คราวนี้จะเขียนรวบสองวันเนื่องจากมันเกี่ยวพันกัน บอกก่อนว่าเป็นคอนเทนท์ระทึกขวัญ ประสบการณ์ขึ้นรถพยาบาลในต่างแดน ส่วนตัวพยายามเล่าให้ไม่น่ากลัว อย่างตอนเกิดเหตุก็ไม่ได้โพสต์ลงโซเชียลเพราะกลัวจะตกใจกัน แม้ว่าสุดท้ายแล้วไม่มีอะไร(มั้ง) แต่ถ้ามองย้อนกลับไปนี่โคตรอันตรายเลย…
เรื่องมันเกิดในวันที่จะต้องลงจากชิโกกุคาร์ส ผมรีบออกแต่เช้าเพราะ พยากรณ์อากาศบอกว่าสายๆ ฝนจะตก แน่นอนว่าเมื่อวานขึ้น 1,000 เมตร วันนี้ก็ต้องลง 1,000 เมตร ผมกลัวล้มอยู่แล้วและถ้าฝนตกโอกาสล้มมันจะเยอะขึ้นมาก พอออกจากแคมป์ไปก็ลงเขายาวๆ ถนนค่อนข้างคดเคี้ยว จึงปั่นค่อนข้างช้า เบรคตลอด ฝนตกปรอยๆ ถนนไม่ถึงกับลื่น ผ่านไปราวๆ 20 กิโล ก็พ้นออกมาเข้าถนนปกติได้
พอถึงคุมะโคเก็นก็แวะกินราเมงแล้วไปต่อ ออกไปหน่อยนึงก็เจออุโมงค์ยาว 3 กิโล ซึ่งดูแล้วมันไม่มีไหล่ทาง จักรยานเข้าไปไม่ได้ ตอนจะเข้าไปรถที่วิ่งสวนมาก็เปิดไฟสูงบอกว่าอย่าเข้าไปรัวๆ ก็เลยย้อนกลับไปอีกทาง ถนนตรงนี้เป็นถนนเก่าก่อนจะตัดอุโมงค์ พอตัดอุโมงค์คนก็ไปทางนั้นหมด รถจึงน้อยมาก พักตรงศาลาตรงทางแยกแป๊บนึงค่อยไปต่อ ตอนแรกก็เป็นขาขึ้นยาวพอสมควร จากนั้นก็เริ่มลงยาว (ผมถ่ายวิดิโอไว้ด้วย) จากนั้นก็ภาพตัด
เคยเห็นในหนังป่ะที่มีภาพมุมมองสายตาพื้นเอียงๆ มีแว่บขึ้นมาแบบนั้นเลย… ลืมตามามีลุงอ้วนๆ หัวโล้นคนนึงมีผมคนนึง ยืนโทรศัพท์อยู่ ในหัวมันสับสนปนเปไปหมด ผมค่อยๆ ทำความเข้าใจ นี่กุอยู่ที่ไหน… ทำอะไรอยู่วะ พอมองเห็นจักรยานก็ค่อยเข้าใจว่าตอนนี้อยู่ญี่ปุ่นและล้ม ส่วนล้มยังไงจำไม่ได้เลยสักนิด ตาลุงอ้วนนั่นขับรถมินิทรัคชนกุป่ะวะ มินิทรัคนี่ได้ไปต่างโลกหรือเปล่า… ที่พื้นใกล้ๆ มีเลือดอยู่กองนึง(เล็กๆ) เลือดใครวะ เลือดกุแน่เลย… ตอนนั้นในหัวคิดออกแค่นี่กี่โมงแล้ว ต้องรีบไปห้องที่ Iyo ก่อนบ่ายสาม แล้วก็รีบลุกขึ้นสำรวจอาการ
หัวเข่าซ้ายกับต้นขาเจ็บนิดหน่อย ด้านขวาใต้ราวนมเจ็บนิดๆ ยืนได้ พอไหวมั้ง ก็รีบยกจักรยานจอดให้เรียบร้อย เก็บของที่หล่นๆ แล้วลุงที่ยืนดูอยู่ก็มาทำมือให้ใจเย็นๆ แล้วบอกว่ารถพยาบาลจะมาใน 15 นาที ตอนนั้นเริ่มมึนๆ นิดหน่อยเลยนั่งก่อน แล้วพอจับหัว อ้าวสัส มีเลือดด้วยเว้ย… ลุงอีกคนเอาทิชชู่มาให้ซับ เลือดออกเยอะพอสมควร แต่ไม่ได้น่ากลัวแบบเสื้อกลายเป็นสีแดงอะไรแบบนั้น หลังจากเอามือจับๆ หัวซับเลือดแล้วเจอร่องบนหัวก็ทำความเข้าใจได้ว่า อีแบบนี้แย่แล้วนี่หว่า ไม่ใช่อะไรที่ฮึดๆ แล้วลุยต่อไปได้…
เรื่องตลกคือซับแล้วทิชชู่แดงๆ ก็หล่นอยู่ ลุงแกก็กลับไปที่รถเอาถุงกระดาษมาเก็บเศษทิชชู่เปื้อนเลือดไม่ให้สกปรก ขอโทษครับที่ทำสกปรก แต่งวดนี้ไม่ไหวจริงๆ…
นั่งแป๊บเดียวรถพยาบาลก็มา ไวจังวะไหนบอกสิบห้านาที คันนี้ของกุแน่เหรอ(ฮา) เขาก็มาดูๆ ตอนแรกจะให้นอนรถเข็นแต่ผมยังเดินได้ ก็กะเผลกๆ ไปนั่งในรถ เขาก็มาทำแผลเอาผ้ามาปิดๆ แล้วก็นั่งคุยกัน ตอนแรกจะให้ทิ้งจักรยานไว้นี่แล้วค่อยกลับมาเอา ผมบอกว่าแล้วกุจะกลับมาเอายังไงวะ เขาก็มองหน้ากัน… โอเค เอ็งเอาจักรยานขึ้นรถพยาบาลมาก็ได้…
ระหว่างนั่งบนรถพยาบาล(ยังจอดอยู่ที่เดิม)ตำรวจก็มา เขามาถามว่าล้มยังไง มีใครทำหรือเปล่า ผมก็บอกไปตรงๆ ว่ากุก็ไม่รู้… กุจำไม่ได้ แต่คิดว่าล้มเองแหละ ตำรวจให้นามบัตรมาแล้วบอกว่าออกจากโรงบาลให้โทรไปหาหน่อย (แน่นอนว่าผมไม่ได้โทรไป) จากนั้นก็นั่งรถพยาบาลตรงดิ่งไปโรงพยาบาลในมัตสึยามะทันที ผมเปิด Strava ที่เอาไว้ track ข้อมูลไว้ รถวิ่งเร็วมาก ถ้วยเด้ง ทำสถิติใหม่รัวๆ เลย 555
พอถึงโรงบาลเขาก็พาไปหาหมอหนุ่มๆ คนนึง เขาดูแป๊บนึงก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้ไป CT แสกน แล้วก็เย็บแผล ผมก็เดินตามพยาบาลไปห้อง CT สแกน พอแสกนเสร็จชันตัวลุกขึ้นมานี่หัวหมุนไปหมด เลยต้องนั่งรถเข็นกลับไป หมอบอกว่าสแกนแล้วสมองไม่มีปัญหา แล้วก็นอนตะแคงให้หมอเย็บแผล มีหมอแก่กว่ามาช่วยดู บอกตรงๆ เลยว่าแผลไม่เจ็บเลย ตั้งแต่ตอนอยู่บนรถพยาบาลแล้ว ตอนเย็บก็ไม่เจ็บ แต่มึนหัวเวลาลุกๆ นั่งๆ พอเย็บเสร็จพยาบาลก็พาไปนั่งรอที่เคาเตอร์แบบงงๆ…
ตอนแรกจะใช้ประกัน แต่รู้สึกจะวุ่นวายมาก พยาบาลก็บอกว่าจ่ายก่อนแล้วไปเคลมเอาเหอะนะ ผมก็เลยจ่ายก่อนไปก่อน เวลาจ่ายก็ต้องไปจ่ายที่ตู้ แปลกดีเหมือนกัน สิริรวมค่าเย็บแผลอยู่ที่ 26,000 เยน แต่มีประกัน ไว้ไปเคลมที่เมืองไทยอีกที ได้บัตรคนไข้โรงพยาบาลมาด้วย…
ทุกอย่างมันรวดเร็วมาก ผมล้มราวๆ เที่ยง บ่ายสองโมงครึ่งผมก็ยืนหัวเย็บสามเข็มอยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว พยาบาลที่มาส่งอวยพรอย่างมั่นใจว่า “Have a nice day” จนผมหัวเราะร่วนๆ แล้วรุ่นพี่อีกคนก็ดุแล้วเปลี่ยนเป็น 気を付けて แทน….
ยืนมึนๆ อยู่กลางมัตสึยามะ ฝนตกปรอยๆ เอาไงดีวะกุ แต่ยังไม่บ้าขนาดจะไปต่อให้ถึงห้องพักที่อิโยะคามินาดะ (อีกราวๆ 30 กิโล) เลยกะว่านอนในมัตสึยามะคืนนึงละกัน ก็วนๆ หาโรงแรมนอน หมอให้ใบจ่ายยามา บอกให้ไปยื่นให้ร้านขายยาจะได้ยามา เก็บของเสร็จก็ออกไปเดินหาร้านขายยา กุเดินรอบเมืองสามร้าน ไม่มีร้านไหนมียาให้เลย เห็นใจคนเจ็บหน่อยดิ ให้กุเดินทำไม…. พอเห็นว่าคืนนี้ว่างๆ เลยขนเสื้อผ้าไปร้านซักผ้าหยอดเหรียญ นั่งเล่น Arknights รอซักผ้าไป
พอกลับไปห้องลองสำรวจตัวเองอีกรอบ อาการตอนนั้นคือถ้าล้มตัวลงนอนแล้วบ้านจะหมุนได้ครับ หมุนอยู่สัก 15 วินาที ตอนลุกก็เช่นกัน หมุนอยู่ 15 วินาที ไม่แน่ใจว่าเพราะเสียเลือดหรือสมองกระเทือนหรือทั้งสองอย่าง ดูทรงว่าคงไม่ตายล่ะมั้งคืนนี้ ก็เริ่มเล่าให้กลุ่มเพื่อนฟังว่าเฮ้ยกุหัวแตกที่ญี่ปุ่นเว้ยยยยยย ได้นั่งรถพยาบาลด้วย 5555 แต่ไม่โพสต์พับลิคเพราะกลัวจะตกใจแล้วจะมีแต่คอมเมนท์เป็นห่วงรัวๆ
พอมาคิดๆ แล้วไอ้ที่น่ากลัวกว่าล้มหัวแตกก็ไอ้วันถัดมานี่แหละ หัวมีรู บ้านหมุนได้ หัวเข่าปูดกลม ผมออกตั้งแต่เจ็ดโมง ฝนตก ลมด้าน ขึ้นเนิน แล้วฝนก็ตกเกือบตลอดทาง จะใส่เสื้อกันฝนก็กลัวเกะกะ (แล้วจะเอามาทำไมวะ 5555) ระยะทางวันนั้นคือ 70 กิโล เจอทุกอย่างสมกับเป็นลาสต์บอส เนิน ลม ฝน อุโมงค์ รถบรรทุก แล้วถ้าไปถึงท่าเรือไม่ทันรอบบ่ายโมง จะต้องรอรอบห้าโมงแทน ซึ่งทำให้ถึงเบปปุดึกด้วย ฝนตกลมแรงรอบข้างไม่มีผู้คน เหนื่อยจนอยากตะโกน สะดุดฟุทบาทล้มโชว์โง่อีกหนนึง (ไม่มีใครเห็น) งวดนี้ใส่หมวกแน่นเลย กลัว… ล้มโง่ไม่แรง แต่ก็กระแทกอยู่ ข้อดีคือทำให้จำลองท่าล้มตอนที่ล้มแรงได้ด้วย มันต้องท่านี้แน่ๆ เข่าลงแบบนี้ ข้อศอกแบบนี้…
ระหว่างทางผ่านสถานีชิโมนาดะที่โด่งดังเรื่องความฮิป ก็จอดจักรยานแวะไปถ่ายรูป ปกติสถานีนี้ดังมาก คนมาถ่ายรูปลงอินตาแกรมเยอะ แต่วันนี้ค่อนข้างเช้าและฝนตก ก็เลยไม่มีคนเลย ใจจริงอยากถ่ายรูปสวยๆ อยู่ แต่สภาพร่างกายและบรรยากาศไม่เป็นใจ เลยถ่ายได้นิดเดียว (ตอนไปวัคคาไนก็แบบนี้ หรือนี่เป็นชะตากรรม…) ระหว่างทางฝนก็หยุดตก ฟ้าสวยมาก แต่สักพักก็ตกใหม่ 555 หลังจากลอดอุโมงค์สามอันที่มีลมต้านตลอดจนเหมือนเป่าแห้งจนเสื้อผ้าแห้ง ก็ถึงท่าเรือยาวาตาฮามะ จอดจักรยานปุ๊บพนักงานวิ่งมาถามเลยไปไหน แล้วพาไปซื้อตั๋วอย่างแล้วก็ปั่นขึ้นเรือไปแบบงงๆ อย่างรวดเร็ว…
ก็เป็นอันว่าสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้ ตามแผนจะอยู่อีกวันสองวัน แต่หลังจากนี้จะอยู่ที่เบปปุ กะว่าจะชิลๆ พักเหนื่อยก่อนจะนั่งเรือกลับโอซาก้า และด้วยสภาพตอนนี้ก็คงเปรี้ยวไปไหนมากไม่ไหว บนเรือก็คล้ายๆ เรือลำก่อนๆ มีที่พักผ่อนเลยกดราเมงมากับโค้กมานั่งกิน แล้วไปนั่งหลับริมหน้าต่าง (ไม่อยากนอนราบ กลัวลุกแล้วบ้านหมุน) ไม่นานนักก็ถึงเบปปุ
ที่พักคราวนี้เป็นเรียวกังยอดนิยมของคนไทย เพราะอยู่ใกล้สถานีและราคาไม่แพง ปั่นจักรยานจากท่าเรือไปราวๆ 15 นาที ตัวเรียวกังค่อนข้างอยู่ในหลืบ แต่มีแมวต้อนรับ ห้องสะอาดสะอ้าน จอดจักรยานจ่ายเพิ่ม 500 เยน มีเซ็ทอาหารเช้า มีออนเซ็น อย่างแรกที่ทำคือไปออนเซ็นก่อนเลย อาบแบบไม่สระผมเพราะหมอบอกว่าอย่าให้หัวโดนน้ำสักสามวันเป็นอย่างน้อย (ตอนนี้หัวสวมหมวกตาข่ายอยู่) อาบเสร็จก็นอนสลบแบบหมดสภาพ…
ประเด็นสำคัญมากสำหรับอุบัติเหตุครั้งนี้คือผมประมาท ใส่หมวกกันน๊อคแบบหลวมๆ ไม่ได้รัดคาง เพราะรัดแล้วมันคันเลยขี้เกียจ (ซึ่งทำแบบนี้มาตลอดทาง) พอลงเนินมาหลายครั้งไม่มีปัญหาก็ชะล่าใจเข้าไปอีก ตอนล้มที่มัตสึยามะผมก็ไม่รู้สาเหตุแน่นอน แต่คิดว่าคงสะดุดอะไรสักอย่างซึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย ตอนล้มหมวกก็กระเด็นหัวกระแทกพื้นสลบ ถ้าผมรัดแน่นๆ หมวกไม่หลุด ต่อให้ล้มก็แค่ลุกมากระเผลกๆ แล้วไปต่อ เพราะผมลงแบบไม่เร็วมาก 30 – 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น (แต่ถ้าล้มท่าอันตรายก็ไม่แน่) หรือแย่จริงๆ ก็อาจจะแขนขาหักอันนี้ก็อีกเรื่อง แต่ไม่สลบแน่นอน
เช็คจากที่ track ในแอป Strava ผมน่าจะหมดสติไป 7 นาที ถ้ามองให้โชคดี ก็คือโชคดีมากที่มาล้มตอนใกล้จะถึงตัวเมืองแล้ว ถ้าไปล้มสลบแถวๆ ที่ห่างเมืองกว่านี้ล่ะไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าเป็นยังไง…
ปล. ส้นทางวันนี้ทับซ้อนกับเรื่องซึซึเมะด้วยนะ ท่าเรือเดียวกันตรงไปมัตสึยามะเหมือนกัน แถวนั้นมีแต่สวนส้ม