209 | ef – a tale of melodies. | 07. reflection

ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา
ยูโกะเดินอยู่คนเดียว..เสื้อผ้าเปียกปอน
เธอแหงนหน้าขึ้น มองแล้วมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด

00007. reflection

อีกด้านหนึ่ง ยูที่กำลังคลุ้มคลั่งได้ใช้แป๊บน้ำทุบทำลายก้อนหินเพื่อระบายอารมณ์ ยูกล่าวโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมด “ใช่แล้ว เป็นเพราะเธอนั่นหล่ะ ยูคุง” ยูโกะเอ่ยขึ้นท่ามกลางสายฝน ยูหมดสิ้นเรื่ยวแรงคุกเข่าลงกับพื้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขานั่นหล่ะที่ทอดทิ้งยูโกะไป

อะไรที่มันจะได้มามันก็จะได้มาเอง อะไรที่ไม่ได้มาก็ไม่ควรจะปรารถนาตั้งแต่แรก คุเซะกำลังจัดการกับยาจำนวนมากมายและขีดฆ่าแต่ละวันที่ผ่านไปบนปฏิทิน ถ้าสู้แล้วชนะก็ลุยเลย ถ้าสู้แล้วแพ้ก็ไม่ควรร่วมตั้งแต่แรก นั่นเป็นคติประจำใจของคุเซะที่เชื่อมานานแล้ว นางิก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอกำลังคุยกับคุเซะอยู่ ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นขึ้นเพื่อจบลงนั้นมันก็ไม่มีความหมายเช่นกัน ในลักษณะเดียวถ้ามีชีวิตอยู่เพื่อตายมันก็ไม่มีความหมายเช่นกัน นางิถามคุเซะว่าอย่างนี้ดีกับมิสึกิจังแล้วจริงหรือ คุเซะบอกว่าดีแล้วล่ะ และขอบคุณนางิ ทีนี้เขาจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขซะที อีกด้านนึงมิสึกิก็นอนไม่หลับ เธอกังวลว่าจะฝันถึงเรื่องนั้นอีก


000004 : Und :

ระหว่างทางที่ยูโกะกลับบ้าน ท่ามกลางฝนที่โปรยปราย ยูได้มาดักรอยูโกะอยู่ ยูไม่ต้องการให้ยูโกะกลับไปที่บ้านหลังนั้น แต่ยูโกะกลับไม่สนใจและบอกว่าที่นั่นเป็นเพียงที่เดียวที่เธอจะกลับไปได้ ยูคว้ามือของยูโกะไว้และรั้งไว้ แต่ยูโกะก็ไม่สนใจและบอกให้ยูปล่อย “อยากกลับไปจริงๆเหรอ อยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเหรอ!?” ยูถามยูโกะด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยูโกะหันกลับมาแล้วพูดขึ้นมาว่า “แล้วมาพูดอะไรกันตอนนี้”


000017 : Glaub’ : เชื่อ

ยูเดินตรวจตราไปรอบๆโบสถ์ เขาเห็นหญ้าที่ขึ้นรกจึงเข้าไปจัดการให้เรียบร้อย มีเสียงผู้หญิงทักเขาขึ้นมาว่าถอนหญ้ากลายเป็นงานอดิเรกของนายไปแล้วเหรอ พอยูหันไปมองก็พบว่าเป็นนางินั่นเอง ทั้งสองไปหาที่สงบๆคุยกันที่ริมทะเล ยูถามว่าไปเป็นคู่หมั้นของคุเซะตั้งแต่เมื่อใหร่กัน แต่นางิคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุด ยูบอกว่าโกหกเดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก นางิบอกว่าเพราะจุดนั้นหละที่สำคัญ ตราบใดที่สามารถสื่อได้ว่าคุเซะต้องการจะแยกจากมิสึกิจังได้ จะใช้คำพูดแบบใหนก็ไม่สำคัญหรอก ไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือความจริงที่ซ่อนไว้ นางิหันหน้าไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังตกและบอกว่าตอนสมัยเรียน คุเซะนั้นชอบเธอ ยูมีสีหน้าตกใจ นางิถามว่ายูไม่รู้หรอกเหรอ เพราะว่าคุเซะนั้นรุ้ว่านางิชอบยูอยู่ เค้าจึงเก็บเงียบเอาไว้ พอได้ยินยูก็ประหลาดใจที่คนบ้าผู้หญิงแบบนั้นเลือกมิตรภาพเหนือความรัก แต่นางิบอกว่ามันไม่ใช่หรอก คุเซะน่ะจะไม่เล่นเกมที่เขารู้ว่าจะแพ้ นางิบอกว่าน่าตกใจเหมือนกันนะที่ตอนนั้นทั้งนางิและคุเซะคล้ายคลึงกันเหลือเกิน แล้วนางิก็ถามยูต่อว่าอยากจะเล่นเกมนั้นต่ออีกครั้งใหมล่ะ ยูตอบว่าไม่รู้สิ…ลืมไปหมดแล้ว หันหลังให้กับมันสินะ นางิพูดกับยู แต่ยูบอกว่าเขามีตาข้างหลังและก็เกมนี้สำหรับเขาแล้วมันยังไม่จบ

000053 : Beruhrung : Encounter

ท่ามกลางฝน ยูกับยูโกะยังคงอยู่ที่นั้น ยูถามยูโกะว่าทำไมไม่บอกเขาให้เร็วกว่านี้ ยูโกะบอกว่ายูพูดอะไรไร้สาระ ถึงบอกไปแล้วอะไรมันจะเปลี่ยนหรือไง ถ้าบอกไปแล้วยูจะทำอะไรหรือไง ถ้าบอกไป….แล้วยูจะสามารถรักเธอที่ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลได้หรือ นี่เป็นการแก้แค้นแบบพอประมาณกับยูที่ทอดทิ้งเธอไป แต่มั้นก็ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนี่ ต่อให้จมลงในความสิ้นหวังขนาดใหน ยูก็จะสามารถเข้มแข็งขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ยูเป็นแบบนี้ตั้งต้นจนจบ คนที่ซึ่งตัดสินใจที่จะโดดเดี่ยว ถึงได้ไม่เคยเปิดรับคนอื่นอย่างยูโกะเข้าไป แต่ก็ยังเป็นคนที่ยูโกะอยากจะร่วมแบ่งความเจ็บปวดด้วย แม้จะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเหตุนั้นเธอจึงเข้าใกล้ยู เข้าไปชอบยู และก็ได้กรีดรองเท้าของเธอด้วยสิ่งนี้ ยูโกะหยิบห่อผ้าที่เธอพกติดตัวออกมา ในนั้นมีมีดคมกริบอยู่เล่มหนึ่ง ยูโกะเล่าต่อว่าสำหรับเรื่องโดนกลั่นแกล้งนั้นเป็นเรื่องจริง เธอแค่ใช้ผลของมันกับยูโดยตรงไปตรงมา ยูโกะส่งมีดของเธอให้ยูและบอกว่า “ถ้าเกลียดฉัน ฆ่าฉันเลยก็ได้” นั่นเป็นสิ่งที่พี่ของยูโกะพูดตอนที่ให้ของสิ่งนี้กับเธอ ในคืนวันคริสมัส… มันเป็นเครื่องราง เวลาที่ถือมันไว้ทำให้รู้สึกว่าจะสามารถปลดปล่อยตัวเองได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งเพียงอย่างเดียวของจิตวิญญาณของเธอ ยูกำมีดแน่น มีสายตาเด็ดเดี่ยวและเดินจากยูโกะไป


000005 : Die : The

มิสึกิได้ไปหายูที่โบสถ์ของเขาและขอร้องให้บอกเรื่องของคุเซะให้หน่อย แต่ยูปฏิเสธและบอกให้มึสิกิพยายามด้วยตัวเอง แต่มิสึกิกลับบอกว่าหลังจากใช้ความพยายามคิดแล้ว ถามยูเอาเนี่ยหล่ะเร็วที่สุด (ดีมากอีหนู….) ยูถามมิสึกิว่าสารภาพรักกับคุเซะแล้วก็ถูกปฏิเสธใช่ใหม แบบนี้น่ะดีแล้วจะได้เจ็บปวดน้อยที่สุด คุเซะน่ะเป็นผู้ใหญ่ มิสึกิพอได้ยินก็รีบบอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กแล้วนะ ยูถอนหายใจแล้วพูดว่าทั้งสองคนน่ะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ใช่ใหม มิสึกิบอกว่าตอนนี้คุเซะหันหลังให้กับมันต่างหาก ยูบอกว่าคุเซะน่ะมีตาอยู่ข้างหลังต่างหาก* ถ้าอยากให้คุเซะเผชิญหน้ากับเส้นทางอื่นล่ะก็ขอให้จำสิ่งนึงไว้ “มันก็ดีที่เชื่อมั่นในตัวเขา แต่ก็อย่าลืมเชื่อใจด้วย” เพราะว่าคุเซะนั้นเป็นคนโกหก มิสึกิที่กำลังจะเดินออกไปพูดขึ้นว่าคุเซะไม่ใช่คนโกหกหรอก ถ้าเขาเป็นคนโกหกก็คงจะถูกเกลียดง่ายๆไปแล้วหล่ะ แต่เพราะเขาซื่อตรงเกินไปต่างหาก มันเลยเหมือนกับว่าโกหก…


000038 : Verfolge : เกลี้ยกล่อม

เคย์ได้รับเมล์จากฮิโระหลังจากที่เธอเล่าเรื่องของคุเซะให้เขาฟัง แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ฮิโระนั้นตกใจพอสมควรหลังจากที่ได้ยินเรื่องของคุเซะ เคย์เล่าว่าฮิโระเป็นคนที่ชื่นชมเพลงของคุเซะมาก และมักจะเปิดเพลงของคุเซะระหว่างวาดรูปเสมอ ฮิโระให้คำจำกัดความว่าเสียงไว้โอลินของคุเซะนั้นเป็นการเติมสีสันให้กับเสียง เคย์เองก็ไม่เข้าใจเท่าใหร่ แต่มิสึกิกลับบอกว่าเธอนั้นเข้าใจ เสียงดนตรีของคุเซะนั้นมีสีสัน ลึกล้ำ และชัดเจน แต่พอฟังอีกครั้งตอนนี้กลับรู้สึกว่าสีบางอย่างมันหายไปจากตรงนั้น พอเคย์ได้ยินคำพูดของมิสึกิก็นึกอะไรออกขึ้นมาแล้วก็เปิดโทรศัพท์ของเธอหาข้อความ “แม้คนเราจะต่างกัน ถ้าหากไม่สับสนแล้วก็จะสามารถสร้างสีสันขึ้นมาได้ แต่ใครที่กำลังสับสนก็จะไม่สามารถวาดสีสันออกมาได้” เคย์อ่านให้มิสึกิฟัง มิสึกิบอกว่าฮิโระพูดอะไรลึกซึ้งแบบนี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย เคย์จึงบอกว่านี่เป็นข้อความของรุ่นพี่มิยามุระ ทั้งรุ่นพี่มิยามุระและพี่ชายของเธอต่างค้นหาสีที่ตัวเองขาดหายไป ตัวเธอเองก็คงไม่แตกต่างกันละมั้ง เคย์บอกว่าเธอไม่เข้าใจเรื่องยากๆหรอก แต่ก็ไม่คิดว่าคนที่รู้ตัวว่ากำลังจะตายนั้นจะไม่สับสนเลยหรอก หรืออาจจะเพราะว่ากำลังสับสนก็เลยทอดทิ้งทุกอย่าง ใครจะไม่เสียใจล่ะถ้าหากสูญเสียสิ่งสำคัญไป มิสึกิพอได้ยินก็ลุกขึ้นยืนและตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

อามามิยะ อากิระ นั่งอยู่ในบ้านที่มืดสลัวคนเดียว เขาสูบบุหรี่และมองไปข้างนอกที่ฝนกำลังตกโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าสว่างวาบไปมาด้วยสายฟ้า อามามิยะสังเกตอะไรบางอย่างด้านนอกได้ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขาแล้วก็เดินตรงไปเปิดประตู ด้านนอกนั้น ฮิมูระ ยู ยืนตากฝนอยู่ ในมือของเขามีมีดของยูโกะอยู่ด้วย “เรื่องของยูโกะสินะ” อามามิยะพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน มีอะไรหรือ? เพิ่งจะได้ฟังสินะ อามามิยะถามยู อามามิยะไม่เคยห้ามยูโกะบอกเรื่องของเขากับใคร ที่จริงบอกให้เร็วกว่านี้หน่อยก็คงจะดีกว่า อามามิยะยั่วยุยูไปเรื่อยๆ ยูขึ้นเสียงแล้วบอกอามามะยะว่ารู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป! “อย่าบอกนะว่าเพื่อฆ่าฉัน ได้..เอาเลยสิ” อามามิยะไม่มีทีท่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย อามามิยะบอกว่าฆ่าเขาเลยก็จะขอบคุณมาก จากนั้นจะทำอะไรต่อละ มุ่งหวังไว้สูงนี่ เลิกเป็นนักเรียนตัวอย่างแล้วเหรอ แล้วอามามิยะก็หัวเราะเฝื่อนๆแล้วบอกว่าล่อเล่นน่า ทำไมต้องมาสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ด้วย ยูโกะบอกให้มาฆ่าฉันเหรอ ยูตอบว่ายูโกะไม่มีทางทำแบบั้นหรอก อามามิยะจึงบอกว่าถ้างั้นยูก็เป็นคนที่อยากจะฆ่าเขางั้นเหรอ ยูก็บอกว่าไม่ใช่อีก อามามิยะจึงบอกว่าอย่าบอกนะว่าทำไปเพื่อยูโกะ ช่างเป็นเด็กที่เลือดร้อนจริงๆ “เห็นสีหรือเปล่า” แล้วอามามิยะก็หัวเราะเบาๆ การกระทำของยูจะทำให้ยูโกะต้องโชคร้าย รู้สินะว่ายูโกะเกลียดการอยู่คนเดียว…ตั้งแต่ตอนที่ถูกเธอทอดทิ้ง แล้วยังจะมาทำลายที่กำบังของเธออีกเหรอ ยูเถียงว่าที่นี่ไม่ใช่ที่กำบังของยูโกะซะหน่อย อามามิยะจึงบอกว่าใตร่ตรองมาแล้วก็ทำอย่างที่อยากเลยสิ แล้วเดินเข้าไปหายูช้าๆ รู้ใหมทำไมยูโกะจึงปิดบังเรื่องนี้กับทั้งตำรวจและโรงเรียน ก็เพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงไงหล่ะ เรื่องแบบนี้จะบอกคนอื่นได้ไง ถ้าเขาตายไปเรื่องทุกอย่างก็จะกระจายออกไป อามามิยะเดินจี้เข้าไปยังยูและพูดต่อว่า ทีนี้เพราะการตัดสินใจของนายทุกคนๆก็จะรู้ถึงความลับที่น่าอับอายของเธอ และเธอก็จะกลับมาที่บ้านไม่ได้อีกต่อไป ยูที่ถือมีดไว้ไนมือได้แต่นิ่งเงียบตัวสั่นไม่สามารถหาคำพูดใดมาตอบโต้ได้ “มาฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ” อามามิยะบีบให้ยูจนตรอก จากนั้นก็ปัดมีดของยูทิ้งแล้วแทงเข่าใส่ลิ้นปี่ของยู “อย่างนายน่ะไม่กล้าจะฆ่าคนหรอก” อามามิยะเตะเข้าใส่ยูอย่างแรง นายน่ะมันก็แค่คนที่ยึดมั่นในความยุติธรรมแต่ก็ทำห่าอะไรไม่ได้สักอย่าง ถ้าเอาจริงทำไมไม่ทำล่ะ! อามามิยะตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น ลังเลอะไรอยู่เล่า! อามามิยะเตะเข้าใส่ยูอีกหลายครั้ง บอกแล้วใช่ใหมว่าถ้าอยากจะครอบครองยูโกะ ก็ต้องเตรียมตัว ถ้าคราวหน้ามาอีกก็เอาจริงหน่อย ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่านายเอง….. ขณะเดียวกัน ยูโกะก็นั่งอยู่ที่ชิงช้าคนเดียวท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ


000033 : Gestalt : ความสูง

คุเซะนั่งอยู่ในห้องสลัวคนเดียว ประตูเปิดขึ้นเพราะมิสึกิเดินเข้ามา แต่เพราะว่าไม่ได้หันไปมองคุเซะจึงนึกว่าเป็นนางิเปิดเข้ามาจึงถามหาบุหรี่ที่ฝากซื้อ “สวัสดีค้ะ” มิสึกิพยายามทักทายและจะบอกว่าเธอไม่ใช่นางิ พอคุเซะได้ยินว่าเป็นมิสึกิก็พูดขึ้นมาทันทีว่า วันหนึ่งนักไวโอลินคนนึงกำลังเมา เพราะเป็นถนนที่เขาคุ้นเคย เขาจึงไม่ค่อยค่อยระวังตัวเท่าใหร่ เท้าก็เลยลื่นและพลัดตกลงจากหน้าผา เขาพยายามปกป้องมือของเขาไว้เพราะว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นนักดนตรี แต่ว่าเขากลับตายเพราะว่าหัวฟาดกับหิน….. บอกแล้วไม่ใช่เหรือว่าอย่ามาให้เห็นอีก คุเซะถามย้ำกับมิสึกิ มิสึกิพยายามจะพูดโน้มน้าวแต่คุเซะก็ไม่ฟังหรือคุยด้วยแม้แต่น้อย “ช่วยหายไปได้ใหม” คุเซะพูดขึ้น มิสึกินั้นบอกว่าเธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอไม่อยากให้จากกันแบบนี้ คุเซะจึงถามว่ามิสึกิจังรักเขาใหม มิสึกิพยักหน้าและเขาก็ถามต่อว่า”ทำไม” ทำไมถึงยังอยู่ตรงนั้น คุเซะถาม “ทำไม” มากมายเข้าใส่มิสึกิ…..ทำไมเธอถึงได้มีตัวตนอยู่…. มิสึกิเงียบสนิทไม่พูดอะไรและหันหลังออกไปอย่างเงียบงัน ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงหมดหนทางแบบนี้ ทำไมถึงงี่เง่าแบบนี้ ทำไม… แล้วจู่ๆร่างกายของคุเซะก็เกิดอะไรบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกโพลง ร่างกายเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาทรุดกายลงด้วยความทรมาน คุเซะขดตัวลงบนพื้นและพยายามหยิบขวดยาด้วยความลำบาก เขาหยิบขวดยายกขึ้นแล้วฟาดลงบนพื้นให้แตกออก เพราะสองมือที่ไม่ตอบสนองเขาจึงคลานลงกับพื้นใช้ลิ้นหยิบยาขึ้นกินทีละเม็ด ทีละเม็ด “ฉันยังไม่ตาย ฉันไม่ยอมตายหรอกน่า!” ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำ อยากจะพูด อยากจะได้ยิน ฉันไม่อยากตาย! ฉันยัง…ไวโอลินของฉัน ต่อให้ตาย…ฉันก็จะมีชีวิตต่อไป ภาพของมิสึกิในเวลาต่างๆแว่บเข้ามาในหัวของเขา คุเซะยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างวิปลาส “ฉันไม่อยากตาย”


ยูโกะกลับไปที่บ้านของเธอในสภาพเปียกปอน อามามิยะพอเห็นก็ไม่มีทีท่าประหลาดใจหรือถามอะไร แค่ให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเดี๋ยวจะเป็นหวัด ยูโกะก็ตอบรับโดยสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ ในห้องของยูโกะ เธอถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกเหลือเพียงชุดชั้นใน ตามร่างกายเต็มไปริ้วรอยที่ถูกทำร้าย ยูโกะมองไปยังมือของเธอ นึกถึงสิ่งที่ยูพูดและตอนที่ยูจับแขนของเธอไว้ “ทำไม… ” แล้วยูโกะก็ทรุดกายลงหน้ากระจก กอดตัวเองไว้อย่างเดียวดาย….

ทุ่มทุกอย่างออกไป แล้วหลอมละลายทุกสิ่ง …. ef – a tale of melodies. reutter

ef – a tale of melodies. ก็ได้ดำเนินมาถึงตอนที่ 7 แล้ว หลังจากที่ยูได้รับรู้ถึงความจริงที่ยูโกะปิดบังไว้ ยูโกะนั้นถูกทารุณรวมถึงล่วงละเมิดทางเพศโดยพี่ชายบุญธรรมของเธอ อามามิยะ อากิระ แต่ปิดบังไว้ไม่ให้ใครรู้ ยูตัดสินใจเผชิญหน้ากับพี่ชายของยูโกะ แต่ยูก็ไม่เด็ดขาดและเข้มแข็งพอจะเอาชนะเขาได้ และก็ได้รับรู้ถึงความอ่อนแอของตนเองอีกครับ ทางด้านมิสึกิที่หลังจากได้รับความเห็นจากคนรอบข้างในหลายมุมมองทั้งจากเคย์และยู จึงได้ตัดสินใจเชิญหน้ากับคุเซะอีกครั้ง แต่คุเซะได้สร้างสร้างกำแพงระหว่างเขากับมึสึกิขึ้นมาโดยไม่เปิดช่องว่างเลยแม้แต่น้อย มิสึกิจึงต้องจากไป อาการของคุเซะได้กำเริบอีกครั้ง แต่เขาก็ได้แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ยอมแพ้กับเกมชีวิตนี้

ef ในตอนนี้ก็ยังไม่เปิดโอกาสให้หายใจกันเท่าใหร่ ยังคงดำเนินด้วยโทนเริ่งี่อึมครึมและมืดมน สำหรับตอนนี้ผมเรียกมันว่าตอน “เผชิญหน้าบอสใหญ่” ไม่ว่าจะเป็นบทของมิสึกิหรือบทของยูโกะ ตัวเอกของตอนต่างก็ได้เผชิญหน้ากับบอสใหญ่ของเรื่อง ยูได้ประจันหน้ากับอามามิยะ อากิระ บอสใหญ่ที่ให้ความรู้สึกชั่วร้ายโดยแท้จริง และก็บอบช้ำกลับมาอย่างไร้ทางสู้ ส่วนมิสึกิก็ได้ค้นพบว่าบอสใหญ่นั่นก้คือพระเอกของเรื่อง และก็โดนท่าไม้ตายอันแสนร้ายกาจอย่าง อนาเธอร์นาเซะไดเมนชั่น จนสูญสิ้นสติสัมปัญชัญญะ บอบช้ำทางจิดใจจนต้องล่าถอยไปอย่างเงียบงัน

เนื้อหาในบทของยูโกะในตอนนี้เริ่มมาหลายส่วนที่แตกต่างไปจากเกมต้นฉบับ จริงๆแล้วเนื้อหาในบทของยูโกะนั้นค่อนข้างจะดำเนินเรื่องตามเนื้อหาในเกมต้นฉบับแทบไม่มีผิดเพี้ยน อาจจะมีการลำดับเนื้อเรื่องใหม่นิดหน่อยและรายละเอียดหลายๆอย่างที่ถูกเพิ่มขึ้นและลดลงบ้างตามแต่จะดัดแปลง แต่ในตอนนี้นั้นมีหลายส่วนที่เปลี่ยนไปจากในเกมมาก เริ่มตั้งแต่หลังจากที่ยูได้รับรู้ความจริงๆของยูโกะ ยูตัดสินใจไปพบอามามิยะและได้เกิดการปะทะกันขึ้น ในเกมนั้นไม่มีส่วนนี้แม้แต่นิดเดียว อามามิยะ อากิระในเวอร์ชั่นอนิเมนั้นเป็นคนร้ายกาจ ลุ่มลึก และวิปริต อยู่ในตัวคนคนเดียวกัน เขาใจเย็นมากพอที่ไม่ตื่นตระหนกที่ยูรู้เรื่องที่เขาทำกับยูโกะ แต่ก็วิปริตพอจนพร้อมที่จะตายได้เสมอ ซึ่งในเกมนั้นไม่มีส่วนนี้เลย อามามิยะในเกมจะสุขุมและสงบ ไม่มีท่าทีร้อนรนให้เห็น รวมไปถึงการใช้กำลังด้วย อีกอย่างก็คือในบทของมิสึกิ ได้มีการเพิ่มบทบาทของนางิและตัวละครจากภาคแรกเข้ามา นางิมีบทมากขึ้นและเป็นตัวละครสำคัญในการดำเนินเรื่องเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อในส่วนนี้เป็นการ “เพิ่มขึ้น” ไม่ได้เป็นการ “เปลี่ยน” จึงออกจะแตกต่างกันบ้างอยู่ และหลังจากนี้ในตอนที่ 8 ไป ในบทของยูโกะก็จะมีหลายอย่างที่อนิเมแตกต่างจากเกมอย่างเห็นได้ชัด

ในบทของมิสึกิ ฉากเด่นประจำตอนก็คือช่วงที่คุเซะถามมิสึกิว่า”ทำไม”หลายต่อหลายครั้ง เพื่อบีบคั้นให้มิสึกิต้องจากไป ที่จริงแล้วฉากนี้มีหลายๆอย่างที่แตกต่างไปจากเวอร์ชั่นเกม อย่างแรกก็นางิ แน่นอน นางิไม่ได้โผล่มมาไวขนาดนี้ และไม่ได้มีบทมากขนาดนี้ ในห้องของคุเซะไม่มีนางิ ดังนั้นคุเซะจึงไม่มีทางทักมิสึกิเป็นนางิแน่นอน และอย่างที่สอง ซึ่งเป็นจุดสำคัญของตอนเลยทีเดียวก็แทนที่มิสึกิจะโดนถามคำถามแบบย้ำคิดย้ำทำจากคุเซะ ในเวอร์ชั่นเกมนั้นมิสึกิจะโดนคุเซะลวนลามหลายต่อหลายอย่าง (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) เพื่อทำให้มิสึกิกลัวและไม่อยากเข้าใกล้เขาอีก อย่างที่เคยบอกและลุ้นไปหลายครั้งแล้วว่าฉากนี้จะโดนตัดออกไปหรือไม่ และมันก็โดนตัดออกไปจริงๆ ส่วนเหตุผลก็เป็นที่มันคงดูไม่ดีเท่าใหร่นักถ้าจะมีฉากตัวละครอายุไม่ถึงสิบห้าปีโดนผู้ชายอายุเกือบสามสิบล้วงแคะแกะเกาตะลึดตึ๊ดชึ่งลัลล้าใส่ ซึ่งอาจจะทำให้อนิเมเรื่องไม่สามารถออกอากาศได้

จากปากคำของนางิ ทำให้เราได้รู้ว่าที่จริงแล้วในสมัยเรียน คุเซะก็เคยแอบชอบนางิอยู่ แต่เขาเลือกที่จะไม่บอกออกมา ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการรักษามิตรภาพของทั้งสามคนไว้ แต่เป็นเพราะเขาจะไม่เล่นเกมที่ตัวเองไม่มีทางชนะ ในสายตาของคุเซะนั้นนางิไม่มีทางเปิดใจให้เขาแน่ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่เล่นเกมนี้ ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน คุเซะกำลังจะตายด้วยโรคร้าย แม้รอบข้างจะดูสิ้นหวังไร้หนทาง แม้คุเซะจะตัดขาดจากทุกสิ่งที่เขารักไปหมดแล้ว แต่แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ยอมตาย คุเซะยังไม่อยากตาย เขายังมีอะไรหลายอย่างที่อยากจะทำ อยากจะรัก คุเซะนั้นไม่ยอมเล่นเกมที่เขาไม่มีทางชนะ หมายความว่าคุเซะเลือกที่จะไม่เล่นเกมกับมิสึกิเพราะว่าเขาไม่ทีทางชนะอย่างงั้นรึ? แต่สำหรับร่างกายที่ดูแล้วไร้ซึ่งหนทางชนะเขากลับเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ ท้ายที่สุดของปลายทางของความมืดจะมีแสงสว่างรออยู่หรือไม่

ในช่วง SPAM WARUM อันเป็นจุดเด่นของตอนนั้นเล่นเทคนิคลักษณะเดียวกับตอนที่แล้ว คือทำซ้ำไปเรื่อยๆและกดดัดด้วยภาพและตัวหนังสือไปพร้อมๆกัน หลังจากความเครียดที่กดดันอย่างต่อเนื่องมาสองตอนทำให้เริ่มตระหนักว่า “นี่กูกำลังดูอะไรอยู่วะเนี่ย” แน่นอนว่าไม่ใช่คำตำหนิแต่อย่างไร แต่เป็นความรู้สึกหลังจากที่ถูกรุมเร้าทำร้ายด้วยเนื้อหาและภาพต่างๆนานา จนผมเริ่มสับสนว่ากำลังดู “อนิเมชั่น” อยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ทำไมมันถึงได้หดหู่และสิ้นหวังโดยปราศจากความบันเทิงและความรู้สึกกระตุ้นเร้าที่เรียกว่า​ “โมเอะ” โดยสิ้นเชิง ผมไม่ได้บอกว่า ef เป็นอนิเมชั่นไม่ดี แต่ซีรี่ส์ ef นี้นั้นได้ก้าวผ่านกำแพงจารีตเดิมๆไปมาก และเปลี่ยนภาพของคำว่า “อนิเมชั่น” ไปในทิศทางที่ไม่เคยมีมาก่อน มันอาจจะไม่ใช่การพลิกโฉมวงการอย่างอนิเมจุดเปลี่ยนหลายๆเรื่องเคยทำไว้ ( Evangelion, Haruhi) แต่มันก็สร้างมุมมองใหม่ให้กับวงการได้เป็นอย่างดี

นอกเรื่องหน่อย – จริงๆแล้วผม(ผู้เขียน)เป็นคนไม่ยึดมั่นในความเชื่อและคำสอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนาหรือเรื่องปาฏิหาริย์ ในเวลาที่มีคนบอกว่าเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วให้ไปหาหมอผีบนบานต่างๆนั้นผมออกจะแอนตี้พอสมควร แต่สิ่งนึงที่ผมเชื่อเป็นพิเศษก็คือ “พลังใจ” ไม่ว่าร่างกายจะเป็นเช่นไร หากมีความเชื่อมั่นที่จะต่อสู้แล้ว ผลที่ออกมาอาจจะไม่เรียกสามารถได้ว่าปาฏิหาริย์ แต่ก็เหนือล้ำยิ่งกว่ายาวิเศษใดๆ ถ้าหาก “ใจ” มีความคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง มันจะส่งผลต่อร่างกายด้วย แน่นอนเช่นด้วยกัน หาก “ใจ” ที่ท้อแท้ ร่างกายก็จะยอมแพ้ตาม ดังนั้นการกระทำใดๆที่ส่งผลให้ใจเข้มแข็ง ผมก็เลยพอจะยอมรับได้ ทำให้ผมอลุ่มอล่วยกับสิ่งไร้เหตุผลหลายๆที่ผมไม่เข้าใจ(แต่หลายๆคนเข้าใจและเชื่อ)สร้างขึ้นมาเพื่อให้จิตใจเข้มแข็งได้ เพราะคิดว่ามันก็มีประโยชน์ในรูปแบบของมัน มีประโยชน์สำหรับคนที่เชื่อ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราเชื่อในตัวเองเป็นอันดับแรกแล้วมันก็คงดีที่สุด

End Card ของตอนนี้วาดโดย Tamahiyo ผมไม่มีข้อมูลเท่าใหร่นัก ดูเหมือนจะเป็นสมาชิก Circle ของโดจินชิเจ้านึง และสำหรับ ef-melo ในตอนหน้านั้นมีชื่อว่า reutter ตามคาด และก็คงเป็น re- ไปจนถึงตอนสุดท้ายตามที่คิด

เกร็ดแถมพิเศษ

  • คำว่า “สี” ที่มิยาโกะพูดนั้นหมายความได้ทั้งเสียงและสี
  • พาสเวิร์ดตอนนี้คือ “Warum” ที่ถูกสแปมโดยคุเซะ ความหมายของมันก็คือ “ทำไม”
  • OP ในตอนนี้เป็น OP แบบแรกที่ไม่ได้มีการวาดแก้ไขถูกนำมา Invert สีอีกที
  • ยูโกะทำปาก :O
  • ตอน 8 จะข้ามไปก่อนนะ เดี๋ยวจะเขียนตอน 9 เลย เพื่อความสด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *