285 | April Fools’ Day

“วุ่นวายจริงๆเล้ย” ฉันบ่นกับตัวเองด้วยอารมณ์หงุดหงิดเหมือนเคย ตอนนี้เกือบจะสองทุ่มแล้ว ฉันยืนรอรถไฟใต้ดินอยู่ นับว่าท่ามกลางการจราจรอันติดขัด คนเมืองก็ยังพอโชคดีมีทางเลือกหลบเลี่ยงรถติดอยู่บ้าง วันนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่นัก หลังจากรอไม่ถึงสามนาทีฉันก็ก้าวเท้าเข้าไปในสัญลักษณ์ของมนุษย์เงินเดือนสมัยใหม่พร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีกมากมาย
ฉันมองไปนอกกระจก ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกจากความมืด เรื่องน่าเบื่อของรถไฟใต้ดินก็คือมันไม่มีอะไรให้มอง แต่ยังไงฉันก็อยู่บนนี้ไม่นานเท่าไหร่ คิดอะไรเล่นฆ่าเวลาแทนการมองออกไปนอกกระจกเป็นเรื่องปกติที่ทำ ฉันเคยสงสัยว่าถ้าอยากจะฆ่าตัวตายด้วยรถไฟใต้ดิน ฉันจะกระโดดลงไปให้มันทับได้ยังไง ช่วงที่รถจอดนั้น ประตูที่เปิดกับตัวรถแนบชิดกัน ไม่มีช่องว่างให้แทรกตัวลงไป แถมมองลงไปบนรางก็ดูมืดมิดไม่ชวนให้กระโดดลงไป ถ้าตายอยู่ตรงนั้นคงไม่มีใครพบศพแน่ๆ ต้องรอให้เน่าเหม็นส่งกลิ่นเสียก่อน หากคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ น่าจะไปกระโดดให้รถไฟฟ้าทับดีกว่า เห็นผลชัดเจนดี เด่นด้วยแม้จะเลอะเทอะไปบ้าง แต่เอ…ก็ไม่ค่อยมีคนทำเท่าไหร่ เมืองไทยคงยังไม่นิยมฆ่าตัวตายมากนัก เคยได้ยินว่าที่ญี่ปุ่น ถ้าโดดให้รถไฟทับ นอกจากจะไม่ได้ประกันแล้วครอบครัวยังต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้รถไฟล่าช้า จ่ายกันหัวโตเลยทีเดียว

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจะให้ลืมเรื่องหงุดหงิดในวันนี้ ผู้ชายนี่มันเป็นแบบนี้กันหมดทุกคนเลยหรือเปล่านะ ยิ่งพยายามสลัดเรื่องนี้ออกจากหัว ก็ดูเหมือนมันจะได้ผลตรงกันข้าม และมันก็ทำให้ฉันอารมณ์เสียกว่าเดิม ผู้ชายนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่พูดความจริงไม่เป็นหรือไง พูดออกมาตรงๆแล้วจะทำให้เส้นชีวิตหดหาย อายุขัยสั้นลงไปหรือก็เปล่า เหตุการณ์ซ้ำซากๆเกิดขึ้นเหมือนเดิมจนฉันเริ่มคิดว่าอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อนคงจะมีความสุขเสียกว่า

ฉันขึ้นจากสถานีเดินกลับไปยังห้องเช่า เรียกให้หรูหน่อยก็คงจะเป็นคอนโดละมั้ง จะอะไรก็ช่างมันก็เอาไว้ซุกหัวนอนไปวันๆ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ฉันอยู่คนเดียว นี่ก็ยังไม่ดึกมากนัก กลับขึ้นไปก็ไม่มีอะไรทำมากไปกว่าเปิดทีวีดูรายการไร้สาระ ดาราคบชู้เลิกกันไปเลิกกันมา ฉันจึงตัดสินใจแวะร้านข้างทางหาอะไรกินสักหน่อยดีกว่า

ร้านนี้เป็นร้านลับของฉัน ที่บอกว่ามันเป็นร้านลับเพราะมันอยู่ใต้สะพานลอย หากมองจากด้านนอกแล้วจะไม่เห็นป้ายชื่อร้านที่เขียนว่า “บงกช” ชื่อเชยจังเลยเนอะ ในร้านก็ไม่ค่อยมีลูกค้าหรอก ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงยังไม่เจ๊งซะที แต่ร้านนี้อยู่ใกล้กับห้องของฉันไม่ถึงสองร้อยเมตร จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันจัดว่าเป็นลูกค้าประจำได้อยู่

ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในร้าน แอร์เย็นฉ่ำแม้จะมีกลิ่นแปลกๆนิดหน่อย พบว่ามีลูกค้าอยู่บ้าง มากกว่าที่คิดนะเนี่ย ปกติมาทีไรก็นั่งอยู่คนเดียว ฉันนั่งลงที่โต๊ะประจำแล้วสั่งอะไรเบาๆมากินพร้อมกับกาแฟ และหยิบโน้ทบุ๊คขึ้นมาเปิดดูไปเรื่อย แต่แล้วพอมองตรงไปข้างหน้า ฉันก็ไปสบตากับผู้หญิงคนนึงเข้าพอดี

โต๊ะตรงข้ามฉันไปนี่เป็นคู่ชายหญิงสองคน คาดว่าน่าจะเป็นคู่รักกัน ผู้ชายนั่งหันหลังให้ฉัน ผู้หญิงนั่งหันหน้าให้ ผู้หญิงคนนั้นจัดว่าหน้าตาใช้ได้อยู่ แต่สีหน้าและสายตาที่จ้องมองมายังฉันนั้นดูไม่เป็นมิตรเลย ราวกับว่าจะไล่ฉันให้ออกไป “ฉันมีเรื่องคุยกับแฟนสองคน หล่อนมาเกี่ยวอะไรกันด้วย” ถึงจะไม่ได้พูดออกมาแต่ก็รู้ได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นอกจากนั้นยังส่งออร่าลำบากใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันเรื่องอะไรกันล่ะ หล่อนจะทะเลาะกับแฟนก็ทะเลาะไป ฉันไม่ไปสนใจอยู่แล้ว แล้วฉันก็จิบกาแฟเย็นที่สั่งมาพร้อมกับเช็คเมลบ๊อกส์ ประเด็นสำคัญอีกอย่างที่ชอบร้านนี้คือมันมี wifi นี่หล่ะ ว่าแล้วฉันก็เช็คกับดักหนูในเฟซบุ๊คซะหน่อยว่ามีอะไรมาติดมั่ง

“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ” เสียงผู้หญิงโต๊ะตรงข้ามดังข้ามมา หล่อนจะเถียงกันก็อย่าให้มันรบกวนคนอื่นได้ไหม

“ตกลงจะเอายังไงกันแน่ เมื่อวานก็หนนึงแล้ว”

สีหน้าของผู้หญิงโต๊ะตรงข้ามเหยเกเหมือนกำลังจะร้องไห้ ตาของเธอแดงก่ำ ถึงแม้ฉันจะไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ร้านนั้นเงียบและคุณเธอกับคุณแฟนนั้นเริ่มจะคุยกันเสียงดัง ทำให้ฉันรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายหญิงน่าจะเป็นสาวออฟฟิศ เพราะดูจากการแต่งตัว เสื้อกระโปรงเข้าชุด ผมยาวตรง รูปหน้าสวย ฝ่ายชายฉันไม่เห็นหน้า แต่ว่าเขาใส่แว่น แต่งตัวสบายๆ ใส่เสื้อกั๊กทับเสื้อยืดอีกที ปัญหาของทั้งสองน่าจะประมาณฝ่ายชายอ้างว่างานเยอะไม่มีเวลาให้ฝ่ายหญิง จนทำให้ฝ่ายหญิงน้อยใจ และเหมือนว่าวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เจอกันในรอบหลายอาทิตย์ และฝ่ายชายก็กำลังยุ่งจะออกไปในไม่ช้านี้ เขาดูเหมือนเป็นคนคุมเกมทั้งหมด เสียงหัวเราะเบาๆในบางจังหวะ หยุดเกมรุกของฝ่ายหญิงได้อย่างสิ้นเชิง คุณเธอจ๋า คุณเธอตกเป็นเบี้ยล่างแล้ว คำพูดของคุณเธอหมดสิ้นซึ่งการต่อรองใดๆทั้งสิ้น แพ้แล้วนะคะรู้ตัวมั้ย

อาหารมาแล้ว ทั้งโต๊ะของฉันและโต๊ะตรงข้าม ฝ่ายหญิงที่ดูหน้าเหยเกเมื่อครู่ ดูสงบลงเล็กน้อยและเริ่มกินอาหาร เขาว่ากันว่าสัตว์ถ้ามันกินอาหารลงแสดงว่ามันสบายดี เหมือนแมวทีบ้านต่างจังหวัด พอมันป่วยมันก็ไม่กินข้าว พอมันกินข้าวก็แสดงว่ามันเริ่มแข็งแรงขึ้นแล้ว คุณเธอโต๊ะตรงข้ามที่พออาหารมาก็เข้าปากคงจะไม่เดือดร้อนเท่าไหร่หรอก แต่อย่างไรก็ตามสีหน้าเหยเกอัดอั้นเมื่อครู่ก็เป็นของจริง สีหน้าแบบนั้นฉันก็เคยทำเหมือนกันมั่งหรือเปล่าน้า? ถึงอีตานั่นของฉันมันจะไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่ก็อืม…ไม่เคยทำให้ฉันต้องมีสีหน้าแบบนั้น อย่างน้อยก็คิดว่าไม่เคยนะ

ระหว่างที่ฉันนั่งเช็คเมลกับเฟซบุ๊ค ฉันก็ได้ยินเสียงเหมือนคนโวยวายแว่วมาจากข้างหลัง แต่น่าจะห่างออกไปหลายโต๊ะอยู่ จริงๆฉันก็ได้ยินมาตั้งแต่ตอนนั่งใหม่ๆแล้วหล่ะ เสียงบ่นโวยวายนั้นก็เป็นเสียงผู้หญิง แต่ท่าทางจะมีอายุแล้ว เมื่อตอนเข้ามาฉันไม่ทันได้สังเกตว่าใครนั่งอยู่โต๊ะในสุด แต่น่าจะมีมากกว่าหนึ่งคน ฟังจากน้ำเสียงที่ยานคางโย้เย้และจับใจความยากแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ป้าคนนั้นจะเมาอยู่ ร้านนี้ก็ไม่ได้ห้ามดื่มเหล้า แต่ก็ไม่เคยเจอคนมานั่งดื่มจนเมามายขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน

โต๊ะข้างหลังเริ่มส่งเสียงดังกว่าเดิม อีกแล้วสิเนี่ย ฉันเริ่มจับใจความการบ่นของโต๊ะข้างหลังต่อจากโต๊ะตรงข้ามที่ดูจะเงียบลง สำหรับโต๊ะข้างหลังนี้นอกจากจะต้องตั้งใจฟังเพราะอยู่ห่างแล้ว ยังฟังยากด้วยสำเนียงคนเมาอีก แต่ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องฟังยากจะหมดไปในไม่ช้า เพราะป้าแกเมาเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนส่งเสียงดังใกล้เคียงกับตะโกนแล้ว เจ้าของร้านก็ดูไม่เดือดร้อนอะไรนั่งดูทีวีสบายใจซะงั้น ฉันไม่กล้าหันกลับไปมองตรงๆ เพราะกลัวจะเสียมารยาท แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงขับเคลื่อนทำให้ฉันพอจับใจความเรื่องได้บ้าง ดูเหมือนป้าแกจะมาร่ำสุราเพราะสามีมีเมียน้อย บ้านช่องไม่กลับ รายละเอียดลึกกว่านี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าป้าแกบ่นกับด่าอย่างเดียวเลย ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาอื่น(Spoil)เลย แต่เท่านี้ก็รู้สึกเหมือนชีวิตป้าแกบัดซบเหมือนในนิยายเล่มละห้าบาทแล้ว ไม่สิ เดี๋ยวนี้มันสิบบาทแล้ว….

ฉันนั่งฟังป้าแกบ่นอยู่สักพัก กาแฟเย็นก็หมดแก้วพอดี แต่รู้สึกว่างาน(จับหนู)ตรงหน้ายังไม่เสร็จดีก็เลยลุกขึ้นเพื่อไปเติมน้ำสักหน่อย ตรงจุดเติมน้ำนั้นใกล้ๆกับโต๊ะป้าแกพอดี ฉันก็เลยจะถือโอกาสชะแว๊บแอบดูหน้าป้าแกสักหน่อย ฉันถือแก้วเดินตรงไป ระหว่างทางก็เหลือบตาไปมองโต๊ะหลังสุดสักหน่อย ป้าแกดูท่าทางเป็นผู้หญิงทำงานแบบที่ใช้แรงงานหน่อย ผิวหนังหยาบกร้าน ใบหน้ามีริ้วรอยและแดงก่ำด้วยฤทธิ์น้ำเมา บนโต๊ะมีขวดเหล้าอยู่ ป้าแกนั่งอยู่กับผู้ชายอีกคนนึง แก่ไม่แพ้กัน แต่ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่เมาสักเท่าไหร่นักและก็ไม่ค่อยพูดอะไรนัก ระหว่างที่ฉันเดินไปป้าแกก็ยังบ่นไม่หยุดหย่อน ฉันหยิบเหยือกเทน้ำลงใส่แก้วเปล่าที่มีเศษน้ำแข็งอยู่

“น้ำแข็งอยู่ตรงนั้นน่ะหนู”

เสียงป้าคนนั้นดังแว่วมา ทีแรกฉันไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับฉันหรือเปล่า แต่พอป้าแกย้ำอีกครั้งฉันก็เริ่มแน่ใจแล้วว่าป้าแกคุยกับฉันแน่นอน พอฉันหันไปเห็นป้าแกพยายามส่งสัญญาณชี้โบ๊ชี้เบ๊ว่าตรงด้านหลังเหยือกน้ำนั้นมีน้ำแข็งอยู่ด้วย ท่าทางที่ทุลักทุเลเพราะว่าพิษแอลกอฮอล์ทำให้อดแอบขำไม่ได้ ฉันก็ทำท่าเออออห่อหมกตามความหวังดีของป้าไป ตักน้ำแข็งใส่แก้วแต่พองามแล้วก็เดินกลับมาที่โต๊ะตัวเอง

อืมมม ดูเหมือนการที่ฉันคิดว่าชีวิตป้าแกมันแสนเลวร้ายนี่คงจะเป็นการเสียมารยาทไปหรือเปล่า ในสายตาของฉันที่แม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ทำงานในเมืองและมีกินมีใช้ในระดับนึง ออกจะมั่นใจในตัวเองหน่อยๆด้วยซ้ำ ที่มองป้าแกว่าเป็นหญิงสูงอายุที่โดนกระแสแห่งเมืองหลวงกลืนกินและมีชีวิตอย่างหาเช้ากินค่ำ สามีมีเมียน้อย และก็คงจะติดหวยด้วยแน่ๆ แต่ในสายตาของป้าแก ฉันก็เป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ที่ต้องคอยให้แนะว่าทำอะไรที่ไหนยังไงเสมอๆ หรือจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์ในเลือดป้าแกรึเปล่าก็ไม่รู้ ที่ทำให้เขามองอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะฉันคิดมากไปเองก็ได้ที่โดนจี้จุดอ่อน

ไม่ว่าจะโต๊ะข้างหน้าหรือโต๊ะข้างหลัง ต่างก็มีปัญหาชีวิตในแบบของเขาที่หนักหน่วงไม่แพ้กัน อ๊ะไม่สิ ในสายตาของโต๊ะข้างหน้า หรือโต๊ะข้างหลัง เขาก็คงคิดว่าพวกเอ็งอีกสองโต๊ะท่าทางน่าสงสารแน่ๆ ผู้หญิงที่มานั่งคนเดียวเปิดโน้ทบุ๊คทำอะไรยุกยิกๆ ต้องมีปัญหาอะไรในชีวิตแน่ๆ(และมันก็จริงเสียด้วย) แต่มองจากมุมของฉัน ปัญหาของโต๊ะทั้งข้างหน้าและข้างหลังนั้นดูมีน้ำหนักมากกว่าเรื่องปวดหัวของฉันมากมาย เรื่องทะเลาะกันของฉันดูเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องไปเลย ดูเป็นเม็ดกรวดที่คนพวกนี้เป่าให้ปลิวหายไปอย่างง่ายดาย เวลาฉันก็มี ความสำคัญฉันก็มี ชีวิตส่วนตัว เวลาว่าง ฉันก็มี ในขณะที่คนเบื้องหน้าและเบื้องหลังของฉันต่างขาดหายอะไรบางอย่างไป ฉันเองก็คงขาดเหลืออะไรบางอย่างเหมือนกันในสายตาคนอื่นเหมือนกัน แต่บางทีเรื่องของตัวเองกลับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากที่สุดเสมอ


หากมองกลับกัน ฉันอาจจะเป็นฝ่ายถูกสงสารเองเสียด้วยมากกว่า

ฉันพับโน้ทบุ๊คลง เดินไปจ่ายสตางค์ ดูเหมือนโต๊ะตรงข้ามเขายังอยากจะคุยอะไรกันต่อ และโต๊ะข้างหลังก็ยังไม่มีวี่แววจะเลิกเมามาย การออกไปของฉันดูเหมือนทำให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามกันสบายใจขึ้นนิดหน่อย ฉันเปิดประตูที่มีเสียงกรุ๊งกริ้ง อากาศข้างนอกวันนี้ไม่ร้อนมากนักแม้จะเข้าเดือนมีนาคมแล้ว ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์ที่คุ้นเคยลงไป…

4 thoughts on “285 | April Fools’ Day”

  1. อ่านเลิฟบล็อกมา 3 ปี เพิ่งรู้ว่าเอริโกะเป็นกะเทย =O=”

  2. ทำไมเอริโกะแต่ setting เป็นกรุงเทพล่ะ

  3. เซ็ตติ้งเป็นเอริโกะสาวออฟฟิศบ้านนอกเช้ากรุงแล้วกัน….
    แต่ทำไมชื่อเอริโกะ….
    วู้ ในเรื่องไม่ได้บอกว่าชื่อเอริโกะสักหน่อย อาจจะชื่ออลงกรณ์ก็ได้

  4. ฉันก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจะให้ลืมเรื่องหงุดหงิดในวันนี้ ผู้ชายนี่มันเป็นแบบนี้กันหมดทุกคนเลยหรือเปล่านะ ยิ่งพยายามสลัดเรื่องนี้ออกจากหัว ก็ดูเหมือนมันจะได้ผลตรงกันข้าม และมันก็ทำให้ฉันอารมณ์เสียกว่าเดิม
    ——
    อ่านตรงนี้แล้วตีความผิดไปหน่อย เม้นผมข้างบนนั่นลบๆไปเหอะ =_=”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *