203 | ef – a tale of melodies. | 04. turn

คุเซะนั่งอยู่คนเดียวในห้องที่มืดสลัว ในมือเขามีไวโอลิน ที่กล่องของมันมีริ้วรอยของการถูกเผา หลังจากที่มิสึกิพบเขาที่ชายหาดและพยายามดับไฟที่ไหม้ไวโอลิน คุเซะไปส่งเธอที่บ้าน “ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ได้โปรดเถอะ” คำพูดของมิสึกิวนเวียนอยู่ในหัวของเขา คุเซะเปิดเบียร์ดื่มกลางดึก ครุ่นคิดถึงคำพูดและการกระทำของเด็กผู้หญิงคนนั้น “มูพเมนท์ที่ 2 งั้นรึ….”

04. turn

ฮิโรโนะ ฮิโระ นั่งก้มหน้าก้มตาเขียนการ์ตูนอยู่ในห้องอย่างร้อนรน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ในสุดเขาก็หมดความอดทน เพราะงานของเขาไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จลงง่ายๆ ฮิโระส่งเมลไปหานางิ พี่สาวของเขาให้มาช่วย

000009 : umarmen : โอบกอด

วันรุ่งขึ้น คุเซะไปหามิสึกิที่บ้านของเรนจิ และได้พบว่าเธอนั้นเป็นหวัดอยู่ คุเซะซื้อไอศกรีมมาฝาก และขึ้นไปเยี่ยมมิสึกิก่อนค่อยขอตัวกลับ ในห้อง มึสิกินอนป่วยซมและไม่ได้สติ คุเซะนั่งที่เตียงแล้วบอกว่าเมื่อวานนี้เขาผิดเอง วันนี้ให้พักผ่อนเถอะ ระหว่างที่กำลังจะออกจากห้อง มิสึกิละเมอร้องให้ช่วยและกำมือของคุเซะไว้ คุเซะจึงจับมือตอบและทำให้มิสึกิรู้สึกตัว คุเซะทักทายและเรียกมิสึกิว่าเจ้าหญิง มิสึกิตอบกลับว่าไม่เป็นไรหรอก นางฟ้ากำลังยิ้มให้เธออยู่ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่คุเซะพูดกับเธอในสถานการณ์คล้ายคลึงกัน มิสึกิก็พยุงตัวลุกขึ้นและจูบกับคุเซะ… คุเซะเตือนว่าเดี๋ยวเรนจิเห็นหรอก แต่มิสึกิบอกว่าไม่เป็นไรหรอกนี่ถือว่าเป็นการผายปอด คุเซะทำท่าสงสัย มิสึกิยิ้มแล้วพูดว่าเมื่อวานนี้เป็นรางวัลและวันนี้ก็นับเป็นการผายปอด

000040 : wie : อย่างไร

ยูโกะวิ่งอย่างรีบเร่งเพราะนัดกับยูไว้แต่ว่าไปสาย ยูโกะอ้างว่าเธอตื่นสายเพราะว่าตื่นเต้น กว่าจะได้นอนก็เช้าซะแล้ว ยูโกะยังล้อเล่นกับยูเหมือนเดิมว่าเธอนั้นน่ารักอย่างที่คิดไว้เลยใช่ใหม แต่ยูไม่สนใจเท่าใหร่ ยูโกะชวนยูไปทานอาหารกลางวันแต่ยูแปลกใจเพราะนึกว่านัดมาซื้อรองเท้าด้วยกันเฉยๆ ยูจึงปฏิเสธแต่ยูโกะก็ดึงดันที่จะไปอยู่ดี

ทั้งสองคนแวะร้านอาหารริมถนนแห่งนึง ยูบอกว่าเขาไม่กินข้าวกลางวันเพราะว่าไม่มีเงิน ยูโกะจึงอาสาจะเลี้ยงแต่ยูก็ปฎิเสธและบอกว่าเขานั้นจัดการได้ ที่เก็บเงินไว้ก็เป็นค่าเล่าเรียน ทุกอย่างของเขาสูญเสียไปเพราะไฟไหม้ เขาต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างก็เลยอยากจะไปให้สูงที่สุดสุด ยูโกะชื่นชมจิตใจที่เข้มแข็งของยู แต่ยูกลับคิดตรงกันข้าม เพราะว่าเขาไม่มีสิ่งใดที่จะต้องปกป้องก็เลยมุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆต่างหาก ยูโกะจึงถามว่าไม่วาดรูปแล้วเหรอ ยูสงสัยว่ายูโกะโดนครูอามามิยะใช้มาสืบข่าวหรือเปล่า ยูโกะบอกว่าเธอแค่ชอบรูปที่ยูวาดต่างหาก แต่ยูก็บอกว่ามันเป็นการเล่นสนุกของเด็กต่างหาก รูปพวกนั้นกินไม่ได้หรอก ยูโกะทำท่าเข้าใจแล้วก็ชวนกันออกไปจากร้านอาหารทั้งที่ยังไม่ได้สั่งอาหาร โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อยูไม่กินเธอก็ไม่กินมั่ง สุดท้ายยูก็เลยต้องยอมกินข้าวกลางวันกับยูโกะ

000020 : Liebe : รัก

ยูโกะซื้อรองเท้าใหม่มาแล้ว เธอกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริงที่ชายหาด รองเท้าคู่ใหม่นั้นเหมือนกับรองเท้าคู่เดิมของเธอไม่มีผิด เธอบอกว่าเธอชอบคู่นี่ ยูถามว่ามันไม่ราคาถูกไปหน่อยเหรอ ยูโกะให้เหตุผลว่ายังไงมันก็อาจจะถูกกรีดอีก ยูเป็นห่วงยูโกะจึงถามว่าไม่คิดจะทำอะไรกับตัวการเหรอ ยูโกะก็พูดติดตลกว่าถ้าเกิดให้ยูไปขู่ พวกนั้นก็คงหวาดผวาไปทั้งชีวิตแน่เลย ยูเลยแกล้งขู่ยูโกะก่อน ยูโกะก็เลยทำเป็นตกใจและก็ร้องไห้บอกว่าแม้แต่รุ่นพี่ก็ยังมาแกล้งเธอด้วย ยูถามยูโกะตรงๆว่านี่เป็นวิธีการใช้ชีวิตของเธอเหรอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะสลัดมันทิ้งไปด้วยรอยยิ้มและก็แกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยูโกะคิดอยู่ครู่นึงแล้วจึงตอบว่าตอนนี้เธอมีความสุขดี เท่านั้นมันก็พอแล้ว อย่างน้อยวันนี้เธอก็ได้มาเดทกับรุ่นพี่ฮิมูระด้วย ยูนึกขึ้นได้จึงรีบปฏิเสธว่าไม่ได้มาเดทซะหน่อย แต่ยูโกะก็บอกว่าช้าไปแล้วหล่ะ อย่างน้อยเธอก็นับว่ามันเป็นเดทไปแล้ว นี่เป็นเดทครั้งแรกของรุ่นพี่ด้วยใช่ใหม ยูหมดทางจะเถียงก็เลยต้องยอมรับโดยสตุดี ยูโกะชวนยูไปที่แห่งนึง

000027 : es : สิ่ง

สถานที่นั้นคือโบสถ์เดิมที่ทั้งคู่เคยเล่นด้วยกันตอนที่ยังเด็ก ยูไม่ค่อยชอบที่จะมาที่นี่สักเท่าใหร่ เขาหยิบลูกบอลที่ตกอยู่ลูกนึงขึ้นมา มันคือบอลของเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำหล่นไว้ ยูโกะนึกถึงสมัยก่อนที่ยังเด็กมีเด็กผู้ชายคนนึงชอบแอบหนีไปเที่ยวบ่อยๆ ยูจึงพูดต่อว่าแล้วก็มีเด็กอีกคนนึงคอยตามเด็กผู้ชายคนนั้นไปทุกที่ ยูโกะยิ้ม “เป็นคู่หูผู้สมรู้ร่วมคิดที่น่ารักจังนะคะ”

000067 : Ich : ฉัน

ทั้งสองได้เข้ามาในโบสถ์ สถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย แต่ยูกับยูโกะได้พบกับครูอามามิยะพี่ชายของเธอที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่ได้ ครูอามามิยะประหลาดใจนิดหน่อยที่ยูโกะออกมาข้างนอก “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เองสินะ วัยรุ่นนี่มันดีจังเลยนะ” อามามิยะพึมพำ ยูรีบปฏิเสธว่าอย่าเข้าใจผิด ยูข้วางลูกบอลที่เก็บได้เข้าใส่ อามามิยะจึงรับไว้ ยูเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามว่าไม่คิดว่าครูอามามิยะเป็นคริสเตียน เขาตอบว่าเปล่า น้องสาวเขาต่างหาที่เป็นคริสเตียน แล้วก็ขว้างลูกบอลออกไปไกลเพื่อให้ยูโกะวิ่งไปเก็บ จังหวะที่ยูโกะวิ่งไปเก็บบอล ครูอามามิยะก็โผเข้ามาเกาะใหล่ของยูไว้ แล้วถามว่าคงยังไม่ได้ทำเริ่องมีมลทินกับยูโกะสินะ อยากจะขอเตือนไว้ว่าถ้าอยากเป็นเจ้าของยูโกะล่ะก็ขอให้เตรียมตัวไว้ด้วย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แฝงด้วยแววตาอันสะพรึงและบิดเบี้ยว “ถ้าหากแตะต้องตัวยูโกะโดยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อน ตัวเธอนั่นหล่ะที่จะต้องเสียใจอย่างแน่นอน” ครูอามามิยะพูดให้ยูฟังเบาๆ แล้วก็เดินไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่าไม่ว่าจะมีความตั้งใจอย่างไรเธอก็ได้ก้าวผ่านจุดเริ่มต้นไปแล้ว จากนั้นก็เดินออกนอกโบสถ์ไป ยูโกะรีบเข้ามาถามว่ายูว่าพี่ของเธอพูดอะไรกับยูมั่ง ยูบ่นว่าขอบล้อเล่นเหมือนเคยนั่นหล่ะ แล้วก็ถามว่ายูโกะเป็นคริสเตียนเหรอ แต่ยูโกะบอกว่าเปล่าเลย “เขาก็เหมือนกับรุ่นพี่นั่นหล่ะค่ะ.. น้องสาวของเขาตายตอนที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว..” ยูโกะบอกกับยู “เขาก็เป็นอีกคนนึงที่โศกเศร้า”

ระหว่างที่ยูกลับบ้าน นางิยืนรอเขาอยู่ ทั้งสองคนพักคุยกันที่ชิงช้าในสนามเด็กเล่น ยูถามนางิว่าวันหยุดยังใส่ชุดนักเรียนอีกเหรอ นางิเล่าให้ฟังว่าเธอไม่มีเสื้อผ้าส่วนตัวอื่นๆ เธออยู่กับน้องชายกับพ่อ ที่บ้านมีแต่ศิลปิน แล้วก็บอกว่าเมื่อตะกี้ครูอามามิยะไปที่บ้านของเธอ ครูอามามิยะเป็นลูกศิษย์ของพ่อเธอ บางครั้งก็จะมาเยี่ยม แม้ว่าเขาจะไม่ได้วาดรูปแล้วก็ตาม ครูอามามิยะวาดรูปไม่ได้ตั้งแต่ครั้งที่เกิดแผ่นดินไหว ยูฉุกคิดถึงเรื่องน้องสาวของเขา ครูอามามิยะและยูมีอะไรหลายอย่างที่ค้ลายคลึงกันเหลือเกิน นางิลุกขึ้นจากชิงช้าอย่างกระทัน แล้วก็พูดเหมือนอัดอั้นว่าเมื่อครู่ ครูอามามิยะบอวกว่าวันนี้ยูมาเดทกับยูโกะจริงเหรอ จริงๆแล้วไม่ต้องบอกเธอก็ได้แต่พอได้ยินก็สงสัยขึ้นมา เราเป็นเพื่อนกันแต่ก็ไม่ควรจะมีความลับกันนี่นา มันเกิดอะไรขึ้น นางิพูดออกมาไม่หยุดราวกับว่านี่ไม่ใช่ตัวเธอคนเดิม ยูยั้งให้เธอพูดช้าๆนางิจึงค่อยสงบลงได้ ยูจึงค่อยๆบอวก่าไม่ได้เดท แค่ไปซื้อของเฉยๆ ก็เหมือนที่ไปกับนางินั่นหล่ะ นอกจากนั้นแล้วนางิจะสนใจไปทำไม ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักหน่อย นางิชะงักแล้วบอกเธอเริ่มจะเกลียดยูเข้าแล้ว จากนั้นก็เดินจากไปในทันที ตัวตนบางอย่างของนางิกำลังขัดแย้งกัน

000018 : an : บน

ที่โบสถ์แห่งนึงที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ต่างสถานที่และวาระ ยูกับคุเซะกำลังคุยกันอยู่ คุเซะตำหนิยูที่หลอกล่อให้มิสึกิไปหาเขา ยูบอกว่าไม่ควรใช้คำว่าหลอกล่อ มันเป็นสิ่งที่มิสึกิเลือกเอง เขาแค่ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีให้คำแนะนำเท่านั้น แล้วยูก็ชวนคุเซะออกไปข้างนอกโดยให้เหตุผลว่าประกาศผลสอบแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะทำอะไรบางอย่างอยู่

ฮิโระกำลังวาดการ์ตูนอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้นางิ พี่สาวของเขาได้มาช่วยด้วย ดูเหมือนนางิจะช่วยได้มาก นางิถามว่าตรงนี้จะให้เธอวาดใหม แต่ฮิโระบอกว่าไม่ต้อง เขาจะเป็นคนวาดตัวละครเอง มันเป็นความภูมิใจของเขา นางิบอกคนที่ทำงานทันเวลาเท่านั้นจึงจะพูดประโยคนั้นได้ ฮิโระจึงรีบเอากระดาษมาวาดต่อ นางิยังพูดต่อว่าถ้ามีเวลาบ่นก็รีบๆวาดให้เสร็จสิ ถ้าไม่ทันจะให้เธอวาดหมดเลยก็ได้ ฮิโระบอกว่าจะจ่ายค่าจ้างที่เป็นผู้ช่วยให้ นางิบอกไม่ต้องเพราะเธอวาดมากกว่าฮิโระซะอีก ฮิโระเลยบอกว่างั้นใส่ตรง special thanks แทนแล้ว นางิก็บอกว่าไม่ต้องอีก เพราะว่าเธอแค่เลียนแบบสไตล์แย่ๆของเขา เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าเธอวาดได้แค่นั้นแล้วเธอจะรู้สึกแย่เปล่าๆ ฮิโระเลยหันมาเถียว่าเขาต่างหากที่รู้สึกแย่ นางิบอกให้ฮิโระอย่าหยุดวาด เดี๋ยวเธอต้องรีบไปออสเตรเลียด้วย นางิพูดต่อว่าไม่บอกเธอเลยที่เลิกเรียนแล้วตัดสินใจมาเป็นนักเขียนการ์ตูน ฮิโระรับว่าเขาผิดเอง แต่นางิบอกว่าไม่เลย เธอดีใจต่างหากที่ฮิโระตัดสินใจเองได้ มันเป็นความรับผิดชอบของฮิโระเอง ถึงเธอจะคอยช่วยเขา แต่คนที่ต้องอดทนก็คือตัวเขาเอง อดทนให้ถึงที่สุด นางิพูดด้วยสีหน้ามีความสุข ฮิโระดูจะประหลาดใจนิดหน่อย แต่จู่ๆก็มีเมสเซจเข้ามาที่โทรศัพท์ของฮิโระ นั่นเป็นเมสเซจจากมิยาโกะที่ส่งมาถามความคืบหน้า และก็ชวนออกไปข้างนอกกัน “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” ฮิโระครวญแล้วก็ส่งเมสเซจตอบกลับไป

“โทษที เดี๋ยวโทรกลับ” มิยาโกะอ่านข้อความในโทรศัพท์ เธอนั่งอยู่ดาดฟ้าโรงเรียนโอโตวะที่ญี่ปุ่น มิยาโกะบ่นว่าส่งข้อความก๊อปปี้แล้วก็แปะมาอีกแล้ว ไม่มีศิลปะเลย มิยาโกะโยนกุญแจที่ใช้เปิดชั้นดาดฟ้าขึ้นแล้วก็รับไว้ “วันนี้จะทำอะไรดีนะ” มิยาโกะก็ยังเป็นมิยาโกะคนเดิมที่อยู่นิ่งไม่ได้ “ไม่เป็นไรแล้วสินะ” เสียงที่คุ้นเคยของยูโกะถาม “มิยาโกะตอบว่าก็ไม่ใช่ว่าไม่เหงาหรอกนะ แต่มันเป็นงานที่ฮิโระตั้งใจและมุ่งมั่น เธอต้องคอยให้กำลังใจ ยูโกะบอกมิยาโกะเข้มแข็งจังเลย มิยาโกะอธิบาย ถ้าเกิดมีสถานที่ที่จะกลับไปแล้ว เราก็จะเข้มแข็งขึ้นมาได้ เมื่อตอนที่เธอไม่มีอะไรเลย เธอเคยคิดว่าตัวเองนั้นจะเข้มแข็งเพราะว่าเธอไม่มีสิ่งใดจะสูญเสีย… มิยาโกะมองไปที่กุญแจในมือ สิ่งนี้คงไม่จำเป็นอีกแล้วสินะ

000048 : mir : ฉัน

ที่ห้องของยู เขาเปิดลิ้นชักหยิบนาฬิกาเก่าๆเรือนนั้นออกมาดูอีกครั้ง นึกถึงภาพในอดีต นาฬิกาเรือนนั้นวางอยู่ในตู้โชว์ อากาเนะน้องสาวของเขามีท่าทางอยากได้ แม้ว่าจะปฏิเสธออกมา ยูจึงใช้เงินที่มีอยู่ซื้อให้ ตกกลางคืนอากานะแอบมานอนใต้ผ้าห่มเดียวกับของยูโดยอ้างว่ากลางคืนนั้นหนาว ที่ข้อมือของเธอก็ยังใส่นาฬิกาแม้ว่าจะเป็นตอนนอน อากาเนะรู้ดีว่ายูใช้เงินที่จะเอาไปซื้ออุปกรณ์วาดภาพมาซื้อนาฬิกาให้เธอ อากาเนะจึงขอบคุณยูและบอกว่าจะดูแลเป็นอย่างดี คืนนั้นเองได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอย่างรุนแรง ข้าวของหล่นกระจัดกระจาย อากาเนะเรียกหายู แต่บ้านได้ถล่มลงมา ไฟลุกลามไปทั่ว เสียงร้องเรียกหาพี่ของอากานะยังคงดังกึกก้อง ภาพนาฬิกาที่ไหม้ไฟยังคงติดตาอยู่…. กลางดึกยูโกะ กำลังถือห่ออะไรบางอย่างอยู่คนเดียวกลางดึก ในห้องที่มืดสลัว ยูโกะมองไปที่ประตู ครูอามามิยะ พี่ชายของเธอยืนสูบบุหรี่อยู่ ยูโกะพูดอะไรบางอย่างท่ามกลางบรรยากาศที่เลวร้าย….

000022 : Fingerspitzen : รอยนิ้วมือ

ยูมาส่งคุเซะที่ห้องหลังจากเสร็จธุระ คุเซะให้ยูรีบกลับไปดีกว่าเพราะจิฮิโระจังรออยู่ แต่ยูรู้สึกผิดสังเกตจึงถามคุเซะว่ามีอะไรหรือเปล่า คุเซะจึงขอปฏิทินหน่อย ยูถามคุเซะว่ากลัวหรือเปล่า ภาพของห้องสีแดงสด หน้ากากประหลาดประดับอยู่บนกำแพงมากมาย คุเซะยกมือของเขาขึ้น “แน่นอนสิ ฉันกลัว” คุเซะวาดมือออก ตัวหนังสือบนพื้นดำเขียนว่า “อย่าพูดทั้งๆที่ยิ้มสิ” คุเซะหัวเราะอย่างน่าสยดยสองท่ามกลางหน้ากากมากมาย ความตาย…อย่างไรก็คือสิ่งที่มนุษย์กลัวเป็นที่สุด

คุเซะกับมิสึกิกำลังออกไปข้างนอกด้วยกัน มิสึกิขอโทษที่เมื่อวานไม่สบาย แต่คุเซะก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะเขาเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอไม่สบาย มิสึกิถามว่าเมื่อวานนี้คุเซะทำอะไร คุเซะหยอกด้วยการบอกว่าคิดถึงมิสึกิทั้งวันเลยทำเอาเธออายจนทำอะไรไม่ถูก คุเซะขอแวะเอาไวโอลินที่ไหม้ไฟไปซ่อมก่อน

ที่ร่มไม้แห่งนึง คุเซะนอนหนุนตักมิสึกิ เธอบอกว่าเวลาทำแบบนี้แล้วรูสึกเหมือนชนะแล้วเลย แต่คุเซะบอกว่าถ้าผู้ชายมาเห็นคงจะโมโหน่าดู มิสึกิเลยบ่นว่าไม่โรแมนติคเลยเป็นนักดนตรีแท้ๆ คุเซะปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นนักดนตรีแล้ว มิสึกิจึงถามว่าถ้างั้นเราเป็นเหมือนคู่รักทั่วไปได้หรือเปล่า แต่คุเซะก็ปฏิเสธอีกว่าเราไม่ได้เป็นคู่รักกัน มิสึกิมีสีหน้าเศร้าลงแล้วถามว่า..ถ้างั้นเราจะเป็นคู่รักกันได้ใหม คุเซะหลับตาลงแล้วพูดช้าๆว่าเขานั้นกำลังจะตาย มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ตอนนี้คงเป็นเวลาเดียวที่เขาจะทำแบบนี้ได้ มิสึกิสงสัยว่าทำไมถึงแค่ตอนนี้ คุเซะจะเขาโรงพยาบาลเหรอ แต่คุเซะก็เล่าต่อว่าบางครั้งเขาก็ต้องชำระล้างทุกอย่างให้ถึงที่สุด อย่างแรกก็คือสิ้นสุดความสัมพันธ์ทุกอย่าง จากนั้นก็มีงานเอกสารมากมายที่เขาต้องจัดการก่อนที่จะตาย และไวโอลินอันนั้นจะเป็นสิ่งสุดท้าย มิสึกิขอถามอะไรบางอย่างว่าคุเซะนั้นมีคนที่คบด้วยอยู่หรือเปล่า คุเซะตอบว่ามี เขาก็รักเธอมากและเราก็หมั้นกัน…..และนั่นก็เป็นสาเหตุที่เราเลิกกัน น้ำตาของมืสึกิร่วงหล่นลงบนแก้มของคุเซะ…พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ “ฝนตกตอนที่แดดออกด้วยหรือเนี่ย” คุเซะพูด

มิยาโกะที่ทำอาหารมาฝากยืนอยู่หน้าห้องของฮิโระ หลังจากกดกริ่งคนที่ออกมากลับไม่ใช่ฮิโระแต่เป็นนางิ หลังจากทักทายกัน มิยาโกะฝากอาหารเย็นที่ทำมาให้กับฮิโระด้วย ฮิโระนั้นสลบไปทันทีหลังจากที่ทำต้นฉบับเสร็จ นางิชวนมิยาโกะทานข้าวด้วยกัน แต่มิยาโกะให้ฮิโระนอนพักผ่อนไปดีกว่า เพราะว่าฮิโระต้องจ่ายค่าความช่วยเหลือนี้ตลอดทั้งชีวิตอยู่แล้ว นางิยิ้มและรับคำเป็นอย่างดี

ร่มไม้นั้น คุเซะนอนหลับอยู่ มิสึกิจ้องมองใบหน้าของเขา ยูที่แวะมาก็ประหลาดใจเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุเซะไม่ระวังตัวขนาดนี้ ยูเตือนมิสึกิว่าเมื่อรู้ถึงโรคของคุเซะแล้ว ถ้าหากยังถลำลึกลงไปสิ่งที่น่ากลัวจะต้องเกิดขึ้นกับเธอ มิสึกิเข้าใจแต่ว่าเธอก็ต้องทำอะไรสักอย่าง “มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถทำเครื่องหมายเลือกวันตายของตัวเองลงบนปฏิทินได้” ยูพูด คงจะดีกว่าจู่ๆก็หายไปหรือว่าเป็นแค่เรื่องตลกร้าย มิสึกิถามว่าทำไมฮิมุระถึงได้ดูสงบนัก “เพราะว่าฉันเคยตายมาแล้ว” ยูตอบมิสึกิด้วยน้ำเสียงเรียบ เมื่อครั้งแผ่นดินไหวเหรอมิสึกิถามต่อ ยูพยักหน้าเป็นคำตอบ เมื่อคุ้นเคยแล้วจะกลัวน้อยลงเหรอ? ไม่เลย กลับจะมากน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อสัมผัสกับความเจ็บปวด ก็จะรู้สึกราวกับว่าจะแตกสลายหากไม่ยิ้มเอาไว้ แต่ฉันก็ได้พบกับผู้ที่เอาชนะความเจ็บปวดนั้นมาแล้วที่เมืองนี้… ยูรู้สึกผิดที่ทำให้มิสึกิต้องรับรู้ความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น แต่มิสึกิกลับขอบคุณ ยูเดินจากไปพร้อมกับบอกมิสึกิว่าถ้าเปลี่ยนใจก็มาอัดเขาได้เลย มิสึกิเรียกยูไว้และขอร้องให้อวยพรอะไรก็ได้ให้หน่อย ยูยิ้มนิดๆแล้วบอกว่าเขาไม่ใช่บาทหลวงและก็ไม่ใช่คริสเตียนด้วย แต่มิสึกิบอกว่าเหมาะออกจะตาย ยูเลยทำท่าวาดมือไปมา(…เรียกว่าอะไร)แล้วอวยพรว่าขอให้พลังจงสถิตย์อยู่กับท่านซึ่งเป็นประโยคในเรื่อง Star Wars มิสึกิงงๆว่ามันคืออะไร ยูจึงบอกว่า อะไรบางอย่างที่เหนือกว่าพระเจ้ายังไง

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ลมอ่อนๆพัดไปในทุ่งหญ้า คุเซะที่นอนหนุนตักเรียกมิสึกิจังที่เผลอหลับไป พอตื่นมิสึกิที่พบว่าตัวเองเผลอหลับไปก็รีบถามว่ามีฝนตกตอนที่แดดออกอีกหรือเปล่า เพราะว่าเวลาเธอหลับแล้วน้ำลายมักจะใหล คุเซะที่นอนตรงนั้นก็อาจจะ… คุเซะเลยแกล้งบอกว่างั้นจะทำเป็นไม่เห็นแล้วกัน อนาคตมิสึกิจังอยากจะเป็นอะไรล่ะ คุเซะถามมิสึกิ มิสึกิเองก็ไม่รู้แต่เธออยากมีความสุข คุเซะลุกขึ้นจากตักของมิสึกิแล้วพูดว่าว่าเขาก็ชอบมิสึกิเหมือนกัน พอมิสึกิได้ยินก็มีสีหน้าดีใจ แต่คุเซะยังพูดต่อว่าดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นได้ “กลับไปซะ..แล้วอย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีก” คุเซะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและดุดัน

ห้องของคุเซะที่เงียบสงัด คุเซะใช้ปากกาวงรอบวันที่ 24 บนปฏิทิน “ฟิเน่”

มาถึงตอนที่สี่แล้วสำหรับ ef – a tale of melodies. เรื่องในตอนนี้ทั้งส่วนของมิสึกิและของยูโกะนั้นมีน้ำหนักพอๆกัน ส่วนของมิสึกินั้นจะเดินไปอย่างรวดเร็วแต่ส่วนของยูโกะนั้นจะเก็บรายละเอียดไว้อย่างครบถ้วน โดยตัวอนิเมชั่นนั้นได้มีการเพิ่มเนื้อหาเข้าไปเพื่อให้เราได้พบเจอตัวละครเก่าจากภาค Memories อีกด้วย

หลังจากมิสึกิได้เตะไวโอลินของคุเซะตกทะเล ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดูใกล้ชิดกันมากขึ้น ทุกๆอย่างเหมือนจะเป็นไปในทางที่ดี แต่คำว่า “ความตาย” นั้นมันลึกล้ำและน่าหวาดกลัวเกินกว่าจะลบมันทิ้งไปได้ง่ายๆ ในบทของยูโกะ ฮิมูระ ยู และ อามามิยะ ยูโกะ ก็เริ่มจะสนิทสนมกันมากขึ้น ยูเริ่มสัมผัสได้ว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มของยูโกะนั้นจริงๆแล้วเป็นการเสแสร้ง หรืออาจจะไม่ใช่เสแสร้งแต่ก็เป็นการปกปิดอะไรบางอย่าง คำพูดสนุกสนานที่ใช้หลีกเลี่ยงปัญหาและสิ่งที่เธอไม่อยากบอกนั้นเป็นสิ่งที่ยูยากจะรับมือ ครูอามามิยะเริ่มเปิดเผยให้เห็นตัวว่าเขานั้นอึมครึมและมีความบิดเบี้ยวภายใน ความจริงทั้งหมดค่อยๆเปิดเผยออกมาทีละนิด

จากที่เคยมีข่าวจาก Shaft ว่าใน ef – a tale of melodies. นั้นเราจะได้พบเจอกับตัวละครทุกตัวจากภาคแรก เริ่มจากจิฮิโระซึ่งจริงๆแล้วเธอนั้นมีบทอยู่แล้วตั้งแต่ในวิชวลโนเวลต้นฉบับ จากนั้นเราก็ได้พบกับ ฮิโรโนะ ฮิโระ และ มิยามุระ มิยาโกะ (ของผม) จนได้ แม้ว่าผมจะชื่นชอบมิยาโกะมากอยู่ แต่เนื้อหาที่เธอปรากฏตัวออกมานั้นไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าใหร่ แต่ยังไงก็พอทำให้หายคิดถึงได้อยู่ พอได้ฟังเสียงพูดรัวๆรั่วๆของมิยาโกะ ก็ทำให้รู้สึกว่ามิยาโกะก็ยังเป็นมิยาโกะคนเดิมก็สบายใจ(หรือ!?) ตัวอนิเมเล่นมุขอยู่นิดหน่อยตอนที่มิยาโกะเปิดประตูแล้วเจอนางิ ผมนึกว่าเธอจะควักมีดมาเสียบแล้วนะนั่น….. อันตรายจริงๆ

เมื่อมิยาโกะยังโผล่มาได้ นางิตอนโตทำไมจะมาไม่ได้ เธอมาช่วยฮิโระวาดการ์ตูน ดูเหมือนว่าฝีมือของเธอนั้นจะเยี่ยมสมกับที่เป็นอาร์ติสมืออาชีพ ไม่รู้ว่างานหลักเป็นงานประเภทอะไรอยู่ แต่ก็คงวนเวียนอยู่กับวงการศิลปะ นางินั้นก็แทนตัวเองว่า “โบคุ” ซึ่งแปลว่า “ผม” แต่ตัวละครหญิงในอนิเมหลายๆคนก็แทนตัวเองด้วยคำนี้บ่อยๆ ไม่ได้แปลกใหม่อะไร นางิตอนโตนิสัยต่างจากตอนเด็กพอสมควร จากที่พูดไม่รู้เรื่องก็ดูรู้เรื่องและมีเหตุผลมากขึ้น กวนประสาทกว่าเดิม ไม่รู้ว่าติดมาจากยูโกะหรือเปล่า มีความเป็นพี่สาวและก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงนิสัยดื้อดึงของเธอตอนเด็กๆได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือหน้าอกก็ดูจะใหญ่ขึ้นด้วย

มิยาโกะกับจิฮิโระ สองคนนี้เป็นตัวละครที่ผมชอบมากจากภาคแรก (ส่วนเคย์จังนั้นไม่อยู่ในสายตา) ลึกๆแล้วผมชอบมิยาโกะมากกว่าหน่อย แต่กับจิฮิโระเวลาเธอทำอะไรแต่ละทีก็ทำเอาผมหวั่นไหวเหลือเกิน แบบว่าสะเทือนใจ สองคนนี้มีผลลัพท์บางอย่างที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือเมื่อคุณได้รู้จักพวกเธอแล้ว “คุณจะไม่สามารถทอดทิ้งเธอได้” จิฮิโระนั้นเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ดูอ่อนแอ น่าทะนุถนอม แต่กลับมีโชคชะตาอันโหดร้ายเกินพรรณา เมื่อคุณได้รู้จักเธอ ได้สัมผัสตัวตนของเธอ คุณก็ไม่อาจจะหักใจทอดทิ้งเธอได้ สำหรับมิยาโกะนั้นเป็นเด็กสาวที่ร่าเริง สว่างสดใส สนุกสนานจนให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย(หรือเปล่า!?) แม้จะเอาแต่ใจบ้างแต่เธอก็มีวิธีการหรือแก้ปัญหาที่ไม่เหมือนใคร เมื่อคุณได้รู้จักเธอคุณก็จะหลงรักเธอ และคุณจะไม่สามารถทอดทิ้งเธอได้ เพราะถ้าคุณยังไม่อยากไปล่องเรือสำราญเฉพาะส่วนแบบพระเอกอนิเมสคูลเลิพชื่อดังบางคน…คุณก็ไม่ควรจะทอดทิ้งเธอ

ในช่วงย้อนอดีตวัยเด็กของยูและอากาเนะตอนที่ซื้อนาฬิกาให้ ซึ่งผมได้เขียนถึงไปแล้วในตอนที่สองว่าเนื้อหาส่วนนี้มีในวิชวลโนเวล เพราะไม่คิดว่า Shaft จะยังเก็บมาเล่าเรื่องอีก ทำให้ถือได้ว่าเป็นการ Spoil เรื่องราวไปก่อน ซึ่งก็ขออภัยด้วย แต่จริงๆแล้วก็คงมีอีกหลายๆส่วนที่ Spoil ไปแล้วมั้งเนี่ย ช่างมันเถอะนะ…

จุดที่อยากให้สังเกตอีกจุดก็คือเท้าของนางิหลังจากคุยกับยู ฉากนี้มีตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เท้าข้างซ้ายและข้างขวาของนางินั้นเป็นคนละสีกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความแตกต่าง อีกไม่ช้าตัวอนิเมก็คงจะเผยให้เห็นความหมายของมัน ผมชอบอุปมาอุปไมยของเท้าทั้งสองสีมากเป็นพิเศษ ผมว่ามันง่ายๆแต่ลึกซึ้งดี

เพลงปิดในตอนนี้ก็เปลี่ยนใหม่นิดนึงโดยให้ภาพของคุเซะหายไปจากเพลงซึ่งต่อเนื่องจากประโยคสุดท้ายที่คุเซะพูด พอเห็นก็รู้สึกใจแป๊วไปนิดหน่อย จริงๆแล้วมิสึกิก็มีปมเล็กๆอยู่นิดหน่อย ซึ่งอนิเมได้เกริ่นไว้บ้างแล้ว สำหรับend card ตอนนี้เป็นภาพของ อิซึมิ เอมิ ตัวประกอบจากภาคแรกที่เป็นแฟนเก่าของเคียวสุเกะ วาดโดย จุนริ มิยาบิ ก็ไม่ใข่ใครที่ใหนไกล เป็นผู้วาด ef – a fairy tale of the two. เวอร์ชั่นมังงะนั่นเอง สำหรับ ef – a tale of melodies. รู้สึกว่าคนวาดเขาจะชอบตัวละครตัวนี้นะ เพราะบทก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่มีภาพสีบ่อย และยังได้ขึ้นปกด้วย ตอนหน้านั้นมีชื่อตอนว่า utter

สารภาพตามตรงว่าในตอนที่ 4 นั้น ซับไตเติลภาษาอังกฤษได้ปล่อยออกมาช้ากว่าตอนอื่นๆ ล่วงเลยไปถึงวันศุกร์แล้วก็ยังไม่ออก ทำให้ผมหมดความอดทนหันไปดูแบบ RAW แทน และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะมันทำให้ผมดูตอนที่ 4 ได้ไม่สมอรรถรสเท่าที่ควร…ดังนั้น กินของดิบไม่ของต่อสุขภาพนะจ๊ะ ด้วยความหวังดี

จากความล่าช้าของการเขียน episodic review ตอน 4 (AKA:อู้) จนล่วงเลยวันที่ 5 พฤศจิกายนไปแล้วก็ยังไม่เสร็จ ทำให้ผมได้มีโอกาสฟังซิงเกิลของ ebullient future และ egao no chikara (笑顔のチカラ) จนได้ ก็เลยขอเปิดเผยความรู้สึกกันให้ฟังแบบชัดๆ

ebullient future ซึ่งร้องโดย ELISA เวอร์ชั่นเต็มเพลงนั้นก็มีพลังสมกับตัวมัน จังหวะเร่งเร้าและท่อนโซโล่ไวโอลินให้อารมณ์คล้ายคลึงกับ euphoric field อยู่ไม่น้อย เสียงของ ELISA นั้นสูงและมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม แต่ปัญหาก็คือเธอร้องภาษาอังกฤษได้ไม่ชัดเอามากๆ นั่นก็เป็นจุดด้อยที่เหมือนกันกับที่ euphoric field เป็น แต่ถ้ารู้สึกไม่ชอบในภาษา Engrish ของเธอ สามารถกรอกหูด้วย ebullient future เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่นแทน ก็ทำให้ได้สัมผัสเพลงในอีกอารมณ์นึง เพลงแถมที่ชื่อว่า Pray นั้นผมชอบมากเป็นพิเศษ ช้าๆสบายๆ ให้อารมณ์เย็นๆ

สำหรับนางเอกที่น่ารักอีกคนของเรื่อง ฮายามะ มิสึกิ ผมขอชื่นชมจากใจจริงในความพยายามที่จะร้องเพลงของเธอ แต่ขอร้องเถอะครับ เพื่อให้โลกนี้สงบสุข อย่าได้ร้องเพลงอีกเลย เธอได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของยูอาสะ ฮิโรมิ จาก true tears ไปแล้ว (Character Song ของเธอก็ห่วยเหนือคำบรรยาย) ทักษะการร้องเพลงของหนูมิสึกินั้นผมยกให้เทียบเท่ากับฮัตสึเนะ มิคุ จาก Vocoaloid 2 ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยคิดว่าจะได้ฟังอะไรแบบนี้มาก่อน เพลงปิดแบบ 1.30 นาทีที่ใช้ในเอ็นดิ้งจัดว่าเลวร้ายแล้ว เพลงเต็มยิ่งเลวร้ายขึ้นเป็นทวีคูณ ในภาค Memories ผมใช้เวลาหลายเดือนในการกรอกหูเพลงของจิฮิโระ จนในที่สุดผมก็รู้สึกว่ามันไพเราะ แต่สำหรับเพลงของมิสึกิแล้วจะต้องใช้เวลานานขนาดใหนถึงจะทำสำเร็จ!? แม้ว่าเทคโนโลยีวงการเพลงของโลกมนุษย์จะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะ Mix ช่วยให้เสียงของหนูมิสึกินั้นเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ อย่าได้เสียใจไปเลย….ทุกคนทำดีที่สุดแล้วหล่ะ….

ปฏิทินได้ปรากฏในตอนนี้ทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกในช่วงที่ฮิโระวาดการ์ตูนอยู่ เป็นเดือนกรกฏาคม ปี 2008 และอีกครั้งในบทของมิสึกิตอนที่คุเซะกากบาทลงบนปฏิทิน เป็นวันที่ 24 เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009 นั่นเป็นวันตายที่เขาเลือกเอาไว้อย่างนั้น? เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นตอนใหนกันแน่ หากอิงจากคำพูดของนางิที่ว่าจะไปออสเตรเลีย ก็น่าจะราวๆ ปลายกรกฏาถึงเดือนสิงหาคม ปี 2008 คุเซะคาดว่าเขาจะตายในปีถัดไปเดือนกุมภาพันธ์ เขาจะมีชีวิตได้อีกเพียง 6 เดือนอย่างงั้นหรือ?

เกร็ดแถมพิเศษอีกแล้ว

  • Nominon อยู่บนขวดน้ำในตู้เย็น
  • ที่ Offical Website มีหน้าปกของ Single เพลงปิดที่ร้องโดยยูโกะแล้ว
  • “ขอพลังจงสถิตย์อยู่กับท่าน” ที่ยูพูดไม่ใช่มุกตลกที่เพิ่มเข้ามา ยูพูดอย่างนี้จริงๆตั้งแต่ในวิชวลโนเวล

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *