350 | อ่านนิยายมั่ง

ด้วยความกลัวว่าทิ้งไว้นานจนลืมแล้วเขียนไม่ออกเหมือนเอนทรี่ค้างปีบางอันที่โดนทวงบ่อยๆ ผมจึงตัดสินใจเขียนเอนทรี่นี้เสียก่อนแม้ว่าจะมีเรื่องที่เขียนง่ายๆเตรียมไว้หลายเรื่องก็ตาม ก่อนหน้านี้มีช่วงนึงของชีวิตผมที่เช่าการ์ตูนจนการ์ตูนหมดร้าน การ์ตูนออกใหม่ก็ไม่ค่อยสนุก ไม่รู้จะอ่านอะไรเดินวนไปวนมาในร้าน นิยายจีนก็ขี้เกียจอ่านแม่งยาวกันจัง นิยายแจ่มใสก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ส่วนไลท์โนเวลก็ไม่มีให้เช่า ผมก็เดินวนไปวนมาจนมาถึงมุมหนังสือแปล ดูเหมือนว่าหนังสือแปลญี่ปุ่นและฝรั่งจะไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ เพราะมีแต่หนังสือค่อนข้างเก่า ผมก็ได้หยิบหนังสือบางๆเล่มนึงชื่อว่า “อินสตอล” ขึ้นมา จุดจดจำของผมที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ก็คือ “ได้รางวัลอาคุตางาว่า” “แต่งโดยหญิงสาวอายุ 19” และ “มีเนื้อหาเกี่ยวกับเว็บอโคจร” และด้วยความที่มันเล่มไม่หนานัก ผมจึงใคร่ลองจะเปลี่ยนบรรยากาศหยิบมันมาอ่านแก้เสียเวลาเสียบ้าง และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนบรรยากาศแบบ Long Vacation ไปแทน


แน่นอนว่าทั้งหมดสปอย“อินสตอล” (インストール) โดย วาตายะ ริสะ

เด็กสาววัยรุ่นคนนึงอยู่ช่วงอารมณ์อยากจะทำอะไรสักอย่างนอกกรอบเดิมๆอันแสนน่าเบื่อ เธอแอบขนของทุกอย่างในห้องของเธอไปทิ้ง โต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ นาฬิกา ตู้เสื้อผ้า และคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างกองอยู่ที่ทิ้งขยะ และนั่นก็ทำให้เธอได้พบกับเด็กประถมคนนึงที่สนใจคอมพิวเตอร์เก่าของเธอจึงเอ่ยปากขอและขนกลับไปที่บ้าน อินสตอลโปรแกรมใหม่จนใช้งานได้ แถมยังเสนองานเซ็กส์แชทให้เธอทำอีกตะหาก เด็กสาวคนนั้นทุกวันก็จะโดดเรียนไปแอบในห้องของเด็กคนนั้น พ่อแม่ของเด็กคนนั้นไปทำงาน เด็กคนนั้นก็ไปเรียน เธอใช้คอมพิวเตอร์เก่าของเธอเล่นเซ็กแชทกับคนมากหน้าหลายตาไปเรื่อยๆ ได้พบเจอคนหลายประเภท วันนึงแม่ของเธอก็จับได้ว่าเธอไม่ไปเรียนและทิ้งของในห้องไปหมดสิ้น และแม่ของเด็กคนนั้นก็จับได้ว่าเธอแอบไปอยู่ในบ้านทุกวัน เธอรู้สึกได้ว่าแม่ของเธอนั้นชราลงเหลือเกิน เธอจึงวิ่งหนีไป…. แล้วก็ได้ตังค่าเซ็กแชทมาแบ่งกับเด็กคนนั้น แล้วเธอก็กลับไปเรียนตามปกติ….

เล่าเหมือนจืดๆ จริงๆไม่จืดเท่านี้นะ เราจะได้อารมณ์ของเด็กวัยรุ่นที่อยากจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่เหมือนคนอื่น แม้ว่ามันจะไร้สาระขนาดไหนก็ตาม ในเรื่องไม่มีความโรมานซ์ระหว่างนางเอกกับเด็กประถมชายคนนั้นเลย ก็สนิทกันธรรมดาๆ หลังจากผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบผมก็ได้ไปหาหนังเรื่องเดียวกันนี้มาดู พบว่าไม่สนุกเลย งั้นๆมาก มีดีที่อายะอุเอโตะเป็นนางเอกเท่านั้น และหลังจากหาข้อมูลสักพักก็พบเรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างนึง นั่นก็คือ… วาตายะ ริสะ คนเขียนเรื่องนี้นั้นเป็นสาวน้อยน่ารักมาก! อีกอย่างก็คือหนังเล่มนี้ถ้าอ่านคำโปรยจากหน้าปกจะนึกว่าเป็นหนังสือสมัยใหม่ ทันสมัย ทันโลก แต่เปิดไปสามหน้าพบว่านางเอกใช้บราวเซอร์ Netscape…. แถมในหนังนางเอกใช้เครื่อง Apple LCII หนำซ้ำยังลง OS9 ได้ด้วย! โม้ฉิบ (จริงๆคือมันลง OS7 ก็แทบจะไม่ไหวแล้ว)

หลังจากนั้นเล่มที่สองที่ผมหยิบก็คือ

“หลับ” (白河夜船) โดย โยชิโมโตะ บานานา
หลับเป็นรวมเรื่องสั้นสามเรื่องที่มีธีมเดียวกันคือ​ “หลับ”

หลับ

หญิงสาวคนนึงมีความสัมพันธ์กับหมอที่มีภรรยาแล้ว แต่ภรรยาของเขาอยู่ในสภาพสมองตายนอนในโรงพยาบาล ความสัมพันธ์ของเธอก็เลยค้างๆคาๆ เธออาศัยอยู่กับเพื่อนของเธอที่ทำอาชีพโสเภณีหลับ ที่จะไปนอนกับคนโน้นคนนี้โดยไม่ได้มีอะไรกัน นอนเฉยๆเพื่อเยียวยาทางจิตใจ แต่เพื่อนของเธอจู่ๆก็ฆ่าตัวตาย เธอไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอได้พบกับวิญญาณภรรยาของหมอที่เธอคบด้วย แล้วก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในที่สุด

นักเดินทางยามค่ำคืน

เรื่องนี้จะเล่าเรื่องซ้อนกันหลายชั้น คือคนเล่าเรื่องจะไม่ใช่ตัวละครหลักในเรื่อง เป็นเพียงมุมมองเฉยๆ ชิบามิเป็นเพื่อนกับมาริและมีน้องชายชื่อโยชิฮิโร่ โยชิฮิโร่ได้ตกหลุมรักฝรั่งสาวคนนึงที่มาเที่ยวญี่ปุ่นชื่อซาร่า และหนีตามกันไปที่อเมริกา แต่แล้วก็ไปด้วยกันไม่ได้ โยชิฮิโร่กลับมาหามาริและคบกันแล้วจู่ๆก็ตายไป มาริตกอยู่ในสภาพซึมเศร้า ชิบามิก็คอยให้กำลังใจเธอ วันนึงชิบามิได้รับโทรศัพท์ที่ไม่มีคนพูดหลายครั้ง ด้วยอะไรบางอย่างทำให้เธอคิดว่าเป็นซาร่า ชิบามิไปตามหาที่โรงแรมและเจอกับซาร่ากับสามีใหม่เป็นฝรั่งและลูกชายที่ดูยังไงก็มีเชื้อสายเอเชีย เธอมั่นใจว่านั่นต้องเป็นลูกของโยชิฮิโร่แน่นอน แล้วชิบามิก็กลับมาอยู่กับมาริต่อพร้อมกับเก็บความลับนั้นไว้

เพลงรัก

หญิงสาวคนนึงชื่อฟุมิเป็นโรคติดเหล้าหน่อยๆ อยู่กับแฟนที่มีความสุขกันดี วันนึงเธอได้ยินเพลงแว่วแล้วนึกถึงผู้หญิงอีกคนนึงที่ชื่อฮารุ ฟุมิกับฮารุเคยชอบผู้ชายคนเดียวกัน(ไม่ใช่แฟนคนปัจจุบัน) และแย่งกันอย่างดุเดือด แฟนคนปัจจุบันของเธอเลยช่วยตามหาฮารุและพบว่าตายไปแล้ว แฟนเธอเลยพาไปที่ร้านเหล้าแห่งนึงที่อ้างว่าทำให้พบกับคนที่ตายไปแล้วได้ ที่นั่นเธอได้คุยกับฮารุอีกครั้ง และพบว่าจริงๆแล้วการที่เธอกับฮารุแย่งผู้ชายกันจะเป็นจะตายได้กลายเป็นความรักต่อกัน ช่วงท้ายทั้งสองคนไม่แคร์ในตัวผู้ชายที่แย่งกันเลย เพียงขอให้ได้พบกันและทะเลาะกัน(แสดงความรัก?) และฟุมิยอมรับว่าเป็นรักแบบเลสเปี้ยน เธอกล่าวลาฮารุแล้วก็ออกจากร้านไปกับแฟนของเธอ

บอกตรงๆเลยว่าเล่มนี้ผมชอบแต่แทบจะจำอะไรไม่ได้เลย เพราะมันเป็นเรื่องสั้นด้วยมันเลยปนๆกัน ผมเลยใช้วิธีเปิด wiki ช่วยในการเขียน จริงๆแล้วต้นฉบับของญี่ปุ่นไม่ได้เรียงเรื่องแบบนี้ แต่จะเรียงจาก นักเดินทาง→เพลงรัก→หลับ แทน เรื่องหลับนี้ผมไม่ชอบเท่าไหร่ ดูมันลอยๆและไม่มีความประทับใจ เรื่องนักเดินทางยามค่ำคืนสนุกมาก พล๊อตเขียนเป็นเรื่องยาวได้สบาย ที่ชอบเป็นพิเศษคือเรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองของบุคคลที่สามที่เป็นผู้หญิง(ในเรื่องมีแฟนแล้วอีกตะหาก) และจะใช้วิธีค่อยๆปล่อยความจริงทีละอย่าง เราจะรู้จักโยชิฮิโร่ก่อน→รู้จักซาร่า→รู้จักมาริ→กลับไปหาซาร่า คนเล่าเรื่องจะสนิทกับมาริเป็นพิเศษและก็รู้สึกได้เลยว่ามาริจมอยู่ในห้วงลึกขนาดไหน เรื่องที่สามเพลงรักนี่ก็ชอบ มันบ้าดีตรงที่บอกว่าแย่งผัวกันมากกลายเป็นรักกัน มันแบบเออแม่งก็บ้า….แต่ก็เป็นไปได้มั้ง? หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่ผมได้รู้จักการแปลของ “เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย” ผมขอนับรวมความเหลื่อมล้ำของยุคสมัยไปพร้อมกันเลยทีเดียวนะ ผมคิดว่าเป็นหนังสือที่แปลได้ไม่ดีเอาเสียเลย ที่พอรับได้คือฉากพรรณาบรรยากาศ แต่บทพูดและอารมณ์ในเรื่องนี่ไม่ไหวจริงๆ แปลจากภาษาอังกฤษ สำนวนบางครั้งแข็งจนน่าขายหน้า แทบจะรู้สึกเลยว่าต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนว่าอย่างไร แต่ก็นะ…มันแปลมาตั้งแต่ 9 ปีที่แล้ว

ลาก่อนซึกุมิ (TUGUMI) โดย โยชิโมโตะ บานานะ

มาเรียตอนนี้อยู่กับพ่อและแม่ของเธอที่โตเกียว เดิมที่แม่ของเธอนั้นเป็นเมียน้อยและอาศัยอยู่ต่างจังหวัดกับมาเรีย ในที่สุดพ่อของมาเรียก็หย่ากับภรรยาด้วยความยากลำบากและมาแต่งงานกับแม่ของเธอ และพามาเรียมาอยู่ด้วยกันที่โตเกียว บ้านเดิมของมาเรียที่ต่างจังหวัดนั้นเธอมีเพื่อนสมัยเด็กคนนึงชื่อสึกุมิ สึกุมิเป็นคนสวยมาก แล้วก็มีร่างกายอ่อนแอ ที่สำคัญที่สุดก็คือสึกุมิเกรียนมาก สาเหตุก็เพราะสึกุมิร่างกายอ่อนแอเลยทำให้ไม่มีใครกล้าขัดใจเธอ ส่งผลให้สึกุมิเอาแต่ใจ นิสัยเสีย หยาบคาย และเกรียนถึงที่สุด หากไม่ได้ดั่งใจเธอจะลงไปชักเหมือนจะตาย และถ้าดุเธอ วันรุ่งขึ้นเธอจะป่วยเข้าโรงพยาบาลทันที….. ถ้าตีก็คงตายอยู่ตรงนั้นเลยมั้ง สึกุมิเป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนกับว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันตายตลอดเวลา วันนึงมาเรียได้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าของเธอและได้พบกับสึกุมิอีกครั้ง

สึกุมิเป็นคนสวยและมีผู้ชายมาติดพันอยู่เรื่อยๆ แต่เธอก็ไม่ได้ชอบใครจริงจัง (และด้วยความเกรียนทำให้หนุ่มๆรับกันไม่ได้) สึกุมิมีพี่สาวหนึ่งคนชื่อโยโกะ โมเอ้มาก เป็นหญิงสาวนิสัยดี ขี้แย คอยดูแลสึกุมิทุกอย่างโดยละทิ้งความสุขส่วนตัวไว้ ทำงานอยู่ร้านขายเค้ก และขอเค้กเหลือๆ กลับมาบ้านเสมอ (จริงๆแล้วบ้านสึกุมิเป็นเรียวกัง มีอันจะกินระดับนึง) สึกุมิ มาเรีย และ โยโกะ เป็นเพื่อนกันสามคนตั้งแต่เด็ก วันนึงระหว่างที่มาเรียกลับมาที่บ้านเก่า สึกุมิได้พบกับลูกชายเจ้าของรีสอร์ทจูงหมามาเดินเล่น และเขาได้ชอบสึกุมิและสึกุมิก็ชอบเขา ทั้งสองคนก็คบกัน ผู้ชายถูกหมั่นไส้และโดนจิ๊กโก๋มาหาเรื่องและเอาหมาไปโยนทะเล ทุกคนออกตามหาและช่วยหมากลับมาได้ แต่วันรุ่งขึ้นหมาก็หายไปอีกครั้งและคราวนี้ก็ไม่มีใครหาเจอ สึกุมิโกรธมากเธอจึงวางแผนจะแก้แค้นด้วยการไปหาหมาที่เหมือนกับหมาตัวเก่ามาเพื่อเอาไปล่อให้พวกจิ๊กโก๋เห็นและตามมาจับไปอีกครั้ง สึกุมิก็ขุดหลุมพรางดักไว้ จิ๊กโก๋ตกไปเกือบตาย แต่โยโกะช่วยเอาไว้ทัน วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มาเรียกลับโตเกียว สึกุมิป่วยหนักและเข้าโรงพยาบาลยาว หลายอาทิตย์ต่อมาอาการของสึกุมิทรุดลง มาเรียพอได้รับข่าวก็จะไปเยี่ยมทันที แต่วันรุ่งขึ้นแฟนของสึกุมิก็โทรมาหาเธอและบอกว่าสึกุมิอาการดีขึ้นแล้ว มาเรียได้คุยกับสึกุมิและสึกุมิพยายามจะบอกให้มาเรียอย่าอ่านจดหมายที่เธอเขียนถึง ให้ทิ้งไปเลย ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เรื่องในจดหมายมันช่างน่าอายเหลือเกิน วันรุ่งขึ้นจดหมายของสึกุมิก็มาถึง จดหมายนั้นเล่าว่าสึกุมิรู้สึกว่าเธอกำลังจะตาย เวลากลางคืนนั้นช่างทุกข์ทรมาน วันเวลาที่ผ่านมาทุกอย่างๆที่ได้พบเจอเป็นสิ่งมีค่าสำหรับเธอ ลาก่อนและขอบคุณโลกใบนี้

เรื่องสึกุมินี่ผมชอบมากเลย แม้จะกระดากๆ กับสำนวนแปลอยู่มาก มั่นใจว่าถ้าแปลดีๆ จะชอบกว่านี้เยอะ ผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นชื่อนางเอกว่า “ท์สึกุมิ” และการพยายามทำให้สึกุมิพูดจาหยาบคายแบบครึ่งๆกลางๆ ภาษาญี่ปุ่นมีเรื่องของสรรพนามและสำนวนเยอะกว่าภาษาอังกฤษ การแปลข้ามภาษาสองชั้นก็ทำให้รายละเอียดหายไปอยู่แล้ว และตัวผู้แปลเองก็ไม่สามารถเข้าใจถึงจุดนี้ได้เลย สำหรับสึกุมิ นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ โยชิโมโตะ บานาน่า เล่าเรื่องด้วยบุคคลที่สามที่ไม่ได้เป็นตัวแปรสำคัญของเรื่อง เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เฉยๆ แม้ว่าประเด็นเรื่องครอบครัวของมาเรียก็น่าสนใจไม่น้อยก็ตาม แน่นอนอยู่แล้วว่าผมต้องชอบสึกุมิ เพราะสึกุมิเป็นตัวละครที่มีพลังแต่ทว่าเปราะบาง ความรักในเรื่องนั้นเป็นประเด็นรอง ในเรื่องสึกุมิเองก็พูดเสมอว่าเธอไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร เธอไม่มั่นใจแม้กระทั่งว่าพรุ่งนี้เธอจะยังรักกันมั้ย มีชีวิตหรือไม่ เธอแค่เพียงทำในสิ่งที่อยากทำเท่านั้น ตัวละครอีกคนที่ชอบก็คือโยโกะ เธอดูน่าสงสารมาก… เป็นกระโถนรองรับอารมณ์สึกุมิเสมอ โยโกะเป็นคนมักน้อย อ่อนโยน มีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่เคยปริปากบ่น ลึกๆแล้วสึกุมิก็ขอบคุณเธอมากเหมือนกัน สิ่งที่ผมจำได้ไม่ลืมเลยคือฉากกลางดึกตอนที่จิ๊กโก๋มาตกหลุมแล้วโยโกะไปช่วยออกมา เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องสึกุมิในสภาพเปื้อนไปด้วยโคลน น้ำตานองหน้าแล้วตะโกนใส่สึกุมิว่า “ถ้าเธอยังทำแบบนี้ต่อไปเธอจะต้องตายเข้าสักวันนะ” นั่นเป็นครั้งเดียวที่โยโกะขึ้นเสียงใส่สึกุมิ และก็เป็นครั้งเดียวที่สึกุมิขอโทษโยโกะ เป็นฉากธรรมดาๆแต่กลับทำให้หัวใจผมเต้นแรงอย่างน่ากลัว…

เป็นประกาย (きらきらひかる) โดย เอคุนิ คาโอริ

คู่แต่งงานใหม่คู่นึงที่ฝ่ายชายเป็นเกย์และฝ่ายหญิงเป็นโรคติดเหล้า ทั้งคู่ต่างมีปมที่อับอายต่อสังคมและแต่งงานกันเพื่อให้พ่อแม่พอใจและปกปิดปมด้อย ผู้ชายชื่อมุตสึกิทำงานเป็นหมอ ฝ่ายหญิงชื่อโชโกะไม่ได้ทำงานอะไร เป็นแม่บ้านคอยคุยกับต้นไม้และรูปในกรอบ มุตสึกิเป็นคนใจเย็นและมีคนรักเป็นหนุ่มนักศึกษาชื่อคง โชโกะติดเหล้าอย่างรุนแรงและอารมณ์ขึ้นๆลงๆทุกครั้งที่เมา มุตสึกิจะคอยดูแลโชโกะเสมอ ทั้งสองคนรักกันในแบบที่ไม่ใช่ความรักของชายกับหญิง ไม่เคยมีเซ็กส์กัน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายดีเกินกว่าจะมาแต่งงานด้วย วันนึงโชโกะบอกให้มุตสึกิชวนคงมาที่บ้าน คงและโชโกะสนิทกันอย่างรวดเร็ว พ่อแม่ของทั้งคู่อยากให้โชโกะมีลูกแต่มุตสึกิบ่ายเบี่ยง วันนึงความลับเรื่องมุตสึกิเป็นเกย์ก็แตก พ่อแม่ของทั้งคู่รู้เรื่องและบอกให้มุตสึกิเลิกกับคง โชโกะปรึกษาหมอว่าจะสามารถทำกิฟท์โดยใช้อสุจิจากทั้งมุตสึกิและคงให้เธอท้องเพื่อที่จะเป็นลูกของคนสามคนได้ไหม คงรู้เข้าจึงหนีไปจากชีวิตของทั้งสองคน แต่จริงๆแล้วคงแค่หลบหน้าไปเฉยๆ ให้พ่อแม่ของทั้งคู่คิดว่าคงและมุตสึกิเลิกกัน แล้วชีวิตรักสามแขนงบิดเบี้ยวก็ดำเนินต่อไป

เดิมทีผมคิดจะหาหนังสือของ โยชิโมโตะ บานาน่า มาอ่านต่อ แต่ดูเหมือนว่าในร้านจะไม่มีแล้ว เงื่อนไขเวลาผมเลือกหนังสืออ่านก็คือ 1)ผมไม่ชอบเรื่องแฟนตาซีเหนือจริง 2)ผมไม่ชอบนิยายฆาตกรรม 3)ผมชอบเรื่องที่ตัวเอกเป็นผู้หญิง หลังจากเลือกไปเลือกมาก็ได้เล่มนี้แบบกล้ำกลืนนิดหน่อย เพราะคำโปรยบอกว่าเป็นเรื่องของเกย์ แต่ในเรื่องไม่ได้เน้นเรื่องชีวิตของเกย์เท่าไหร่ เรื่องนี้แต่ละบทจะสลับกันเล่าเรื่องผ่านมุมมองของโชโกะและมุตสึกิ ในเรื่องแสดงให้เห็นความรู้สึกของคนทั้งสองอย่างงดงาม (เล่มนี้ไม่ได้แปลโดยเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย แต่แปลโดย น้ำทิพย์ เมธเศรษฐ และแปลจากภาษาญี่ปุ่น แปลดีกว่ามากๆ) โชโกะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ รู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำ มุตสิกิก็เป็นคนดีเหลือเกิน เรื่องที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือหนังสือเล่มนี้เขียนในปี 1992 (เกือบ 20 ปีมาแล้ว!?) ตัวละครในเรื่องจะติดต่อกันด้วยโทรศัพท์บ้านและเดินทางด้วยรถเมล์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือว่ารถไฟในเรื่องเลย หลังจากอ่านจบก็รู้สึกว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าประทับใจ ถ้าผมจำไม่ผิด เอคุนิ คาโอริ นี่เขียนเรื่อง Blu ด้วยมั้ง

แล้วฉันจะกลับมา (いま、会いにゆきます) โดย อิชิคาวะ ทาคุจิ

ชายคนนึงภรรยาตายไปแล้ว เขาเป็นโรคบางอย่างที่ทำให้อยู่กับคนเยอะๆไม่ได้จึงมาอาศัยอยู่ที่บ้านนอกกับลูกชายสองคน วันนึงเขาได้พบกับหญิงสาวคนนึงซึ่งเหมือนกับภรรยาของเขาที่ตายไปแล้วไม่มีผิด แถมเธอยังความจำเสื่อมอีก เขาพาเธอมาอยู่ด้วยกันและได้รักเธออีกครั้ง หลังจากหมดฤดูฝนเธอก็หายไป ชายคนนั้นได้อ่านบันทึกที่ภรรยาของเขาทิ้งเอาไว้ว่าจริงๆแล้ว เธอที่เขาได้พบเมื่อฤดูฝนนั้นเป็นเธอที่ประสบอุบัติเหตุและย้อนเวลากลับมาพบกับเขา และได้ตกหลุมรักเขา แล้วก็กลับไปแต่งงานกับเขานั่นเอง

จริงๆควรจะเล่าให้ละเอียดกว่านี้หน่อย แต่ผมมีปัญหาจริงๆอยู่ว่าผมเรื่องนี้ผมได้ดูหนังก่อนแล้วค่อยอ่านหนังสือ หลายๆอย่างในเรื่องแตกต่างกันระหว่างเวอร์ชั่นหนังและเวอร์ชั่นหนังสือ และผมจำไม่ได้ว่าอันไหนมันอยู่ในอะไร… สิ่งที่ผมมั่นใจก็คืออารมณ์ของทั้งสองเรื่องต่างกัน และหนังนั้นดัดแปลงหนังสือได้อย่างฉลาดและควรจะเป็นจริงๆ ผมดูหนังเรื่องนี้เพราะว่าโปรโมทกันเหลือเกินว่าเศร้าน้ำตาไหลพรากๆ ผมเห็นหน้าปกแล้วคิดว่าต้องเป็นดราม่าพ่อลูกอันสุดแสนน่าเบื่อแน่ๆ พอได้ดูก็เป็นอย่างที่คิดครึ่งนึงและอีกครึ่งนึงก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่เลวเหมือนกันนะ พอไปเอาหนังสือมาอ่านกลับรู้สึกว่าไม่ประทับใจไหร่ เพราะคิดว่าจะได้เก็บรายละเอียดส่วนที่หนังตัดทอนไปแต่กลายเป็นในหนังสือแทบไม่มีส่วนที่ในหนังไม่มีเลย แต่กลับกันในหนังกลับมีหลายอย่างที่ในหนังสือไม่มี สิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบในหนังก็คือนางเอกหน้าแก่จัง….

หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข (ひとかげ) โดย โยชิโมโตะ บานาน่า

ชายหนุ่มคนนึงพบกับหญิงสาวคนนึง และตกหลุมรัก ทั้งคู่ค่อยๆทำความรู้จักกัน เขาเรียกเธอว่า “จิ้งเหลน” (ひとかげ มนุษย์จิ้งเหลน) เธอค่อยๆเปิดเผยตัวเองออกมาว่าเธอกำลังลงโทษตัวเองให้ไม่มีความสุข ฝ่ายชายค่อยๆทำความเข้าใจเธอและพาเธอออกมาพบกับความสุข

หลังจากที่ผมไม่พบหนังสือของ โยชิโมโตะ บานาน่า ในร้านเช่าแล้ว ผมจึงไปขอยืมมาจากพี่แทน(ทำไมมึงไม่ซื้อ….) เล่มนี้ออกจะแปลกๆหน่อยเพราะเป็นหนังสือไม่เก่า พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น เล่มบางเฉียบ แถมมีภาพปกและภาพประกอบโดย วิศุทธิ์ พรนิมิตร อีกตะหาก ว่ากันตรงๆเรื่องนี้ไม่ได้เน้นที่เรื่องราวแต่เน้นที่ความรู้สึกแทน ส่วนตัวแล้วไม่ประทับใจเท่าไหร่ แต่ก็มีจุดที่ชอบอยู่บ้าง

แมวมอง (吾輩は猫である) โดย นัตสึเมะ โซเซกิ

แมวตัวนึงในที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ (แอบ)อาศัยอยู่กับเซ็นเซย์ที่เป็นนักเขียนนิยายขายไม่ออกในยุคญี่ปุ่นเพิ่งเปิดประเทศ เจ้าแมวตัวนี้เฝ้ามองมนุษย์ด้วยความเบื่อหน่ายความขลาดเขลาของมนุษย์ที่ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

ยืมมาอีกแล้วสำหรับเล่มนี้ อยากรู้ว่างานของนักเขียนรุ่นเก่าและเก๋าอย่าง นัตสึเมะ โซเซกิ (บุคคลบนแบงค์ 1000 เยน) ที่ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างไร พออ่านก็พบว่า…. อ่านยากหว่ะ (หรือว่าจริงๆแล้วกรูโง่!?) เป็นเรื่องเสียดสีสังคมและการเมืองญี่ปุ่นสมัยนั้น มีบริบทเรื่องการเมืองและบุคคลในประวัติศาสตร์เยอะเลย แถมยังแปลได้อ่านยากมาก(ในเรื่องมันก็ยากอยู่แล้ว) อ่านไปจบเล่มปรากฏว่า… มันเป็นเล่ม 1 และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ… ไม่มีเล่มสองต่อ…
หลังจากอ่านแมวมองไม่สนุก ผมก็หมดไฟไม่ได้ไปหาอะไรอ่านอีก (ไม่นับไลท์โนเวล) เพราะที่ร้านไม่ค่อยมีหนังสือแปลกๆแล้ว (มีที่เล็งๆไว้อยู่สองสามเล่ม รอมีอารมณ์ก่อน) น่าแปลกอย่างนึงก็คือผมได้ไปซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเองด้วยหลายเล่ม แต่กลับอ่านไม่จบหรือยังไม่ได้อ่านเลย หนังสือที่ซื้อมามีราคาเล่มละเป็นร้อยหรือหลายร้อย แต่กลับไม่มีแรงกดดันให้อ่านเลย ต่างกับเวลาที่ไปเช่ามาอ่าน ผมจะรู้สึกเร่งรีบร้อนใจทุกครั้งที่รู้ตัวว่ายังไม่ได้อ่านและเย็นนี้ต้องเอาไปคืนแล้ว มันทำให้ผมมีพลังในการอ่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ เงินสิบยี่สิบบาทที่อยู่ในกระเป๋านั้นมีน้ำหนักมากกว่าเงินหลายร้อยที่ออกจากกระเป๋าไปแล้วเสียอีก ช่างแปลกเหลือเกินนะมนุษย์เรา

7 thoughts on “350 | อ่านนิยายมั่ง”

  1. ชอบหลับ ลาก่อนซึกุมิ กับเป็นประกายมาก
    โดยส่วนตัวแล้วชอบของเอคุนิ คาโอริกับโยชิโมโตะ บานานา แม้บางเรื่องจะเรียบๆ เนิบๆ แต่อ่านแล้วรู้สึกมันเรียล
    อ.น้ำทิพย์แปลเก่งค่ะ ชอบตอนแปลเรื่อง Ring เห็นจิบิบอกว่าเป็นสาววาย(?)
    ถ้าผมจำไม่ผิด เอคุนิ คาโอริ นี่เขียนเรื่อง Blue ด้วยมั้ง <== เขียน Rosso ค่ะเล่มที่คู่กะ Blu
    เรื่อง "หล่น" ก็โอเคนะ แนวประมาณนี้แหละ

  2. เอคุนิ คาโอริ เขียน Rosso เหรอ จำผิดเล่ม
    จริงๆตอนนี้หาคิทเช่นอ่านอยู่ ยังหาไม่ได้เลย มีมุราคามิอีกสองเล่มยังอ่านไม่จบ
    อ่านๆไปชักเบื่อแฮะมุราคามิ เท่ตัลหลอด….จะเท่ไปไหน

  3. ไม่รู้ยังไง ทั้งที่ชอบมังงะ อนิเม เกมญี่ปุ่น แต่กลับไม่ค่อยชอบนิยายญี่ปุ่นเท่าไหร่(อนิเมที่มาจากไลท์โนเวล ก็น้อยมากที่จะดู)
    ส่วนตัวชอบแนวลึกลับ สยองขวัญ (แต่ไม่เน้นสืบสวน) นักเขียนที่ชอบของไทยก็อย่างครูเหม ฝั่งตะวันตกก็โรอัลด์ ดาห์ล แต่นักเขียนญี่ปุ่นขนาดลองอ่านของระดับขึ้นหิ้งอย่างเอโดงาว่า รันโปแล้วก็ยังรู้สึกงั้นๆ มีเล่มไหนแนะนำให้ไปลองอ่านมั่งมั้ยเนี่ย เผื่อจะเจอที่ถูกใจมั่ง

    1. ไม่ชอบอ่านแนวลึกลับ สยองขวัญ เท่าไหร่ เลยไม่รู้จะแนะนำอะไร
      แต่เท่าที่อ่าน อารมณ์ญี่ปุ่นมันจะเนิบๆ ไม่เร้าใจ แล้วก็เหตุผลมักจะอ่อนๆ…

  4. ไม่อ่านนิยายไทยบ้างหรอครับ?
    มุราคามินี่เปนยังไงหว่า เห็นคนพูดถึงเยอะกะจะลองหามาอ่านดู

    1. นิยายไทย…. อืม ไม่ค่อยได้อ่านแฮะ ถ้าหนังสือไทยก็พออ่านมั่ง
      แต่ไม่ได้อ่านนิยายเลย ยิ่งพวกนิยายรุ่นใหม่นี่หยิบยังรู้สึกแปลกๆเลย
      มุราคามินี่อืม… ก็เป็นนักเขียนนิยายยุคหลังนี้ที่เขียนนิยายได้แปลกใหม่ดี
      เป็นแฟนตาซีกลิ่นบุหรี่และเซ็กส์ที่ทิ่มแทงใจคนที่คิดว่าตัวเองเป็นปัญญาชนดี
      ส่วนตัวก็คิดว่าก็ดีนะครับ หลายเรื่องก็สนุกดี เวลาอ่านจะเมาๆเบลอร์ๆหน่อย
      แล้วก็ไม่ชอบกระแสที่เห่อกัน คือกลุ่มที่เห่อจะเป็นแนวๆ กุติสต์ กุฉลาด
      อ่านมุราคามิแล้วกุเท่ อะไรประมาณนั้นซะเยอะ นึกภาพ a day ยุคแรกๆดู
      ราวๆนั้นเลย
      ส่วนที่ไม่ชอบที่สุดของงานมุราคามิในเมืองไทย ก็คือมันถูกจัดทำโดย
      คนในวงการวรรณกรรมไทยยุคเก่าที่ค่อนข้างล้าสมัย งานก็เลยออกมา
      แนวอยากโชว์พาว อยากมีส่วนร่วม แต่เอาเข้าจริงคุณภาพการแปล
      หลายเรื่องนั้นเสียอรรถรสมาก และก็ชอบเอานักเขียน เอาบก. มาแปล
      จากภาษาอังกฤษ สำนวนมันก็เลยแปลกๆ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณด้วย
      ที่อย่างน้อยก็มีแปลออกมาได้เยอะดี ไม่งั้นคงหาอ่านไม่ได้

  5. เป็นประกายนี่อ่านมานานมาก สิบปีขึ้นไป แปลกใจที่ยังมีให้อ่าน ส่วนตัวไม่ค่อยประทับใจในสมัยนั้น อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าใจชีวิตคนญีปุ่น(วะ)
    ช่วงนี้ได้อ่านงานของมุราคามิ พึ่งรู้ว่าอ่านแล้วกุติสต์ กุฉลาด กุเท่
    พวกชนชั้นกลางในเมืองหลวงช่างชอบปรุงแต่ง
    สำนักพิมพ์นี่ก็แปลดีนะ เสียอย่างที่ราคาแพง สองเล่มเกือบพันกินข้าวได้แปดวัน
    หนังสือของมุราคมมิก็ดันไม่เจอมือสองกับร้านเช่า
    ก็ได้แต่คิดว่าเหล้าบ่มราคาก็ต้องราคาแพง
    ตลกตัวเองที่ซื้อหนังสือมาเพื่อให้ได้เมา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *