทักมิสึกิก่อน จิฮิโระทักด้วยรูปประโยคสุดคลาสสิคที่ว่า “มิสึกิใช่ใหมคะ” ซึ่งแม้จะเป็นการทักทาย แต่ก็เป็นการยืนยันว่าคู่สนทนานั้นเป็นบุคคลตามที่เข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าไดอารี่ของจิฮิโระไม่ได้มีภาพประกอบ ตอนที่เธอทักเรนจิก็ทักด้วยประโยคลักษณะนี้ ก็เป็นการยืนยันท้ายที่สุดแล้วจิฮิโระก็ไม่ได้หายจากโรคความจำสั้นของเธอ แต่จิฮิโระและเรนจิก็สามารถเอาชนะมันได้ ว่าแต่ทำไมจิฮิโระใช้คอมพิวเตอร์เป็น อันนี้ก็สงสัยอยู่
ใน Part C ที่เป็นฉากมิสึกินำช่อดอกไม้มามอบให้ก้บยูโกะ เป็นการบอกใบ้ว่าในตอนหน้าจะเป็นการส่งต่อเรื่องราวระหว่างมิสึกิกับยูโกะ ฉากนี้ส่วนนึงเป็นฉากเปิดในภาคเกม ตัวเกม ef – the latter tale นั้นจะดำเนินเรื่องไปตามบทของจิฮิโระ และต่อด้วยบทของมิสึกิ พอถึงช่วงท้ายซึ่งมีเนื้อหาคล้ายคลึงกับช่วง Part C ของตอนนี้ หลังจากมิสึกิและยูโกะวางดอกไม้ไว้ เกมก็จะพาเราก็จะเข้าสู่เนืื้อเรื่องของยูโกะ โดยเนื้อเรื่องก็จะเหมือนกับเนื้อหาในบทของยูโกะในอนิเม ซึ่งเวอร์ชั่นอนิเมนั้นก็นำเสนอส่วนนี้มาพร้อมๆกันตั้งแต่แรกแล้ว สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างยูโกะกับมิสึกิสองคนนี้ ในตอนหน้าก็จะได้รู้กัน
สำหรับ Endcard ในตอนนี้เป็นภาพวาดของ ชินโด เคย์ ซึ่งวาดโดย Kobayashi Jin ผู้วาด School Rumble นั่นเอง ตัว Kobayashi Jin นั้นได้รู้จักกับ Shaft ผ่านทางมังงะอีกเรื่องนึงของเขาที่ชื่อ Natsu no Arashi ซึ่งก็จะถูกสร้างเป็นอนิเมชั่นโดน Shaft นั่นเอง จึงทำให้รู้จักและได้มาเขียน End Card ให้ พาสเวิร์ดสำหรับตอนที่ 9 นี้คือคำว่า QUARTZ อยู่ที่นาฬิกาในช่วงของคุเซะ ส่วนตอนที่ 8 นั้นไม่มีพาสเวิร์ด เป็นการเลือกตอบคำถามแทน ซึ่งก็เดามั่วได้ ในตอนหน้า ef – a tale of melodies. จะเป็นเรื่องในอดีตระหว่างอามามิยะ ยูโกะ และ ฮายามะ มิซึกิ และชีวิตของพวกยูหลังจากที่ อามามิยะ อากิระ ตายไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *