199 | ef – a tale of melodies. | 02. read


เมื่อ 20 ปีก่อน ในตอนเด็กยูโกะกับผม(ยู)พบกันที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของโบสถ์ มีเด็กเป็นจำนวนมากที่สูญเสียพ่อแม่ถูกนำมาที่นี่ ยูโกะกับผมก็เป็นหนึ่งในนั้น วันนึงยูโกะก็ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป ส่วนผมก็ยังคงอยู่ที่นั่นต่อ ความสัมพันธ์ของเราสองคนมีเพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นใดอีก ยูกล่าวออกมา …ภาพของยูโกะทับซ้อนทับเด็กผู้หญิงอีกคน ท่ามกลางเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ เด็กคนนั้นยื่นมืออกไขว่คว้าหาความช่วยเหลือ ที่ข้อมีอมีนาฬิกาสีแดงประดับอยู่ เด็กคนนั้นตะโกนร้องเรียกว่า “พี่คะ”

ยูตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบสิ่งของบางอย่างออกมา สิ่งนั้นคือนาฬิกาข้อมือเก่าๆที่พังแล้วเรือนนึง

คุเซะออกมาออกมาตั้งแผงขายของใช้ของเขาที่ทางเดินในโรงเรียน ยูเห็นจึงแวะเข้ามาดู แต่ไม่ได้สนใจจะซื้อ ยูถามคุเซะว่าจริงๆไม่จำเป็นต้องมาที่โรงเรียนอีกแล้วไม่ใช่เหรอ คุเซะบอกว่าเขามีเรื่องต้องจัดการหลายอย่าง จู่ๆยูโกะก็แวะเข้ามาถามราคาเสื้อสเวทเตอร์ที่วางขายอยู่ คุเซะตอบว่าสายตาเยี่ยมเลยจะซื้อให้แฟนเหรอ ยูโกะจึงตอบว่า”อาจจะใช่มั้ง ใช่ใหมคะรุ่นพี่ยู” แต่ยูก็ไม่มีปฏิกริยาอะไรเลยจากการล้อเล่นของยูโกะ

นางิที่ห้องศิลปะกำลังเปลือยกายวาดรูปนู้ดตัวเองอยู่ นางิกำลังคิดอะไรอย่างที่เธอไม่เข้าใจ เธอฉีกรูปที่วาดอยู่ทิ้งไป แล้วก็เริ่มใหม่อีกครั้ง

ยูโกะเดินตามยูไปเรื่อยๆ พร้อมกับหยอกล้อ ยูบอกจำไม่ได้เหรอที่เขาบอกว่าอย่ามาเข้าใกล้เขา ยูโกะตอบว่าจำได้ดีเลย แต่ว่าในเมือยูเลือกที่จะพูดแบบนั้น เธอก็มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรที่เธออยากทำก็ได้ ทันใดนั้นยูโกะก็ใช้มือของเธอที่สวมถุงมือตลอดเวลาจับมือของยูไว้ แล้วชวนให้ไปยังที่แห่งนึง พร้อมกับหยิบกุญแจออกมา

ยูโกะเปิดประตูออกไป ที่นั่นคือดาดฟ้าของโรงเรียนโอโตวะ ยูสงสัยว่าทำไมยูโกะถึงมีกุญแจดาดฟ้าได้ ชมรมดาราศาสคร์นั้นถูกยุบไปแล้วไม่ใช่เหรอ ยูโกะบอกว่าชมดาราศาสตร์ที่เธอเคยอยู่นั้นนั้นมีเรื่องเล่าอยู่ว่าเมื่อก่อนมีรุ่นพี่ที่นิสัยไม่ดีคนนึงปั๊มกุญแจไว้ แล้วก็ส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น เขาได้ให้กุญแจกับยูโกะมา ยูโกะหันมาพูดกับยูว่าชีวิตในรั้วโรงเรียนบางครั้งตื่นเต้นสักหน่อยก็สนุกดีนะ แต่ยูนั้นอยากมีชีวิตในแบบที่เรียบง่ายสงบสุขมากกว่า

“อยากรู้ใหมคะว่าชีวิตฉันหลังจากออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นเป็นยังไง?” ยูโกะถามยู แต่ยูกลับตอบปัดว่าฟังไปแล้วจะได้อะไร เขาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตลอดจนกระทั่งได้รับเข้ามาเรียนที่โอโตวะ ไม่มีใครมารับตัวเขาไปเลี้ยง เขาจึงต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้เป็นอิสระ ยูโกะแปลกใจเพราะว่าโอโตวะนั้นเป็นโรงเรียนที่ค่าเล่าเรียนสูง ยูบอกเขาเรียนด้วยทุนการศึกษา ค่าเล่าเรียนของเขานั้นได้รับการยกเว้น เขาทำอะไรหลายอย่างมากมายกว่าเข้ามาสู่โลกฝั่งนี้ได้ จึงไม่อยากสร้างปัญหา ยูพูดย้ำกับยูโกะอีกครั้งว่าอย่ามาเข้าใกล้เขา อย่าให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีต ยูโกะกลับบอกให้เขาลืมมันซะ ลืมนาฬิกาสีแดงเรือนนั้นไปซะ

010 : Die : The

บนเวทีคอนเสิร์ท คุเซะในชุดสูทกำลังเล่นไวโอลิน ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ่งดังแทรกเข้ามา นั่นเป็นความฝัน ความจริงคุเซะนอนอยู่ที่บ้านของเขาแล้วมิสึกิได้มากดกริ่งเรียก มืสึกิเปลี่ยนเป็นชุดพยาบาลแล้วพาคุเซะไปซักผ้าที่บ้าน(ของเรนจิ) คุเซะถามว่าดีแล้วเหรออุตส่ามาเที่ยวตั้งใกล น่าจะไปที่ที่พิเศษหน่อย มิสึกิบอกว่าถึงข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล แต่ก็นี่ก็คือโอโตวะเหมือนที่ญี่ปุ่นเลยไม่ใช่เหรอ การได้มาซักผ้ากับคุเซะก็ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษเหมือนกัน คุเซะถามว่าปิดเทอมหน้าร้อนเชียวนะ มิสึกิกลับตอบว่าทุกๆวันของเธอเป็นวันพิเศษอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปิดเทอมหรือเปล่า ถ้าคิดอย่างนี้ได้ทุกวันมันก็จะสนุกกว่า

เมื่อถึงบ้าน เรนจิที่ท่าทางอิดโรยก็เดินลงมา เพราะว่าเหนื่อยกับการอ่านหนังสือสอบเรนจิจึงดูโทรมเป็นอย่างมาก มิสึกิบอกว่าเธอกำลังจะไปซักผ้า มีอะไรให้ซักหรือเปล่า เรนจิบอกว่าไม่ต้องหรอก เขาซักเองได้ ตอนนี้กำลังดูหนังสือสอบไม่อยากคิดอะไรให้รกหัว คำพูดของเรนจิไปกระตุกต่อมโมโหของมิสึกิ เธอจึงกระโดดเข้าไปใช้กำลังถอดเสื้อผ้าเรนจิออกมา เรนจิที่อยู่ในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวโอดครวญว่าอย่าทำบ้าๆแบบนี้สิ มิสึกิทำท่าจะเอาผ้าเช็ดตัวผืนนั้นมาอีก เรนจิจึงวิ่งหนีขึ้นชั้นสองไป

ระหว่างที่ตากผ้า มิสึกิบ่นกระปอดกระแปดว่าเรนจิไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาซะหน่อย จะอายไปทำไม คุเซะบอกว่าเรนจิกำลังอยู่ในวัยละเอียดอ่อนน่า มิสึกิบอกให้คุเซะแยกผ้าสีออกจากกันให้หน่อย คุเซะกลับพูดติดตลกถามว่าชุดชั้นในของสุมิเระอยู่ใหนล่ะ มิสึกิค้อนแล้วบอกว่าแยกไว้ต่างหากแล้วล่ะ คุเซะจึงบ่นว่าแล้วอย่างนี้เขาจะมาทำไมกันละเนี่ย มิสึกิบอกว่าจุดที่สนุกของการซักผ้าคือเวลาทำให้มันแห้งต่างหาก ตอนที่กางผ้าออกแล้วความชื้นกระจายในอากาศน่ะสุดยอดเลย

ระหว่างที่รอซักผ้า มิสึกิถามคุเซะว่าทำไมถึงเล่นไวโอลิน คุเซะเล่าให้ฟังว่าคงจะเป็นสมัยที่เขาได้พบกับลูกสาวของ Johann Malzel ในห้องดนตรี เธอเป็นคนนิสัยเรียบๆแต่จริงจังมาก แล้วก็ยุติธรรมกับทุกๆคน เธอเป็นรักแรกของเขา เธอสอนให้เขาได้รู้จักอะไรหลายอย่าง ความเป็นระเบียบ, ความโหดร้ายของโลก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าเธอเกิดในปี 1815 มิสึกิตกใจว่ามันตั้ง 200 ปีก่อนไม่ใช่เหรอ ใหนว่าเป็นครูสอนดนตรีนี่นา คุเซะบอกว่าแม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังเป็นครูเขาอยู่ เธอชื่อ เมโทรโนม (Metronome) แล้วก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายไปสายมา มิสึกิจึงนึกออกว่าเมโทรโนมคือเครื่อนับจังหวะของดนตรี จึงโมโหที่โดนคุเซะแกล้ง คุเซะบอกว่ามิสึกิน่ารักกว่าเดิมถ้าโมโหนิดๆนะ มิสึกิอายจนหน้าแดง พอดีกับเครื่องซักผ้าเตือนว่าซักเสร็จแล้ว จึงรีบเดินไปดูแก้เขิน

ขณะที่กำลังเดินออกไปมิสึกิได้ยินเสียงผิดปกติ เมื่อหันมาก็พบว่าคุเซะฟุบนอนลงกับพื้น มิสึกิพยายามเรียกรถพยาบาล แต่เหลือบมาเห็นว่าคุเซะแค่หลับแล้วยังละเมอหาสุมิเระอีกจึงค่อยโล่งอกขึ้น มิสึกิพยายามจะลากคุเซะไปนอนที่โซฟา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ถนัดเท่าใหร่จึงทำให้คุเซะเจ็บตัวไปหลายดอก พอพยุงขึ้นบนโซฟาได้แล้วมิสึกิมองหาหมอน แต่ดูเหมือนบ้านนี้จะไม่มี เธอจึงให้คุเซะนอนหนุนตักเธอ คุเซะเละเมออะไรบางอย่างออกมา เขาบอกว่าถ้าเขาอยู่คนเดียวเขาจะเห็นฝันร้าย มิสึกิจึงปลอบว่าไม่เป็นไรหรอกเธออยู่ตรงนี้แล้ว แล้วคุเซะก็หลับไป

002 : Zum : ถึง

คุเซะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเขาหลับไปถึงเย็นเลย มิสึกิไปส่งคุเซะที่บ้าน คุเซะบอกว่ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาไปทั้งวันเลย มิสึกิบอกว่าวันแบบนี้พักผ่อนมั่งก็ดี คุเซะเหลือบไปเห็นจดหมายหลายฉบับที่เสียบอยู่ที่ตู้จดหมาย

ที่ beerhouse ริมชายหาดที่คุเซะกับยูนัดกันมาดื่มอยู่บ่อยๆ คุเซะกำลังเผาจดหมายที่ได้รับมา คุเซะบอกกับยูว่าเขากำลังเผาความทรงจำอันหวานชื่นอยู่ คุเซะเจอหมายของนางิด้วย ยูถามว่านางิเขียนมาว่าไง คุเซะบอกว่าไม่รู้สิแล้วก็เผาจดหมายไปโดยที่ไม่เปิดอ่าน “แล้วจากนี้จะทำอะไรต่อไปล่ะ” ยูถาม คุเซะบอกว่าเขาจะทิ้งทุกอย่างไป…ก็แค่นั้น

ยูกำลังจ้องมองไปที่นาฬิกาข้อมือเก่าๆเรือนนึงที่แทบจะเรียกได้ว่าเหลือแต่ซาก เขานึกย้อนกลับไป “อากาเนะ” ยูพูดออกมาเบาๆ ภาพของเด็กผู้หญิงคนนึงถูกเพลิงแผดเผาวูบเข้ามา เมืองโอโตวะหลังจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ มีการซ่อมแซมบูรณะอาคารต่างๆอยู่ทุกหนแห่ง ยูกำลังยืนร้องให้อยู่ที่สะพาน มีเสียงเด็กผู้หญิงเรียกยูว่า “พี่ชายคะ” พอยูหันกลับไปมองก็กลายเป็นยูโกะที่มาชวนไปเล่น แต่ยูไม่สนใจและวิ่งหนีไป ยูแอบไปวาดภาพอยู่คนเดียว ยูโกะที่มาเห็นก็ดีใจใหญ่ ยูตะคอกใส่ยูโกะว่าอย่ามาเรียกเขาว่าพี่ชาย ยูโกะเลยบอกว่างั้นเรียกว่ายูคุงได้ใหม ยูจึงมีท่าทีอ่อนลงและทั้งสองก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น ยูมักจะวาดรูปอยู่เสมอ ยูโกะจึงขอให้ยูวาดรูปเธอให้หน่อย พอยูพยายามจะวาดก็กลับเห็นภาพทับซ้อนกันระหว่างยูโกะกับอากาเนะน้องสาวของเขาจังไม่สามารถวาดได้ ยูโกะเห็นอย่างนั้นจึงว่าไม่เป็น งั้นให้เธอดูภาพวาดในสมุดสเก็ตแทนแล้วกัน เธออยากเห็นทุกสิ่งที่ยูวาด

วันเวลาผ่านไป วันนึงยูเห็นยูโกะยืนอยู่ใต้ร่มไม้และเกิดอยากวาดภาพยูโกะขึ้นมา พอแอบวาดไปได้สักพักยูโกะก็รู้ตัวจึงวิ่งมาดูยูที่วาดรูปอยู่ ยูโกะถามยูว่าไม่อยากมีน้องสาวเหรอ ยูตอบว่าเขาไม่อยากได้น้องสาวอีกแล้ว อย่ามาเรียกเขาว่าพี่ น้องสาวของเขานั้นตายไปแล้ว ยูโกะตอบรับว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นก็วิ่งจากไป หลังจากนั้นไม่กี่วัน ยูโกะก็ถูกรับไปเลี้ยงโดยญาติห่างๆ และออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป ยูได้รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวของมนุษย์ เขาดึงภาพของยูโกะออกจากสมุดแล้วพับเป็นเครื่องบินกระดาษ ทุกๆคนแล้วท้ายที่สุดจะถูกทอดทิ้งตามลำพัง ไม่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดหรือไม่ สักวันพวกเขาก็ต้องพรากจากกัน นั่นจึงทำให้เขาไม่คาดหวังอะไรจากคนอื่น นั่นจึงทำให้เขาหลีกเลี่ยงที่จะข้องเกี่ยวกับคนอื่น นั่นจึงทำให้เขาเลือกเส้นทางชีวิตที่ไม่ต้องพึงพาคนอื่น

ยูยืนประจันหน้ากับยูโกะบนดาดฟ้าโรงเรียนโอโตวะ นั่นเป็นเรื่องเล่าจากมุมมองของยูถึงช่วงเวลาที่หายไประหว่างเขากับเธอ “ถึงขนาดนั้นแล้วยังจะตามฉันอยู่อีกเหรอ” ยูถามยูโกะ ยูโกะบอกว่าเธอดีใจมากที่ได้พบกับยูรู้ใหมว่าเพราะอะไร ยูไม่รู้ ยูโกะจึงตำหนิว่าหัวทึ่มเหมือนเคย รุ่นพี่ฮิมูระนั้นคือรักแรกของเธอ และรักแรกของเธอนั้นยังไม่จบลง แล้วยูโกะก็โผเข้ากอดยูไว้ เธอจะเป็นคนลบเลือนความทรงจำอันแสนเศร้าของยูเอง

คุเซะนั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวกลางดึก วางไวโอลินไว้ข้างตัว ภาพจินตนาการปรากฏขึ้น มีคุเซะอยู่สองคนสวมหน้ากากที่แตกต่างกัน คุเซะคนนึงได้ผลักเมโทรโนมเครื่องจับจังหวะให้ทำงาน คุเซะทั้งสองคนเริ่มรายงานสถานะการทำงานของร่างกายต่างๆ เมโทรโนมที่คุ้นเคยนั้นกลับไม่ได้ถูกใช้ในการจับจังหวะดนตรี แต่ถูกใช้ไปกับการเช็คสภาพร่างกายแทน คุเซะทั้งสองสนทนาโต้ตอบกัน ถึงจังหวะต่างๆของคุเซะ จังหวะที่ฝังอยู่คือเวลาเหลืออยู่ “คุณคุเซะ” คุเซะถูกเรียกให้ตื่นจากผวังค์ มืสึกิยืนอยู่ที่หน้ารั้วและเรียกคุเซะอยู่ เธอบอกว่านอนไม่หลับ ก็เลยออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย พอมิสึกิมองเห็นไวโอลินก็รีบถามว่ามันซ่อมเสร็จแล้วเหรอ คุเซะงงเล็กน้อยแล้วจึงนึกออกว่าตนเองเคยโกหกว่าไวโอลินซ่อมอยู่ จึงค่อยตอบว่ายังซ่อมไม่เสร็จเลยและมันคงใช้ไม่ได้อีกแล้วหล่ะ

ทั้งสองคนจึงนั่งดื่มชากันกลางดึก มิสึกิเล่าว่าเธอได้ฟังเพลงของคุเซะจาก CD แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ฟังเพลงคลาสิค มันน่าประหลาดใจมาก มีทั้งเพลงนุ่มๆที่ให้ความสึกดีและก็มีเพลงที่ดังตูมเสียงดังขึ้นมากระทันหันด้วย มันยอดมาก ตัวเธอสั่นไปหมดเลย สิ่งที่แปลกใจที่สุดก็คือเพลงคลาสสิคนั้นสามารถกระตุ้นความรู้สึกด้วย แม้มันจะไม่มีเนื้อร้อง แต่ก็สัมผัสได้ราวกับว่ามีใครสักคนมากระซิบบอกรักอยู่ข้างหู หัวใจของเธอเต้นระรัว คุเซะอธิบายให้มิสึกิฟังว่าเพลงที่มีชื่อเสียงหลายเพลงก็เกิดขึ้นจากความรักและรักที่ไม่สมหวัง มิสึกิพูดอย่างอายๆว่า ดูเหมือนว่าเธอจะสนใจในตัวคุเซะที่เล่นดนตรีด้วยความคิดแบบนั้น แล้วมิสึกิก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่าอาจจะกระทันหันไปหน่อย แล้วก็พูดแบบอายๆว่าฉันตกหลุมรักคุณคุเซะเข้าแล้วหล่ะ พูดจบเธอก็รีบกลับไปทันที คุเซะที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวทำอะไรไม่ถูก ตัวตนในหลายๆด้านของเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างอยู่

ef – a tale of melodies. ก็ได้มาถึงตอนที่สองแล้ว ในตอนนี้จะดำเนินเรื่องทั้งสองด้านไปพร้อมๆกันโดยจะฝั่งอดีตจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องราว 20 ปีก่อน (นับถอยจากบทของมิสึกิ) ในวัยเด็กของยูและยูโกะว่ารู้จักกันได้อย่่างไร ยูกับยูโกะนั้นเป็นผู้สูญเสียครอบครัวจากเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในโอโตวะที่ญี่ปุ่น สำหรับยูนั้นจะมีความทรงจำที่โหดร้ายเป็นพิเศษ เพราะอากาเนะน้องสาวของเขานั้นตายไปต่อหน้าต่อตา ที่ยูรอดมาได้เพราะว่าออกจากที่เขานอนรวมกับอากาเนะไปเข้าห้องกลางดึก พอกลับมาก็เกิดแผ่นดินไหวและทุกอย่างก็พังทลายลง เนื้อเรื่องส่วนนี้มีอยู่ในเวอร์ชั่นเกมวิชวลโนเวล อีกอย่างที่สะดุดตาขึ้นมาก็คืออากาเนะในเกมนั้นมีทรงผมที่แตกต่างจากในอนิเมะ เวอร์ชั่นในอนิเมะนั้นมีเป็นทรงปล่อยยาวและเหยียดตรง ดูแล้วคล้ายยูโกะโดยมีสีผมต่างกัน แต่ในเกมนั้นจะมัดจุกสองข้างแบบเด็กๆแทน หลังจากยูรอดตายมาได้ เมื่อเขากลับไปในบ้านที่เหลือแต่ซากปรักหักพัง นอกจากสภาพศพที่ใหม้เกรียมจนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นใคร ก็มีเพียงนาฬิกาสีแดงที่ยูซื้อให้อากาเนะเป็นของขวัญเรือนนั้นยังคงสวมใส่อยู่ที่ข้อมือของร่างไร้วิญญาณ

หลังจากนั้นยูกับยูโกะจึงได้มาพบกันที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ยูโกะก็สูญเสียครอบครัวไปเหมือนกัน แต่ครอบครัวยูโกะนั้นค่อนข้างเหินห่าง พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูกสาวเท่าใหร่นัก เมื่อพบกับยูก็เลยสนใจเป็นพิเศษ ยูโกะตอนเด็กๆนั้นขี้อ้อนและอยากรู้อยากเห็น แม้ยูจะปิดใจแต่สุดท้ายก็ยอมแง้มรับยูโกะ เมื่อยูโกะมีคนรับไปเลี้ยงและออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป ทำให้ยูเสียใจซ้ำสองจนส่งผลให้หมดสิ้นความไว้วางใจในตัวคนอื่น แต่เรื่องเล่าในตอนนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าจากมุมมองของยูเท่านั้น ความเสียใจและการใช้ชีวิตที่ลำบากยากแค้นของยู (ในเกมจะรับรู้ด้ว่ายูมันจนมาก) ก็เป็นเพียงชีวิตในมุมของยูเท่านั้น ยูปฏิเสธที่จะสนใจฟังเรื่องของยูโกะทุกครั้งที่ยูโกะถาม ดังนั้นยูโกะจึงยังไม่เคยเล่า เรื่องราวชีวิตของยูโกะหลังจากออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในไม่ช้าก็คงจะถูกเปิดเผยออกมา

กุญแจของดาดฟ้าที่ส่งต่อๆกันมาในบทของยูโกะนั้นก็คือดอกเดียวกับที่ฮิโรโนะ ฮิโระ มีไว้ใช้ สารภาพว่าในส่วนนี้เองผมก็ไม่มั่นใจเท่าใหร่ แต่จำได้ว่าฮิโรโนะเคยบอกว่าได้กุญแจมาจากพี่สาวของเขา ซึ่งก็คือฮิโรโนะ นางิ แสดงว่าหลังจากจบเรื่องราวแล้วยูที่ได้รับกุญแจมาจากยูโกะก็ได้ให้กุญแจดอกนั้นกับนางิอีกทีนึง ส่วนกุญแจดาดฟ้าของโอโตวะออสเตรเลียที่เรนจิกับจิฮิโระเปิดขึ้นไปใน Coda. (บทส่งท้าย) ของภาค memories นั้นไม่ทราบว่าเอามาจากใหนเหมือนกัน แต่ก็คงได้มาจากยูนั่นหล่ะ เพราะโอโตวะที่ออสเตรเลียสร้างขึ้นมาทีหลัง ยูก็เป็นสถาปนิกคนนึง จึงเป็นไปได้ว่าเขาก็มีกุญแจอยู่ ข้อมูลในส่วนนี้เกิดจากการปะติดต่อข้อมูลจากหลายๆส่วน หากใครมีมุมมองที่แตกต่างจะร่วมปะติดปะต่อก็สามารถแสดงความเห็นได้

บทของมิสึกินั้นก็ดำเนินไปอย่างตรงไปตรงมาและรวดเร็ว เรื่องราวกุ๊กกิ๊กของมิสึกิและคุเซะ รวมไปถึงเรนจิที่โผล่มาก็เป็นตัวชูรสเสริมอารมณ์ของเรื่องได้อย่างดี อย่างไรก็ตามผมก็ยังอยากจะเห็นหน้าจิฮิโระให้ชื่นใจเร็วๆซะที จากในเวอร์ชั่นเกมนั้นบทของจิฮิโระและมิสึกิอยู่ในแผ่น latter tale เหมือนกัน จึงทำให้บ่อยครั้งที่จิฮิโระได้โผล่เข้ามาในบทของมิสึกิ (และมิยาโกะกับเคย์ก็ที่อยู่ในแผ่น first tale ก็ไม่มีบทใน latter tale เลย) และผมเองก็เฝ้ารออย่างการปรากฏตัวของจิฮิโระใจจดใจจ่อ แต่เรนจิที่เอาแต่อ่านหนังสือสอบนั้นท่าทางจะไม่ได้แวะไปหาจิฮิโระเลย ไม่กลัวหนูจิฮิโระจะลืมกันมั่งหรือยังไงน้า

อาจารย์ของคุเซะที่ล้อเล่นให้มิสึกิโกรธนั้นก็คือ Metronome เครื่องจับจังหวะเวลาในการเล่นดนตรี ผมเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรีเท่าใหร่ เอาเป็นว่ามันหน้าตาแบบนี้นะ เวลาใช้มันก็ส่ายไปส่ายมา ในอนิเมะนั้นด้านมุมลึกของตัวคุเซะถูกสื่ออกมาอย่างมืดมน ภาพตัวตนในความคิดที่คอยหลอกหลอนนั้นก็กดดันอยู่ตลอดเวลา ทางออกของคุเซะนั้นดูจะมีตัวเลือกไม่มากนัก เมื่อเขาได้มาพบกับมิสึกิที่มาบอกรักในเวลาที่เขากำลังจะทิ้งทุกอย่าง ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจะเป็นเช่นไร

อันนี้ออกจะนอกเรื่องเล็กน้อย แต่ผมสะดุดใจกับประโยคนึงที่มิสึกิพูด เธอบอกว่าทุกๆวันของเธอเป็นวันพิเศษอยู่เสมอ และถ้าทำแบบนั้นชีวิตก็จะมีความสุขอยู่เสมอ แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ติช นัท ฮันห์ พระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายเซ็นชาวเวียดนาม ที่ให้เราอยู่กับปัจจุบันและให้ความสำคัญเหมือนกับว่าเวลานั้นเป็นเวลาสุดท้ายของชีวิตอยู่เสมอ คำสอนของ นัท ฮันห์ นั้นมีประเด็นวางอยู่บนพื้นฐานของความจริงและเข้าถึงได้ง่าย ผมเคยพยายามลองทำดูสักพักนึงโดยพยายามมองทุกอย่างเป็นเรื่องดีและให้ความสำคัญกับมัน แต่ก็ไม่สำเร็จ รู้สึกว่าผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายมากเลย….แถมยังไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองไม่สนใจ น่าอิจฉามิสึกิจริงๆที่ทำแบบนั้นได้ทุกวัน แต่วิธีใช้ชีวิตแบบนี้ก็ทั้งทิ่มแทงตัวคุเซะอยู่ลึกๆและปลดปล่อยตัวคุเซะไปพร้อมๆกันอีกด้วย

ในที่สุดเราก็ได้เห็น Ending กันสักที หลังจากตอนแรกได้ใช้ตัวหนังสือวิ่งด้านล่างของจอเฉยๆ เพลงปิดแรกนี้ได้แก่เพลง Egao no Chikara (笑顔のチカラ) พลังของรอยยิ้ม (แปลเห่ยเล็กน้อย ขออภัย) ร้องโดยโกโต มาอิ คนพากย์มิสึกิ ตัวเพลง Ending เองมีจังหวะร่าเริงสนุกสนุกนานเข้ากับคาแรกเตอร์อย่างมิสึกิได้เป็นอย่างดี ตัวภาพประกอบก็ยังคงเป็น Theme เดียวกับ Ending อื่นๆที่เคยมี คือเน้นเรียบง่าย ใช้สีที่จัดจ้านแต่ออกโทนสว่าง ไม่ตัดเส้นด้วยสีดำแต่ใช้สีในโทนเข้มแทน มีภาพอนิเมชั่นที่ไม่หวือหวา แต่ว่าสื่อให้สัมผัสได้ถึงอารมณ์ ภาพรูปถ่ายในตอนท้ายสุดของ Ending นั้นถูกสะท้อนด้วยเงาจนมองไม่เห็นหน้า แต่หากมีข้อมูลสักเล็กน้อยก็คงเดากันได้ออกว่าเป็นรูปใคร

สารภาพจากใจจริง แม้ผมจะเป็นแฟนบอยของ ef อยู่เต็มตัว แต่ผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าเพลงปิดของ ef ทั้งสองภาคนั้นเป็นเพลงที่ “ร้องได้ไพเราะ” เลย เพลง Ending ทุกเพลงของ ef นั้นร้องโดยตัวนักพากย์เองเพื่อให้เข้ากับ Theme ของเรื่องและตัวละคร นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีมากเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามเสียงของเหล่านางเอกที่แสนน่ารักนั้นร้องเพลงได้ไม่เอาอ่าวเกินจะทนจริงๆ ทั้งมิยาโกะ, เคย์, จิฮิโระ นั้นเป็นนักพากย์ที่ไม่สมควรมาร้องเพลงเป็นอย่างยิ่ง มีเพียง นาคาจิม่า ยูมิโกะ ที่พากย์เป็นยูโกะเท่านั้นที่พอจะร้องเพลงได้เป็นผู้เป็นคนบ้าง ถึงแม้เสียงของสาวๆจะหลอดแตกกัน แต่ก็ได้ดนตรีของ Tenmon มาช่วยพยุงเอา เทียบง่ายๆก็คงเป็นเสียงที่ได้คะแนน -1 รวมกับดนตรีที่ได้คะแนน +2 ก็เลยกลายเป็น +1 พอฟังได้เรื่อยๆแทน แต่จากการที่ฟังกรอกหูแทบทุกวี่ทุกวันผมก็รู้สึกว่าเพลงของสาวๆพวกนี้ก็เพราะดีเหมือนกันนะ…

End Card (ภาพปิดท้ายตอน) ในตอนนี้เป็นภาพของมิสึกิที่วาดโดย Kusukusu (くすくす) เขาเป็นนักวาพภาพประกอบเกมสำหรับผู้ใหญ่ อาทิเช่นเกม Palette หรือหลายๆเกมจากค่าย Yeti และ Light บทพูดท้ายตอนนั้นให้เสียงโดยเรนจิ ข้อความเป็นนัยยะที่น่าจะหมายถึงตัวคุเซะและชีวิตของเขา ส่วน ef – a tale of melodies. ในตอนหน้านั้นจะมีชื่อตอนว่า Union

เกร็ดแถมพิเศษ

  • ในตอนต้นช่วงที่คุเซะขายของ เป็นครั้งแรกที่มีตัวประกอบเดินผ่านซีน
  • มิสึกิพยายามโทรเรียกรถพยาบาลด้วยการกดโทรศัพท์ 119 แต่ว่าใช้ไม่ได้ เพราะที่ออสเตรเลียต้องกด 000 แทน

One thought on “199 | ef – a tale of melodies. | 02. read”

  1. เรื่องคำสอน ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติครับ
    คนหนึ่งเหมาะกับแบบหนึ่ง ถึงได้มีหลายนิกาย
    การอยู่กับปัจจุบันเป็นวิธีที่ดีอันนึง แต่ทำยังไงให้ถูก ต้องพูดกันยาว ในหนังสือมักจะไม่ละเอียด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *